บทที่8. เงื่อนไข

1052 Words
หญิงสาวหมุนตัวมองไปรอบกายที่มีเพียงความดำมืด นางไม่ชอบความมืดเช่นนี้เลย หญิงสาวกะพริบตาหลายครั้งเพื่อปรับสายตา นางเห็นแผ่นหลังของหญิงคนหนึ่งจึงรีบวิ่งเข้าไปหา คว้ามือหญิงคนนั้นไว้ก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินจากไป  “ท่านป้าต๋าซู” หลันหลันร้องทักด้วยความดีใจที่เห็นคนคุ้นเคย “ท่านป้าจะไปไหนเจ้าคะ” หญิงต่างวัยส่งรอยยิ้มอ่อนโยน ยื่นมือมาลูบศีรษะนางอย่างเอ็นดู “ไปในที่ที่ควรไป”   “ข้าไปด้วยได้หรือไม่ ข้ากลัวความมืดเหลือเกิน” นางยื้อมือผอมแกร็นไว้แน่น นางกลัวความมืดจริงๆ  ปกตินางอยู่กับคุณหนูกงเสวี่ยหลิง แม้ดับเทียนแล้วแต่ยังมีคุณหนูอยู่ใกล้ สำหรับนกน้อยอย่างนางนั้นคุณหนูเป็นดั่งแสงสว่าง   “ยังไม่ถึงเวลาของเจ้า”  “เวลาของข้าหรือ?” นางเอียงคอด้วยท่าทีงุนงง   “เจ้ายังต้องทำความปรารถนาให้เป็นจริงเสียก่อน เจ้าอธิษฐานเช่นนั้นมิใช่หรือ”  หลันหลันเม้มปากแน่นพยักหน้าน้อยๆ นางนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น นางตกหน้าผาพร้อมกับคุณหนู ความหวังของคุณหนูหรือ? ตอนนั้นนางคิดเพียงแค่อยากปกป้องคุณหนูไปให้พ้นจากคนโฉดชั่ว นางอยากเห็นคุณหนูมีความสุข  เอ๋ ? ยังไงนะ หมายความว่านางต้องทำความปรารถนาของคุณหนูให้เป็นจริงหรือ? สมองนกเท่าเม็ดถั่วแดงอย่างนาง คิดอะไรไม่ค่อยทันเสียด้วย   มือหยาบกร้านยื่นมาลูบศีรษะและส่งยิ้มเอ็นดู   “หลันหลันเด็กดี เป็นเด็กกตัญญูรู้คุณ ค่อยๆ ตรองดูเถิดว่าเวลาสี่สิบเก้าวันที่เจ้าลืมตามาอยู่ในร่างนี้ต้องทำสิ่งใดบ้าง” “สี่สิบเก้าวัน? ท่านป้าหมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ”  “นี่ไม่ใช่ร่างของเจ้า ดวงจิตของเจ้ามาอยู่ในร่างนี้ได้เพียงแค่สี่สิบเก้าวันเท่านั้น” ป้าต๋าซูยังคงลูบศีรษะนางเบาๆ “ที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ได้เพราะมีผู้มอบลมหายใจต่ออายุให้เจ้า”   หลันหลันขมวดคิ้ว “ใครกันเจ้าคะ?”   “ในสี่สิบเก้าวันที่เจ้าอยู่บนโลกมนุษย์นี้ เจ้าต้องกลืนกินลมหายใจของเขาเพื่อต่ออายุเจ้า”  “ท่านป้า ท่านช่วยอธิบายให้นกน้อยอย่างข้าเข้าใจง่ายๆ ด้วยเถิดเจ้าค่ะ” นางเบ้ปากทำหน้าอยากร้องไห้เต็มที “คุณหนูของข้าอยู่ที่ไหน ข้าจะไปตามหาคุณหนู”   “เจ้าไปหาคุณหนูตอนนี้ไม่ได้”  “คุณหนูรอข้าอยู่ใช่ไหมเจ้าคะ”   “หลันหลัน จำไว้ เจ้าอยู่ได้แค่สี่สิบเก้าวัน และต้องกลืนกินลมหายใจของผู้มีพระคุณของเจ้า เจ้าจึงยังอยู่บนโลกนี้ได้”   มือหยาบกร้านปล่อยศีรษะนางแล้วค่อยๆ หมุนตัวเดินจากไป    “ท่านป้า ท่านจะไปไหน” หลันหลันวิ่งตาม แต่เหตุใดนางวิ่งตามจนหอบหายใจแรงก็ยังตามไม่ทัน  นางเริ่มหายใจไม่ออกเหมือนคนกำลังจมน้ำอีกครั้ง   “ป้าต๋าซู คุณหนู...อย่าทิ้งข้า ข้าไม่อยากอยู่คนเดียว”  “หลันหลัน”  เสียงทุ้มต่ำเรียกให้นางได้สติ เซียวเหรินนั่งข้างหญิงสาวที่นอนดิ้นรนกระสับกระส่าย ละเมอฟังไม่รู้เรื่องนัก ผิวกายเยียบเย็นราวกับน้ำแข็ง ริมฝีปากซีดขาว เขายื่นมือไปหมายจับมือน้อยๆ ที่เปะปะไปมาเบื้องหน้าคล้ายไขว่คว้าหาบางสิ่ง ทว่าจังหวะที่เขาโน้มตัวลงไปนั้น มือสองข้างของนางก็ยื่นมาคล้องคอเหนี่ยวตัวเองขึ้นมาประกบริมฝีปากของเขาอย่างรวดเร็ว  ดวงตาของเซียวเหรินกระตุก เขาควรผลักนางออก แต่ท่าทางไร้ที่พึ่งชวนเวทนาทำให้เขาผลักนางไม่ลง ริมฝีปากนางเยียบเย็นจนเกินไป ร่างกายก็เช่นกัน จากที่ดิ้นทุรนทุรายยามนี้นางสงบลงแล้ว เขาเปิดปากตัวเองเล็กน้อยเพื่อจะถอนหายใจเบาๆ แต่ริมฝีปากนุ่มนั้นก็เผยอริมฝีปากพร้อมกัน เขาเอนตัวไปด้านหลังจะถอยหนีแต่นางกลับเป็นฝ่ายไล่ต้อนยื่นหน้าติดตามไม่ยอมปล่อย เขาไม่คิดว่านางจะกล้า ‘ลวนลาม’ เขาเช่นนี้จึงใช้สองมือจับไหล่กลมมนของนางไว้มั่นเพื่อดันนางออก แต่ดวงตากลมก็ลืมตาขึ้นพร้อมกับผละริมฝีปากออกจากปากของเขา นางถอนหายใจเบาๆ แล้วยกมือขึ้นลูบหน้าอกของตนเอง   “นึกว่าจะตายอีกครั้งแล้ว” หญิงสาวพรั่งพรูลมหายใจยาว แล้วยังลูบหน้าอกตนเองอีกหลายครั้ง “ข้าคงไม่กล้าเข้าใกล้น้ำอีก”   “เจ้า...” เซียวเหรินขมวดคิ้ว “เจ้าทำอะไร”    “อ๊ะ! ซือจื่อมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” หลันหลันได้สติแล้วรีบกวาดสายตามองรอบตัว นี่เป็นตั่งที่นางนอนหลับใหลตั้งแต่ครั้งแรกที่มาเรือนของเซียวเหริน  “ที่นี่บ้านของข้า” เขาเตือนสตินาง “และข้าบอกแล้วว่า...” “ต่อหน้าผู้อื่นห้ามเรียกซือจื่อ” นางรีบพูดขึ้นอย่างรวดเร็วและยิ้มกว้างรอคอยคำชมที่นางจำประโยคคำพูดของเขาได้ แต่เห็นใบหน้าราบเรียบไร้อารมณ์ใด ไม่มีรอยยิ้มหรือคำชม หรือเมล็ดทานตะวัน  นางจึงเก็บรอยยิ้มของตนเองแล้วเอ่ยถามเขา  “ท่านเซียว ท่านเห็นป้าต๋าซูหรือไม่” นางถามเสียงเบาด้วยท่าทีเกรงอกเกรงใจ “เมื่อครู่ข้าคุยกับป้าต๋าซูอยู่ ข้ายังไม่เข้าใจเรื่องที่นางพูดกับข้าเลย นางก็เดินหนีไปแล้ว”  “ป้าต๋าซูไม่อยู่แล้ว”  หากเป็นผู้อื่นเขาคงพูดตรงไปตรงมาว่า ‘ตาย’ แล้ว แต่เพราะท่าทางไร้เดียงสาของนางทำให้เขาพูดไม่ออก และดูท่าทางนางจะไม่รู้ตัวว่าเมื่อครู่ นางทำอะไรลงไป “ป้าต๋าซูไม่อยู่...” นางทวนคำพูดของเขาแล้วก็พยักหน้าหงึกๆ  “อ้อ! ป้าต๋าซูกลับบ้านแล้วซินะ ดีจริง”  เขาไม่ได้แก้ไขความเข้าใจของนาง เห็นนางแย้มยิ้มแล้วเขาก็ปล่อยให้นางคิดเช่นนั้น สีหน้าของนางดีขึ้นกว่าเมื่อครู่ เขาจึงยื่นมือไปจับชีพจรของหญิงสาว ร่างกายของนางอบอุ่นขึ้น ชีพจรเป็นปกติ ริมฝีปากฝาดสีเลือดอีกครั้ง หากไม่นับรอยช้ำจ้ำเลือดบนร่างกาย และการที่บอกว่าตัวเองเป็น ‘นก’ ก็นับได้ว่านางเกือบเป็นปกติทุกอย่างแล้ว
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD