ฮูหยิน 16

1374 Words
“บ่าวยังนึกว่าคุณหนูจะไปที่ว่าการเสียอีก” อาหยวนชวนคุยอย่างอารมณ์ดีก้มหน้ามองปิ่นโตขนาดใหญ่ใบหนึ่งที่อยู่ในมือของตนและอีกหนึ่งอยู่ในมือของนายสาวระหว่างเดินอยู่ในตลาดเพื่อเรียกรถม้าเพื่อกลับไปอีกเมืองหนึ่ง ถงอวี้เอ่ยอธิบาย “ข้าแค่ขู่ไปอย่างนั้นเองซึ่งข้ามั่นใจเกินสิบส่วนว่าพวกนั้นไม่กล้าให้ข้าไปร้องเรียนแน่ๆ” “แต่ถ้าคุณหนูไปที่นั่นไม่แน่ว่า...” “พี่หยวนตอนนี้พวกเราได้ในสิ่งที่ร้องขอแล้ว เหตุใดต้องคิดหาเรื่องให้แขกมาเยือนจวนซอมซ่อนั้นด้วย สู้ไม่เอาเวลามานั่งทำมาหากินไม่ดีกว่าหรือ ดีไม่ดีการที่เราไปที่ว่าการอาจเรียกภัยเข้าหาตัวก็ได้นะ” อาหยวนคิดตามสุดท้ายก็เข้าใจได้ในทันที ใช่! แค่นี้ก็ได้มาเพียงพอแล้ว “ก็จริงเจ้าค่ะ อย่าหาเรื่องใส่ตัวเลย” อาหยวนเอ่ยตอบอย่างเริงร่าก่อนที่นึกบางอย่างออก “คุณหนูอยากได้ปิ่นหรือเจ้าคะ?” “ข้าไม่ได้อยากได้เสียหน่อย” “แล้วคุณหนูเอามาทำไมเล่าเจ้าคะ ข้าเห็นแววตาของอนุเฉินแล้วยังรู้สึกกลัวไม่หาย” “หึ! ข้าก็เอามาขายน่ะสิ หากฝ่ายนั้นเบี้ยวไม่นำมาอย่างน้อยก็มีเงินสำรองไว้ใช้ได้อีก พี่หยวน...ข้าแต่งตัวอย่างนี้คงคิดว่าเป็นโจรขโมยมาแน่ เอาเป็นว่าปิ่นนี้เป็นหน้าที่ของพี่หยวนไปขายที่เมืองเราดีกว่า” “น่าเสียดายนะเจ้าคะ ของดีมีราคาไม่เก็บไว้หรือเจ้าคะ” “เก็บไว้ทำไม เก็บปิ่นแต่ทนหิวจนแสบไส้พี่ยอมไหมล่ะ” อาหยวนคิดใคร่ครวญก็พยักหน้าเห็นด้วย “ตอนนี้เราหาซื้อของที่เมืองหลวงก่อนไปเช่ารถม้ากันเถอะ ข้าอยากซื้อเสื้อสักตัวให้ชินจิงด้วย” นางพูดพร้อมกับกอดปิ่นโตใบใหญ่เดินนำไปร้านที่นางพุ่งเป้าไป ทั้งสองกลับมาถึงจวนก็ฟ้ามืดพอๆ กับที่วิญญาณของชายเร่ร่อนมาปรากฏตัวที่จวนนี้เช่นกัน ข้อนี้พิสูจน์ให้เขาตระหนักได้ว่าเขาจะสามารถอยู่ที่จวนผู้ตรวจการได้นั้นต้องอาศัยถงอวี้ และสิ่งที่เขาคาดเดาไว้คือที่เขายังอยู่ในจวนหลังนั้นได้หลังจากที่ถงอวี้พร้อมอาหยวนออกจากจวนไปแล้วนั่นอาจเป็นเพราะนางยังคงป้วนเปี้ยนอยู่ในใกล้ๆ นี่เองทว่าเมื่อใดที่นางออกห่างในรัศมีที่ไกลพอสมควร วิญญาณเขาจะถูกดึงมาให้เข้าหานางอย่างรอมชอม เขามองใบหน้าสมาชิกในจวนของนางที่เอาแต่จ้องมองอาหารอุ่นร้อนบนโต๊ะอย่างไม่วางตา ทุกคนไม่กล้าแม้แต่จะจับตะเกียบคีบกินแม้ถงอวี้จะเอ่ยปากบอกให้กินก่อนตนเอง เพราะนางอยากอาบน้ำก่อนแล้วจะกินภายหลังทว่าเมื่อนางออกมาอาหารยังวางไว้เต็มโต๊ะ ไม่มีร่องรอยใดๆ ระบุชี้ชัดว่าทุกคนได้ลิ้มรสอาหารที่นางใช้วาทะกรรโชกมา ภาพนี้ช่างบาดตาลงลึกไปบาดใจเขายิ่งนัก ยิ่งรอยยิ้มขื่นของสตรีที่เดินมานั่งที่เก้าอี้เอ่ยเสียงแกมตำหนิที่ทุกคนไม่รู้จักรักษาสุขภาพเพียงเพราะรอให้นางมาร่วมโต๊ะ ความรู้สึกยิ่งกว่าปวดใจเมื่อรู้ว่านางนำอาหารนี้มา หาใช่เอาชนะแต่อยากให้คนในจวนได้ทานอาหารดีๆ สักมื้อ เขาได้เอ่ยปฏิญาณเพียงฝ่ายเดียว ‘ข้าจะพาพวกเจ้าไปกินอาหารที่โรงเตี๊ยมดีๆ’ ถงอวี้คีบขาหมูติดมันชิ้นใหญใส่ในชามซุ่ยกวนและชินจิงก่อนจะคีบให้อาหยวนและอาสือตามลำดับ “ทุกคนก็อย่าเอาแต่จ้องสิมันไม่อิ่มหรอกนะ นี่ดูนะข้าจะกัดคำโตๆ ให้พวกท่านดู ชินจิงดูแม่นะ แม่จะกินเนื้อชิ้นนี้ต่อไปเจ้าก็กินตามแม่ พวกท่านด้วยเล่า” ถงอวี้คีบขาหมูเข้าปากแม้มันจะอร่อยทว่ารสชาติที่ได้รับกลับสวนทางกับความตั้งใจเดิมของนาง นางตั้งใจว่าจะกินให้อิ่มหนำหลังจากที่พวกเขากินอิ่มกันเรียบร้อยแม้จะเหลือแค่เศษหมูหรือน้ำกลั้วจานก็ตาม นางมิได้นึกรังเกียจ นางกินบ่อยแล้วเมื่อชาติที่แล้ว แค่ไม่ได้กินมาห้าปีนางไม่ลืมรสชาติหรอก เพียงแต่คิดถึงมันบ้างก็เท่านั้นเอง ‘ทำไมพวกท่านต้องรอกินพร้อมข้าด้วยเล่า ดูสิ! ขาหมูบาดคอข้าหมดแล้ว’ นางนึกไปพร้อมกับกลืนขาหมูลงคออย่างยากลำบาก มันแสบคอจนเรียกน้ำตารื้นขึ้นที่หน่วยตาแต่นางรีบเรียกมันกลับคืนไป นางจะร้องไห้ไม่ได้ นางต้องเข้มแข็ง นางเคยมีชีวิตที่ดีและพวกเขาเหล่านี้ต้องได้สัมผัสชีวิตที่ดีเหมือนนางแต่กระนั้นหัวใจเล็กๆ ดวงนี้ก็ไม่อาจฝืนได้ สุดท้ายนางต้องก้มหน้าสะอื้นปล่อยหยดน้ำตาลงมาจนตัวสั่นเทิ้ม “คุณหนู!” ถงอวี้ยังคงก้มหน้ายกมือห้ามไม่ให้อาหยวนหรือแม้แต่ใครๆ เอ่ยสิ่งใดออกมา เพราะนั่นจะยิ่งเรียกน้ำตาให้หลั่งออกมาราวทำนบแตก ‘ทำไมต้องมาอ่อนแอวันนี้ด้วยนะ’ ผ่านไปครู่หนึ่งถงอวี้เช็ดน้ำตาสูดลมหายใจให้ลึก เงยหน้าขึ้นแม้ดวงตาจะแดงเพราะผ่านการร้องไห้ออกมาก็ตาม “อร่อยไหมชินจิง” ชินจิงพยักหน้ารับเอาใจมารดากอปรกับเขาไม่เคยกินขาหมูมาก่อน มันทั้งหวานหอมกลมกล่อมอีกทั้งยังนุ่มลิ้น พอกัดลงไปปลายลิ้นสัมผัสกับความมันลื่นของหนังหมู “ท่านแม่... ท่านเก่งจังขอรับ แค่ออกจากหมู่บ้านข้าก็ได้กินของอร่อยแล้ว ถ้างั้น... หากท่านแม่ออกไปนอกหมู่บ้านอีก ข้าจะได้กินขาหมูไหมขอรับ” คำพูดนี้เข้าหูกระทบเข้าที่หัวใจคนเป็นแม่ ไม่แม้แต่เขาผู้เป็นบิดาซึ่งไร้ความรับผิดชอบ ‘ทำไมข้าเลวได้ถึงเพียงนี้ ชินจิง...เจ้าจะได้กินขาหมูและอาหารชั้นเลิศ บิดาจะสั่งให้คนทำให้เจ้ากิน ข้ารับปาก ข้าจะเป็นบิดาที่รักเจ้า’ “นี่เจ้ากำลังไล่แม่ออกจากจวน?” นางเอ่ยกระเซ้าเย้าแหย่เด็กน้อย เพราะนางไม่ต้องการให้เด็กน้อยเกิดความรู้สึกเช่นนั้น “มิใช่นะขอรับ” เขาก้มหน้าเอ่ยเสียงสลด “ข้ารักท่านแม่จะไล่ท่านแม่ได้อย่างไร ข้าแค่...” “เจ้าอยากกินก็กินเถอะ ครั้งหน้าหากแม่ออกไปทำธุระที่เมืองหลวงรับรองว่าจะซื้อหมูทั้งตัวมาทำขาหมูให้เจ้ากิน และถ้าวันนี้ชินจิงกินข้าวเยอะ แม่มีอะไรมอบให้เจ้าด้วยนะ” เด็กน้อยตาโตเอ่ยถามเสียงตื้นเต้น “อะไรหรือขอรับ” “บอกตอนนี้ก็ไม่สนุกสิ เจ้ากินให้เยอะๆ คีบให้เหล่ากงด้วย” ชินจิงพยักหน้าคีบขาหมูพร้อมกับอาหารหลายอย่างลงในชาม ซุ่ยกวนยิ้มขื่นเพราะรู้ว่าอาหารนี้หลานสาวเขามิได้ซื้อมาแต่เป็นเพราะได้อานิสงส์มาจากจวนนั้นต่างหาก “ท่านตาท่านต้องทานให้มากๆ หน่อยนะเจ้าคะ” ถงอวี้รู้ว่าซุ่ยกวนมองนางอยู่ตลอดด้วยแววตาอมทุกข์ นางจึงคีบผักนี้ใส่ชามเขา “แล้วเจอเขาไหม?” ถงอวี้ส่ายหน้ายิ้มทะเล้นส่งให้ “ข้าไม่เจอแต่ว่า...ข้าเจอสาวๆ สวยๆ คิดจะเก็บมามอบให้ท่านตาสักคน” “เจ้านี่นะพูดไปเรื่อย” คำพูดนี้สร้างเสียงหัวเราะให้เกิดขึ้นบนโต๊ะอาหาร ถงอวี้ยิ้มที่มุมปากหลังจากสร้างความบันเทิงให้คนในจวน หม่าหย่งเต๋อมองนางด้วยรอยยิ้มแม้พวกนางจะอัตคัดแต่มากล้นด้วยความสุข ความสุขแบบครอบครัวเช่นนี้เขาก็เคยมีทว่าบัดนี้มันหายไปแล้ว หายไปตั้งแต่บิดาเขาเอ่ยประโยคนั้นในวันนั้น
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD