น้ำขิงเดินช้าลงเมื่อเห็นพวงแก้วยืนรออยู่หน้าบ้าน
“เป็นไง”
“ไม่ยอมกินข้าวอีกแล้วค่ะคุณนาย”
“อืม…ปล่อยเขาไปก่อนฉันก็จนปัญญา แกไปทำงานอย่างอื่นต่อเถอะ เอาไว้ให้นวลมันตื่นก่อนค่อยให้มันไปดูแลตาเชษฐ์เอง” พวงแก้วเองก็เหนื่อยใจกับลูกชายเช่นกัน ทำอะไรก็ไม่ถูกใจสักอย่าง คุ้มดีคุ้มร้ายสลับกันทุกวี่วัน
“ค่ะ” น้ำขิงรับคำแล้วเดินไปที่สวนหลังบ้านที่มีขนาดค่อนข้างกว้าง พื้นที่ตรงนั้นพวงแก้วใช้สำหรับปลูกพืชผักและไผ่ไว้สำหรับขาย คนอย่างพวงแก้วไม่เคยปล่อยให้เวลาเสียไปโดยเปล่าประโยชน์โดยไม่ได้เงินมา ทั้งที่ตอนนี้สามีของเธอก็เป็นถึงทหารยศร้อยเอกเธอก็ยังต้องขายผักเกือบทุกวัน
ดวงตากลมภายใต้ขอบตาร้อนผ่าวกลอกมองไปรอบทิศ มือเล็กยกขึ้นแตะหน้าผากตัวเอง ตอนนี้อาการป่วยของเธอดีขึ้นมากแล้วแม้จะยังรู้สึกมึนศีรษะและตัวยังรุม ๆ อยู่บ้าง ภายในห้องสีเหลืองไข่ที่ค่อนข้างแคบมากเมื่อเทียบกับห้องพักที่เธอเคยอาศัยอยู่ ผนังห้องอีกด้านมีตู้เสื้อผ้ากั้นอยู่ มองเข้าไปตรงช่องว่างที่ยังพอมีอยู่มันคงเป็นห้องเก็บของ กลิ่นเหม็นอับโชยเข้าจมูกแต่ละครั้งจนแทบจะสลบ ทั้งกลิ่นฉี่หนู กลิ่นแมลงสาป และแมลงตัวเล็กตัวน้อยอื่น ๆ มันชวนทำให้รู้สึกอยากอาเจียน บางจังหวะเธอต้องกลั้นหายใจ ช่างเป็นห้องคนใช้ที่อนาถาจริง ๆ
เมื่อคืนขนาดเธอป่วยยังได้ยินเสียงหนูวิ่งหยอกล้อกันกระโดดเหยียบหัวเธอไปมาหลายรอบ มันคงสนุกไม่น้อย แต่เป็นเพราะป่วยหนักเธอจึงได้แต่ปล่อยให้มันทำตามอำเภอใจ ดีที่มันไม่ฉี่รดหน้าเธอ
เมื่อร่างกายเริ่มดีขึ้นสมองก็กลับมาใช้งานได้อีกครั้ง ความทรงจำของร่างเดิมค่อย ๆ หลั่งไหลเข้ามาในโสตประสาท ร่างนี้ชื่อเนื้อนวลอายุแค่สิบเก้าปี ปู่กับย่าขายเธอให้กับเศรษฐีในหมู่บ้านเพื่อนำเงินไปรักษาน้องชายวัยสิบสี่ปีด้วยเงินจำนวนหนึ่งหมื่นบาทกับสัญญาหนึ่งปี ที่สำคัญภายในหนึ่งปีนี้เธอจะไม่ได้รับเงินเดือนแม้แต่บาทเดียว มีเพียงข้าวสามมื้อและที่พักอาศัยแค่นั้นที่เธอจะได้รับจากนายจ้าง
บัดซบสิ้นดี! ทำไมชีวิตถึงได้มาเกิดกับคนที่มีชีวิตตกต่ำได้ถึงเพียงนี้ คิดมาน้ำตาก็ไหลลงมาสองข้างหางตาอย่างห้ามไม่ได้ เธอไม่ได้รังเกียจความจนหรือคนจน แต่เธอขอพักบ้างไม่ได้เหรอ เกิดชาติไหนก็จนทุกชาติเธอก็เหนื่อยเป็นเหมือนกันนะ
ดลยาหลับตานิ่ง นึกถึงภาพเจ้านายหนุ่มหน้าหล่อเอาแต่ใจที่เหวี่ยงข้าวของใส่เจ้าของร่างนี้ไม่เว้นแต่ละวันตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา แล้วก็ลอบถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาเป็นผู้ป่วยติดเตียงที่อารมณ์ร้ายมาก
เอาเถอะ! ลำบากมาจนสิ้นลมหายใจแล้วยังจะกลัวอะไรอีก ก็แค่ทำวันนี้ให้ดีที่สุด แค่มีข้าวมีน้ำให้กินก็คงใช้ชีวิตอยู่ได้แล้ว งานหนักทุกอย่างเธอเคยทำมาหมดแล้วนี่ เส้นทางชีวิตของเด็กบ้านนอกกำพร้าพ่อแม่คนหนึ่งที่เรียนจบกศน. แล้วเรียนต่อปริญญาตรีในมหาวิทยาเปิดแห่งหนึ่งด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง เธอผ่านการทำงานหนักมานักต่อนัก รับจ้างตัดอ้อย รับจ้างดำนา ล้างจาน เสิร์ฟอาหาร เป็นพี่เลี้ยงเด็ก ดูแลคนแก่ ดูแลผู้ป่วยติดเตียง เธอก็เคยทำมาหมดแล้ว
แต่ห้าปีที่ผ่านมาเธอเลือกทำงานด้านการขายและบริการที่ร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่งจนสอบเลื่อนขั้นได้เป็นผู้จัดการสาขาแต่ชีวิตก็ใช่ว่าจะสบาย แม้ป่วยก็ยังต้องทำงาน วันสุดท้ายก็คือเมื่อวานนี้ด้วยวัยเพียงสามสิบห้าปี ถ้าเทียบกับวัยสมควรที่จะจากโลกนี้ไปก็ถือว่าเธออายุยังน้อย แต่ถ้าเทียบอายุตามการเลือกคู่ครองก็ถือว่าเธอแก่แล้ว เพราะเธอยังไม่เคยมีแฟนเป็นตัวเป็นตนเลยสักคน
ดลยาลุกขึ้นนั่งแล้วมองที่นอนของตน มีเพียงเสื่อผืนหมอนใบเท่านั้น มันดูเก่าและโทรมพอ ๆ กันทั้งคู่ ตะเข็บเสื่อเริ่มหลุดลุ่ย หมอนขิดทั้งเก่าทั้งดำจนดูไม่ออกว่าสีอะไร สายตามองสำรวจร่างกายตัวเอง เสื้อยืดคอกลม ไม่สิ ต้องเรียกว่าคอย้วยถึงจะถูก ย้วยจนคล้ายกับคลื่นน้ำ ตัวเสื้อนั้นสมกับเป็นเสื้อยืด ยืดออกจนหดเข้าไม่ได้อีกแล้ว มีรอยกัดแทะของมดและแมลงสาปขาดเป็นรูเล็กรอบตัว ชายเสื้อบานออกจนเป็นรอยหยักไม่ต่างจากส่วนของคอเสื้อ จากเสื้อสีดำตอนนี้ซีดจนเกือบกลายเป็นสีเทา ตามความทรงจำเดิมเสื้อตัวนี้ปู่กับย่าเก็บมาจากถังขยะแล้วนำมาต้มก่อนจะนำไปซักอีกครั้งแล้วนำมาให้เธอใส่ ผ้าถุงก็เก่าจนสีซีดเช่นกัน
ถัดจากเสื่อที่ปูนอนเพียงศอกครึ่งมีตะกร้าใส่ผ้าใบเล็กและกล่องพลาสติกสำหรับใส่เสื้อผ้าอีกหนึ่งใบวางอยู่ชิดผนังห้อง นอกนั้นก็มีกระจกและแป้งฝุ่นและหวีวางอยู่บนฝากล่องพลาสติก ตอนนี้มุ้งถูกม้วนขึ้นเก็บอยู่เหนือศีรษะ ปลายเท้ามีพัดลมตัวเล็กตั้งไว้หนึ่งตัวและมันกำลังส่ายหน้าให้เธออยู่
เสียงคนเปิดประตูเข้ามาสายตาจึงจับจ้องไปที่คนตรงหน้า
น้ำขิงเห็นว่าเนื้อนวลตื่นแล้วจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเชิงกดข่ม “ตื่นแล้วเหรอ ทำไมไม่รีบออกไปทำงาน”
“ฉันขอกินข้าวก่อน” ดลยาพูดออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง ไม่ได้หวั่นกับสิ่งที่น้ำขิงพูดเลยสักนิด
“อ๋อ งั้นก็หายดีแล้วสิ”
“ไม่หายหรอก แต่ถูกบังคับให้หาย” ดลยารู้ว่าเมื่อวานเนื้อนวลโดนแกล้งให้ไปเข็นน้ำเพียงลำพังทั้งที่เธอป่วยและน้ำขิงกับแม่ก็รู้เรื่องนี้แต่ก็ยังบังคับเธอจนเนื้อนวลต้องยอมทำตามสองแม่ลูกคู่นั้น
“ปากกล้าขาแข็งแล้วสินะ” ก่อนหน้าไม่เห็นเนื้อนวลจะพูดพร้อมสบสายตาใครเหมือนครั้งนี้ น้ำเสียงที่พูดกับเธอก็ห้วนกว่าครั้งไหน
“ขอบใจที่เอาข้าวเอาน้ำมาให้” ว่าจบดลยาก็ลุกขึ้นจากที่นอนพับผ้าห่มเก็บให้เรียบร้อยแล้ว ปิดพัดลมแล้วเปิดประตูเดินออกจากห้องไป โดยไม่สนใจคำพูดกระแนะกระแหนของอีกฝ่าย
“นี่แกกล้าเดินหนีหน้าฉันเหรอ” น้ำขิงว่าตามหลังแล้วสาวเท้าตามเนื้อนวลไปที่ห้องครัว