ยุคอดีต
ฮั่นจง เมืองชายแดนแคว้นฉิน
จวนแม่ทัพ
พระวรกายสูงใหญ่ขององค์ชายปีศาจอิ๋งหยาง ในฉลองพระองค์สีดำทะมึนทรงนั่งประทับภายในห้องพระบรรทม โดยมีหมอในเมืองฮั่นจง มาถวายการรักษาบาดแผลแปลกประหลาดที่อยู่บริเวณพระอุระ ผ้าพันแผลผืนใหม่ถูกนำมาพันรอบพระวรกายใหญ่ด้วยมืออันสั่นเทาของคนเป็นหมอ เมื่อต้องถวายการรับใช้องค์ชายปีศาจซึ่งเป็นที่เลื่องลือไปทั่วทุกแคว้น
“เจ้ากลัวข้ามากอย่างนั้นรึ มือจึงสั่นเทาอยู่ตลอดเวลา ข้าคงเป็นปีศาจมากกระนั้นสิ” รับสั่งถามสุรเสียงเย็นยะเยียบ สายพระเนตรจับจ้องใบหน้าหมอที่มาทำการรักษาพระองค์อยู่ในขณะนี้เขม็ง
ในขณะที่คนเป็นหมอรีบทรุดกายลงพื้นก้มคำนับไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมองแต่อย่างใดด้วยความกลัวเกรง แม้ว่าในขณะนี้องค์ชายอิ๋งหยางจะสวมหน้ากากสีเงินปิดบังพระพักตร์เอาไว้ก็ตามที แต่มิอาจลดทอนความน่ากลัวและน่าเกรงขามของพระองค์ลดน้อยถอยลงไปได้เลย
“กะ… กระหม่อมสมควรตายพ่ะย่ะค่ะที่แสดงอาการออกมาเช่นนั้น ตะ... แต่… แต่กระหม่อมก็กลัวพระองค์จริงๆ มิขอปิดบังแต่ประการใด บรรดาหมอทั่วเมืองฮั่นจงต่างมีความรู้สึกไม่แตกต่างจากกระหม่อมแม้แต่น้อย”
“เช่นนั้นรึ!”รับสั่งออกมาสั้นๆ พลางลุกขึ้นยืนเต็มความสูง
“กลัวตายเพราะเข้ามารักษาข้ากระนั้นสิ!” รับสั่งถามกลับไป
“พะ... พ่ะย่ะค่ะ!” หมอหลวงคนดังกล่าวทูลกลับไปตามตรง
คำตอบของหมอหลวงท้องถิ่นสร้างความพึงพอพระทัยให้แก่องค์ชายหนุ่มครั้นทรงได้ยินคำตอบแบบตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อมให้เสียเวลาจนพระองค์รู้สึกรำคาญ
“ตอบได้ดี! ข้าชอบคนที่พูดตรงไปตรงมา ไม่ยืดยาดเพราะข้าเป็นคนขี้รำคาญ!” สุรเสียงรับสั่งพร้อมกระชับฉลองพระองค์ที่สวมอยู่ให้เข้าที่เข้าทาง
“กลับไปได้แล้ว... และไปรับรางวัลที่ห้องโถงด้านนอก” รับสั่งพร้อมพระดำเนินตรงไปยังห้องหนังสือซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับห้องพระบรรทม
ทันทีที่เสด็จมาถึงพระหัตถ์ตรงไปหยิบหีบขนาดย่อม พลางพระดำเนินไปยังโต๊ะทรงพระอักษรพร้อมทรุดพระวรกายลงนั่งบนตั่งที่ประทับ เปิดหีบที่มีสิ่งของมากมายอยู่ภายในนั้น ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือแพทย์ผ่าตัดชุดเล็ก ปรอทวัดไข้ ตัวยามากมายทั้งแบบฉีดและแบบกิน ถุงน้ำเกลือและอุปกรณ์ทำแผลทุกอย่าง ล้วนอยู่ในหีบนั้นทั้งหมด
พระหัตถ์หยิบขวดยาแก้อักเสบสำหรับให้ทางเส้นเลือดออกมาพิจารณา
“ข้าอยากรู้จริงๆ เลย ว่าของพวกนี้จะสามารถนำมาใช้ได้อย่างไร ผู้คนในแคว้นฉินไม่ล่วงรู้วิธีการใช้สักคน แต่สิ่งเหล่านี้ทำให้ข้ารอดชีวิตมาได้อย่างเหลือเชื่อ ทั้งๆ ที่ข้าควรสิ้นชีพไปนานแล้ว” รับสั่งสุรเสียงพึมพำ
ฉับพลันเสียงฝีเท้าของคนกำลังเดินเข้ามาใกล้ห้องทรงพระอักษรขององค์ชายใหญ่แห่งแคว้นฉิน เมื่อบรรดาสายข่าวที่แฝงตัวอยู่ในราชสำนัก ส่งคนมารายงานความเคลื่อนไหวทุกอย่างที่เกิดขึ้นในขณะนี้
ร่างของรองแม่ทัพเดินนำหน้าสายข่าวที่ส่งไปทั่วทุกแคว้นก้าวเข้ามาภายในห้อง พร้อมรีบรายงานข่าวที่สายสืบส่งมาให้อย่างรวดเร็ว
“กราบทูลองค์ชายตอนนี้ภายในราชสำนัก เกิดความโกลาหลขึ้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
พระพักตร์ที่ปิดบังด้วยหน้ากากสีเงินมิได้มีปฏิกิริยาใดๆ ครั้นทรงได้ยินเช่นนั้น
“ความโกลาหลที่เกิดขึ้นคงไม่แคล้วบรรดาอนุชาของข้า กำลังเล่นเกมแย่งชิงตำแหน่งเจ้าผู้ครองแคว้นระหว่างอิ๋งเหว่ยกับอิ๋งเฟิ่งอีกล่ะสิ” รับสั่งกลับไปพลางวางของที่อยู่ในพระหัตถ์ลงไปในหีบพร้อมปิดไว้สนิทตามเดิม
“เรื่องนั้นยังเป็นคลื่นใต้น้ำอยู่ตลอดเวลาพ่ะย่ะค่ะ แต่เรื่องที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้นั้นก็คือ ว่าที่ฮองเฮาพระองค์ใหม่ ซึ่งเป็นธิดาของอัครเสนาบดีจางฟงหายสาบสูญไปขณะกำลังเดินทางเข้าวังหลวงเพื่อเตรียมแต่งตั้งเข้ารับตำแหน่งฮองเฮา บัดนี้ยังไม่รู้ชะตากรรมเลยว่าจะเป็นตายร้ายดีเยี่ยงไรพ่ะย่ะค่ะ”
“อย่างนั้นรึ!” องค์ชายหนุ่มรับสั่งพร้อมยกพระหัตถ์ท้าวคางลงบนโต๊ะทรงพระอักษร ด้วยกำลังใช้ความคิดกับสิ่งที่เพิ่งได้รับรายงาน
“ในเมื่อเหตุการณ์แปรเปลี่ยนเช่นนี้ เห็นทีอิ๋งเหว่ยจะลำบากเสียแล้วเพราะจางฟงผู้นี้ มีฐานอำนาจในราชสำนักอย่างล้นเหลือและยังไม่มีทีท่าว่าจะสนับสนุนผู้ใดระหว่างอิ๋งเหว่ยและอิ๋งเฟิ่ง แต่เลือกใช้แผนด้วยวิธีการแต่งงานกับธิดาสกุลจางก็ถือว่าเป็นทางลัดไปสู่อำนาจ ก็นับว่าใช้ได้!... รู้จักคิดแต่เสียตรงที่อำนาจไม่ได้มาจากฐานกำลังของตัวเองมันจะอยู่ได้นานเสียเมื่อไรกันเชียว” รับสั่งคาดการณ์ตามความรู้สึกของพระองค์ ก่อนจะมีรับสั่งในสิ่งที่ทรงต้องการล่วงรู้
“ว่าแต่กระจายข่าวของข้าไปทั่วแคว้นแล้วใช่หรือไม่รองแม่ทัพ” รับสั่งถามย้ำกลับไป
“กระหม่อมจัดการตามพระบัญชาเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ ทั่วแคว้นในยามนี้ต่างล่วงรู้ว่าพระองค์ทรงได้รับบาดเจ็บสาหัสมีอาการเป็นตาย ยังมิหวนฟื้นคืนสติกลับมารอว่าวันใดจะสิ้นพระชนม์”
พระพักตร์สีเงินพยักขึ้นลงอย่างพึงพอพระทัยครั้นทรงได้ยินเช่นนั้น ก่อนจะได้ยินรองแม่ทัพกราบทูลถามอีกครา
“กระหม่อมไม่เข้าใจพระองค์จริงๆ เหตุไฉนจึงต้องปล่อยข่าวเช่นนี้ออกไป ทรงทำเช่นนี้จะทำให้ขวัญและกำลังใจของเหล่าทหารภายในกองทัพต้องสั่นคลอนเอาได้นะพ่ะย่ะค่ะ”
“ก็เพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น ใช่ว่าจะเป็นจริงเสียที่ไหนกันเล่า เจ้าเองก็เห็นว่าในยามนี้ข้าเป็นเช่นไรมิใช่รึ เหตุที่ต้องทำเช่นนี้เพราะจะอาศัยข่าวลือดังกล่าวเดินทางไปฝังพระศพเสด็จพ่อเป็นครั้งสุดท้าย” รับสั่งได้เพียงแค่นั้นก็หยุดลงเมื่อทรงรู้สึกมีบางอย่างวิ่งเข้ามาจุกที่คอ
“ข้าอยากเห็นพระพักตร์เสด็จพ่อว่าทรงเป็นอย่างไร ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยพานพบพระบิดาแม้แต่ครั้งเดียว ครั้นสวรรคตลงเช่นนี้ข้าก็อยากไปหาสักครั้ง และอยากรู้ว่าเสียงเล่าลือที่บอกว่าเสด็จพ่อสวรรคตทันที
เมื่อล่วงรู้ว่าข้าบาดเจ็บสาหัส และคงไม่รอดจนทำให้พระทัยวาย ข้ายังเป็นพระโอรสที่ทรงรักและอยู่ในความทรงจำอย่างนั้นรึจึงทรงเป็นเช่นนั้น” รบสั่งตัดพ้อออกมาจากความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในส่วนลึกของพระทัย
ภายใต้ความเงียบงันที่มิมีเสียงถ้อยเจรจาใดๆ ออกมาอีก องค์ชายอิ๋งหยางยกพระหัตถ์สะบัดไปมาเป็นสัญญาณว่าพระองค์ต้องการความเป็นส่วนตัว พร้อมมีรับสั่ง
“ข้าอยากพักผ่อนแล้ว เดี๋ยวเจ้าส่งสายไปสืบที่จวนสกุลจาง ข้าอยากรู้ความเป็นไปอย่างละเอียดและอยากรู้ว่าคนผู้นี้มีความคิดที่จะสนับสนุนผู้ใดกันแน่ และจัดกองกำลังส่วนหนึ่งติดตามข้าไปที่สุสานหลวง อีกสามวันข้างหน้าข้าจะไปร่วมงานพระราชพิธีฝังพระศพเสด็จพ่อเป็นครั้งสุดท้าย วันนั้นคงได้ครึกครื้นน่าดูเมื่ออนุชาทั้งหลายเห็นข้า!”
รับสั่งพร้อมยกพระหัตถ์ขึ้นเท้ากับโต๊ะทรงพระอักษร พลางสัมผัสขมับของพระองค์ เป็นพระอาการที่ทรงใช้เป็นประจำในขณะที่กำลังทรงวางแผนหรือครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ภายในพระทัย พระเนตรสีนิลกาฬฉายแววเจ้าเล่ห์พร้อมรอยแสยะยิ้มเย็นยะเยียบปรากฏขึ้นบนใบหน้าหลังหน้ากากสีเงิน