ณ บ้านน้อยริมลำธาร
“คุณยายเอาอีก!” เสียงหวานส่งเสียงเจื้อยแจ้วร้องขอข้าวจากฮูหยินฉางที่กำลังตักข้าวให้หญิงสาวจนพูนชาม จางเพ่ยอันรีบเอื้อมมือรับชามข้าวด้วยความดีใจ พลางใช้ตะเกียบที่ทำจากไม้ไผ่คีบข้าวเข้าปากด้วยความหิว เนื้อปลาย่างจนสุกหอมน่ากินและน้ำแกงปลา เพื่อบำรุงกำลังทำให้หญิงสาวเจริญอาหารอย่างยิ่งยวด
“คุณยายทำกับข้าวอร่อยจังเลยค่ะ อร่อยมากๆ อร่อยจริงๆ นะ” เธอพูดชมไม่ขาดปากพร้อมพุ้ยข้าวไปด้วย
สองสามีภรรยาหันไปมองหน้ากันก่อนจะยิ้มเจื่อนๆ เมื่อฟังคำพูดของสาวน้อยตรงหน้าไม่เข้าใจ ในขณะที่จางเพ่ยอันเริ่มจะรู้สึกตัวว่าเธอพูดอะไรผิดไปหรือไร ใยผู้อาวุโสทั้งสองจึงได้นั่งเงียบงันอยู่เช่นนั้น
“เอ่อ... หนูพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า ทำไมตากับยายถึงนั่งมองหน้าแบบนั้นคะ” หญิงสาวเอ่ยถามกลับไปพร้อมเคี้ยวข้าวที่อยู่ในปากพลางยกน้ำแกงซดตามไปด้วย ก่อนจะได้ยินหยงอู่เอ่ยขึ้น
“แม่หนู... เจ้าเป็นคนแคว้นใดรึ เป็นชาวเมืองฉินหรือเปล่า เหตุใดถ้อยเจรจราของเจ้าจึงแลดูแปลกชอบกลนัก ข้าและฮูหยินพยายามตั้งใจฟังเจ้าพูดอยู่เป็นนานแต่ก็หาเข้าใจถ้อยคำของเจ้าแต่อย่างใด”
ครั้นหญิงสาวได้ยินเช่นนั้นตะเกียบที่กำลังคีบเนื้อปลาเข้าปากหยุดชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะรีบนำเข้าปากดั่งเดิมพร้อมวางตะเกียบลงบนถ้วยข้าว เมื่อล่วงรู้ว่าคำกล่าวของเธอในยุคที่จากมาผู้คนยุคนี้หาได้เข้าใจกับสิ่งที่เธอพูดไม่
“ภาษาพูดในยุคประวัติศาสตร์ก็ไม่แตกต่างจากยุคปัจจุบันเสียเท่าไร อาจจะมีบางคำที่ต้องเรียนรู้เพิ่มเติมเพียงแต่สำเนียงนี่สิ จะแยกออกทันทีว่าเป็นชาวเมืองแคว้นใด อดีตชาติของเราคือชาวแคว้นฉินมิใช่เหรอ แล้วพูดแบบไหนกันหว่า” หญิงสาวนั่งมองถ้วยข้าวตรงหน้าเขม็ง ด้วยกำลังครุ่นคิดบางอย่างอยู่ภายในใจท่ามกลางสายตาของสองสามีภรรยา
“เออ... เจ้าเป็นอะไรไปแม่หนู ถ้าไม่สะดวกที่จะตอบก็ไม่เป็นไรนะ สบายใจเมื่อไรค่อยเล่าสู่กันฟังก็ได้” ฮูหยินฉางเป็นฝ่ายเอ่ยออกมา
ดวงตากลมโตมองสองสามีภรรยาที่ช่วยชีวิตเธอพร้อมส่งยิ้มหวานกลับไปให้
“ช่างเถอะ! ช่างเถอะ! มัวคิดเรื่องวิชาการในยุคนี้ได้ยังไงช่างไม่เข้าท่า จะพูดแบบไหนก็เหมือนกันทั้งนั้น แค่พูดให้สอดคล้องกับยุคสมัยของที่นี่้ก็พอ” หญิงสาวรำพึงอยู่ภายในใจพร้อมเอ่ยขึ้น
“เออ... หนู... เอ้ย! ท่านตาท่านยายอย่าเพิ่งเข้าใจข้าผิดไปนะ พอดีว่าข้าจดจำอะไรไม่ได้มากเสียเท่าไร ยังจำอะไรไม่ค่อยได้ก็เลยพูดอะไรแปลกๆ ฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่ตอนนี้ข้าเริ่มจะจำได้บ้างแล้ว อย่างไรเสียที่ผ่านมาก็ขอได้โปรดอภัยให้แก่ข้าด้วยเถิด” หญิงสาวพูดพลางส่งยิ้มหวานหยดย้อยให้กับสองตายาย
ในขณะที่สองสามีภรรยาพากันนั่งมองหญิงสาวด้วยความเอ็นดูพร้อมเอ่ยถามกลับไป
“ถ้าเช่นนั้นจดจำชื่อของเจ้าได้หรือไม่ มีชื่อเรียงเสียงใดรึ” ฮูหยินฉางเอ่ยถามกลับไป
ครั้นหญิงสาวถูกถามชื่อแซ่กลับมาตรงๆ เช่นนั้น เธอมิรอช้ารีบตอบกลับไปทันทีโดยไม่ต้องคิด
“อือ... ข้าจำได้แล้วท่านยาย ข้าชื่อเพ่ยอัน เรียกข้าว่าอันอันก็ได้” หญิงสาวตอบเป็นชื่อของเธอออกไปทันที
“อ่อ... ชื่อนี้สมรูปโฉมของเจ้าเสียจริง รูปก็งามนามก็เพราะ" ฮูหยินฉางกล่าวออกมาพลางยิ้มอย่างพึงพอใจ
"แล้วมาจากสกุลใดรึ” ผู้สูงวัยไม่วายถามกลับไปด้วยความอยากรู้
จางเพ่ยอันซึ่งกำลังซดน้ำแกงอยู่ในขณะนั้นหยุดชะงักไปชั่วขณะเมื่อถูกถามกลับมา
“ถ้าบอกว่าเราแซ่จาง คนทั่วไปก็จะรู้ทันทีว่ามาจากสกุลจาง ไม่เป็นผลดีกับตัวเองให้ตายสินะ ดีไม่ดีพวกคนที่ฆ่าเจี๋ยเจี๋ยจะตามแกะรอยมาถึงตัวเราได้ด้วย” หญิงสาวครุ่นคิดอยู่ในใจพลางวางน้ำแกงลงบนโต๊ะอาหารเมื่อรู้สึกว่าอิ่มแล้วพร้อมเอ่ยตอบกลบไป
“ข้าจำไม่ได้เลยท่านตาท่านยายว่ามาจากสกุลไหน พยายามนึกเท่าไรก็นึกไม่ออก แล้วก็ไม่รู้ว่าตัวเองมาจากไหนด้วย จากนี้ไปจะทำอย่างไรข้าก็ยังไม่รู้เลย ท่านตาท่านยายคงจะไล่ข้าไปแล้วใช่ไหมถึงได้ถามแบบนี้ อีกอย่างข้าก็กินจุด้วยแค่วันนี้ก็ทำให้ท่านยายหุงข้าวมากกว่าทุกวันแล้ว”
หญิงสาวหยั่งเชิงเอ่ยถามกลับไป ด้วยตลอดวันที่ผ่านมาเธอพบว่าสถานที่แห่งนี้สามารถซ่อนเร้นกายได้อย่างมิดชิด เหมาะที่จะเตรียมพร้อมเพื่อเตรียมแผนให้รัดกุมหากจะติดต่อกลับไปที่จวนสกุลจาง ซึ่งพ่อและแม่ในชาตินี้ของเธอรอคอยการกลับมาอยู่ตลอดเวลา
ในขณะที่สองสามีภรรยาครั้นได้ยินหญิงสาวถามกลับมาเช่นนั้น ทั้งคู่ต่างพากันส่ายหน้าไปมาติดๆ กันด้วยความเอ็นดูไม่คิดว่าเด็กสาวรูปโฉมสวยงามจะคิดว่าทั้งสองจะไล่นางไปอยู่ที่อื่น พร้อมเสียงของหยงอู่เอ่ยขึ้น
“พูดอะไรออกมาแบบนั้นเด็กโง่! ตรงกันข้ามข้าและฮูหยินดีใจเสียมากกว่าที่บ้านหลังนี้มีสมาชิกเพิ่มขึ้น อยู่กันตามลำพังสองคนตายายมานานมากแล้ว มีเจ้ามาอยู่ด้วยจะเป็นไรไป อยากอยู่นานแค่ไหนตามใจเถิด หรือจะอยู่ด้วยกันตลอดไปก็จะดีมากเลย” หยงอู่ตอบกลับมาท่ามกลางความดีใจของหญิงสาว
ร่างระหงรีบลุกจากตั่งที่เธอนั่งมาคุกเข่าลงบนเสื่อพร้อมก้มศีรษะโค้งคำนับสองสามีภรรยาทันที
“ถ้าเช่นนั้นเพ่ยอันขอฝากชีวิตกับท่านตาและท่านยาย ขอเป็นหลานสาวคอยดูแลและอยู่กับท่านทั้งสองคนด้วยนะเจ้าคะ” หญิงสาวรู้จักใช้ถ้อยเจรจาย้อนยุคดั่งเช่นคนในยุคอดีตได้อย่างคล่องแคล่ว
มือน้อยเรียวสวยรีบรินน้ำชาลงถ้วยสองใบพร้อมยื่นส่งให้ท่านผู้เฒ่าทั้งสองเพื่อเป็นการคาราวะและเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว สองสามีภรรยาพยักหน้าขึ้นลงด้วยความดีใจพลางเอื้อมมือรับถ้วยน้ำชายกขึ้นจิบเป็นการยอมรับหญิงสาวเข้ามาเป็นหลานสาวของคนทั้งคู่
“จากนี้ไปเจ้าก็เป็นคนสกุลหยงแล้วนะ ชื่อของเจ้ารวมกับแซ่ของข้าก็จะเรียกขานว่าหยงเพ่ยอัน ช่างดีเสียจริง ในที่สุดข้าก็จะได้มีผู้สืบทอดตำราแพทย์ที่มิมีใครสานต่อนี้ได้แล้ว” หยงอู่เอ่ยออกมา
จางเพ่ยอันนั่งอึ้งไปเลยทีเดียวด้วยความตกใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“โอ้โฮ! ท่านตาเป็นหมออย่างนั้นเหรอ” หญิงสาวเอ่ยถามกลับไปทันที
ชายชราพยักหน้าขึ้นลงติดๆ กันเป็นการยอมรับ
“เดิมทีข้าเป็นชาวแคว้นจงซาน มีวิชาแพทย์ติดตัวของบรรพบุรุษและมีโรงหมอเปิดรับรักษาคนป่วยในแคว้นนั้น พอแคว้นถูกทำลายลงก็เลยหนีมาตั้งรกรากอยู่ที่แคว้นฉินจนได้พบกับฮูหยินของข้า วิชาแพทย์ที่อยู่ติดกายจะนำมาใช้เมื่อพานพบคนรู้จักหรือได้ช่วยเหลือระหว่างทาง ซึ่งวิชาแพทย์ของข้าจะไม่ถ่ายทอดให้แก่ผู้ใดหากไม่ใช่สายเลือดของสกุล”
ใบหน้าแสนสวยพยักขึ้นลงครั้นได้ยินเช่นนั้น
“แล้วข้าเป็นเพียงแค่หลานสาวบุญธรรมมิได้มีสายเลือดจากสกุลหยงโดยตรงเช่นนี้แล้วท่านตาสามารถถ่ายทอดวิชาแพทย์ให้แก่ข้าได้ด้วยเหรอ” หญิงสาวถามกลับไปด้วยความอยากรู้
“ทำไมจะไม่ได้เล่าในเมื่อข้ายอมรับเจ้าเข้าตระกูลหยงในฐานะหลานสาวของข้า เช่นนี้แล้วมิได้ผิดเจตนาในการสืบทอดวิชาแพทย์ซึ่งเป็นตำราหมอเทวดาจากแคว้นจงซานแต่อย่างใด สืบทอดต่อๆ กันมาจากหมอเทวดาหยงเซี๊ยะในราชวงศ์เซี่ยเลยทีเดียว” หยงอู่กล่าวด้วยความภาคภูมิใจ
“หยงเซี๊ยะอย่างนั้นเหรอ ชื่อนี้ทำไมคุ้นจังเลย” หญิงสาวครุ่นคิดอยู่ในใจเมื่อรู้สึกว่าจะอ่านพบในประวัติศาสตร์ ก่อนจะเบิกตากว้างครั้นเธอจดจำได้
“หยงเซี๊ยะ หมอเทวดาในสมัยราชวงศ์เซี่ยโบราณ ผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าสามารถรักษาคนเจ็บหายทุกราย จนไปถึงทำให้คนตายฟื้นขึ้นมาได้ เล่าลือกันว่ายังสามารถล่วงรู้อนาคตได้อีกด้วย โอ้โฮ! สุดยอดเป็นบ้า ไม่อยากเชื่อเลยว่าฉัน... จางเพ่ยอันจะได้มาพบกับลูกหลานของหมอเทวดาหยงเซี๊ยะในเวลานี้” หญิงสาวรำพึงออกมาเบาๆ ก่อนจะคลานเข่าเข้าไปหาท่านผู้เฒ่าหยงอู่
“ท่านตา! หากท่านเชื่อว่าข้าสามารถเรียนรู้ตำราแพทย์ของสกุลหยงได้ ข้ายินดีที่จะเรียนรู้วิชาแพทย์ทั้งหมดของท่านเพื่อสืบทอดการเป็นหมอเทวดาของบรรพบุรุษต่อไป” หญิงสาวกล่าวพร้อมก้มศีรษะคำนับชายชราติดต่อกันสามครั้ง ท่ามกลางความพึงพอใจของหยงอู่ ส่งเสียงหัวเราะเบาๆ อยู่ในลำคอออกมาทันที
“ท่าทางเจ้าจะเป็นหมอที่เต็มไปด้วยความปราดเปรื่องและเจ้าเล่ห์ไม่เบาเชียวนะอันอัน” หยงอู่กระเซ้าหญิงสาวกลับไป ท่ามกลางเสียงหัวเราะของทั้งสามชีวิตที่เปล่งออกมาเต็มไปด้วยความสุขอย่างเห็นได้ชัด
จางเพ่ยอันเปล่งเสียงหัวเราะของเธอออกมาอย่างเต็มที่ ตลอดชีวิตที่ผ่านมาในชาติปัจจุบันที่เติบโตขึ้นมาอย่างโดดเดี่ยว ครั้นเมื่อเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ของสกุลหยงทำให้เธอมีความรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาทันที ครอบครัวที่เคยวาดฝันเอาไว้บัดนี้ได้มีโอกาสสัมผัสแล้ว และที่นี่คือบ้านหลังแรกของเธอนับตั้งแต่กลับมาในชาติอดีตอีกครั้ง
ในขณะเดียวกันเสียงหัวเราะและดวงตาเจ้าเล่ห์เปล่งประกายระยิบระยับอย่างมีความหวัง เมื่อเธอจะได้เรียนรู้วิชาแพทย์แผนโบราณ ซึ่งเคยอ่านในหนังสือประวัติศาสตร์พบว่าวิชาแพทย์ของชาวจีนโบราณเต็มไปด้วยความลี้ลับและมีตำรายาวิเศษมากมายเกิดขึ้นนับตั้งแต่ก่อตั้งราชวงศ์เซี่ยซึ่งเป็นราชวงศ์แรกของจีน
“ในที่สุด! ฉันก็ได้เรียนวิชาแพทย์โดยไม่ต้องมีใบประกอบโรคศิลป์แล้ว” หญิงสาวเอ่ยพร้อมส่งเสียงหัวเราะด้วยความชอบอกชอบใจเป็นการใหญ่
จางเพ่ยอันชูแขนทั้งสองข้างขึ้นสูง ท่ามกลางสายตาของสองสามีภรรยาต่างพากันนั่งมองกิริยาแปลกประหลาดของหลานสาวที่เพิ่งรับเข้าสกุล ก่อนจะพากันตกใจไปตามๆ กันเมื่อจู่ๆ คนงามก็ตะโกนคำแปลกประหลาดดังลั่นออกมา
“สู้โว้ย!!!”