ตอนที่ 4 คนนิสัยเสีย (3)
ที่สำคัญ แววตาดื้อดึงแข็งข้อยามที่นางว่ากล่าวตักเตือนเหมือนไม่ยอมเชื่อฟังนั่นต่างหาก ที่ทำให้นางหงุดหงิดแทบทนไม่ได้เช่นนี้
พยายามบอกเรื่องนี้กับลูกชายหลายครั้งแล้วว่าเด็กนี่เริ่มออกลายไม่ได้น่าเอ็นดูน่าสงสารอย่างที่เขาคิด แต่เจ้าลูกชายคนนี้ก็เอาแต่บอกว่า น้องยังเด็กๆ บ้าบอชัดๆ ยังไงวันนี้นางจะไม่ยอมอีกแล้ว มีอย่างที่ไหน พ่อแม่ส่งมาให้ปรับปรุงพฤติกรรมแท้ๆ กลับมาทำตัวแย่ลงกว่าเดิม
ร่างอ้วนท้วมพยายามเดินขึ้นบันไดช้าๆ อย่างระมัดระวังทั้งที่ในใจเดือดปุดๆ ครั้นไปถึงหน้าห้องของสาวน้อยได้ก็ระดมเคาะประตูดังสนั่นหวั่นไหว
แต่ก็ต้องอารมณ์เสียมากไปกว่าเดิมเมื่อคนในห้องไม่ยอมเปิดประตู แล้วนางจะทำอะไรได้นอกจากเสียมารยาทกระชากประตูเปิดออกมาเอง
ภาพคนนอนหลับตาพริ้มพร้อมรอยยิ้มมีความสุขทำเอาคนลากสังขารขึ้นมาชั้นสองควันออกหู นางสุดาตรงเข้าไปกระชากลากถูนิรดาลงมาจากเตียงทันที
“โอ๊ย อะไรของยายเนี่ย หนูเจ็บนะ” สาวน้อยโอดโอยเมื่อโดนลากถูโดยไม่รู้ตัว
“อีเด็กบ้า ฉันไม่ใช่ยายแก อย่ามาเรียกอย่างนี้นะ” คนแก่กว่าตวาดเสียงห้วน
“ก็แก่แล้วนี่ เป็นยายน่ะดีแล้ว”
“หนอย อีเด็กพ่อแม่ไม่สั่งสอน ลุกขึ้นมาเลยนะ” ว่าพลางกระชากคนที่นั่งคุดคู้อยู่ที่พื้นให้ลุกขึ้นมา ในใจก็พร่ำขอโทษขอโพยคุณนนท์และคุณนิตยาด้วยว่าไม่ได้ตั้งใจด่าคนทั้งคู่ แค่ปากมันไปไวกว่าที่สมองสั่งการ
“อย่ามาด่าพ่อแม่หนูนะ”
“ไม่อยากให้ด่าก็ลุกขึ้นมาได้แล้ว นอนจนตะวันสายโด่ง เป็นสาวเป็นแส้ รู้ถึงไหนอายถึงนั่น”
“ก็หนูยังง่วงอยู่นี่”
“เถียงคำไม่ตกฟากจริงๆ เลย ไม่เคยได้ยินหรือไง อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย ปั้นวัวปั้นควายปั้นหมาปั้นแมวให้ท่าน ไม่รู้จักประสีประสา” คนแก่กว่ายังเทศนายาวเหยียด จนคนฟังทนรำคาญไม่ไหว
“น่ารำคาญจริงๆ เลย ลุกก็ได้”
เมื่อเด็กดื้อยอมลุกขึ้นยืนโดยดีและไม่มีทีท่าจะกลับไปนอนต่อ คนขี้บ่นจึงยอมเดินหน้าบึ้งออกไปจากห้อง คิดแล้วก็โมโหไม่หาย ชีวิตอันเคยสงบราบเรียบอยู่กับลูกชายสองคนมาเนิ่นนาน ต้องมาปวดกบาลกับการมีคนมาร่วมชายคาด้วย มาใหม่ๆ ก็เหมือนจะดี แต่ตอนนี้ยัยเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเริ่มแผลงฤทธิ์นอนตื่นสายจนตะวันจะตรงหัวอยู่แล้ว และนางก็เป็นคนไม่ชอบคนขี้เกียจมาแต่ไหนแต่ไร ถึงกับทนไม่ได้ต้องขึ้นไปปลุกถึงในห้องนอน
งานนี้ไม่จบง่ายๆ แน่ยัยเด็กบ้า เพราะมันทำตัวอย่างนี้น่ะสิ พ่อแม่ถึงเอาไม่ไหว เลยเอามาปล่อยให้ชาวบ้านเขาต้องเดือดร้อนปวดหัวแทน
คิดไปโกรธไปด่าไป ไม่รู้จะหาทางออกยังไง กระทั่งลงมาถึงด้านล่างและมองเห็นโทรศัพท์บ้าน แล้วจึงยิ้มออกมาได้
กดเลขหมายที่จำได้ขึ้นใจ ไม่นานเสียงทุ้มนุ่มก็ตอบรับ
“ครับแม่”
“น้ำ แม่ไม่ไหวแล้วนะ” นางใส่อารมณ์เต็มที่ตั้งแต่ประโยคแรก
“มีอะไรหรือครับ แม่เป็นอะไร”
“ก็อีเด็กบ้านุ่มน่ะสิ” มีความชังน้ำหน้าปนอยู่ในน้ำเสียง
“หนูนุ่มทำอะไรหรือครับแม่ มีเรื่องอะไรกันหรือเปล่า”
“มันตื่นสาย นี่ตะวันจะตกดินอยู่แล้วเพิ่งจะลุกออกจากเตียง และมันไม่ได้ตื่นเองด้วยนะ แม่นี่แหละไปปลุก มันถึงได้ยอมตื่น” นางสุดาบอกเสียงสะบัด ก็บอกแล้วว่านางไม่ชอบคนเกียจคร้าน แถมคนที่พาดพิงถึงก็ดื้อด้วยเป็นของแถม แล้วจะให้นางเอ็นดูลงได้ยังไง มีแต่จะชังกว่าเดิมสิไม่ว่า
“แม่ครับ น้องยังเด็ก อย่าถือสาเลยครับ”
“โอ๊ย ตาน้ำ แกเอาอะไรดูถึงได้คิดว่ามันเด็ก ไม่รู้ล่ะ แม่ไม่ยอม น้ำต้องจัดการให้แม่ แม่ไม่ชอบเด็กนิสัยเสียแบบนี้ แค่นี้นะ วันนี้กลับมาเร็วๆ นะลูก” ว่าแล้วก็วางสาย ไม่สนใจว่าลูกชายจะพูดอะไรต่อ คนอย่างตาน้ำใจดีจนเลยดี นางต้องโวยวายให้เขาคิดมากนั่นแหละถูกแล้ว จะได้หาทางจัดการยัยเด็กแสบนี่ให้หน่อย ไม่งั้นก็เห็นทีจะอยู่ร่วมบ้านกันลำบากแน่
ธารนทีก้าวฉับๆ เข้ามาในบ้านอย่างเร็วไว วันนี้เขากลับดึกกว่าทุกวัน ก็เจ้ามูมู่นั่นล่ะอาการไม่ค่อยดี อยู่ๆ ก็น้ำตาไหล หายใจหอบถี่ แม้จะกินอาหารได้ เดินได้ปกติ แต่เขาก็ยังไม่วางใจนัก ด้วยอาการที่เห็นคล้ายๆ กับอาการของโรควินหรือโรคขาดวิตามินเอที่เคยพบในวัวตัวอื่นๆ บ้าง นานๆ ครั้ง
เขาจึงจำเป็นต้องคอยเฝ้าดูแลอย่างใกล้ชิด พร้อมๆ กับให้ความรู้และคำแนะนำแก่คนงานผู้ดูแลวัวในฟาร์มไปด้วย ตอนนี้อาหารสุดโปรดอย่างฟางแห้งที่เจ้ามูมู่ชอบจำต้องงดไปโดยปริยาย เพราะต้องเปลี่ยนมาเป็นหญ้าสดแทน ตอนที่เขาจะกลับมาเจ้ามูมู่ก็เหมือนจะดีขึ้นบ้างแล้ว มันไม่หายใจหอบถี่เหมือนเมื่อตอนกลางวันแล้ว แต่ก็ยังไม่แน่ ยังไงพรุ่งนี้เขาต้องออกไปดูแต่เช้าอีกครั้ง
ว่าแต่ตอนนี้ก็สามทุ่มแล้ว สองสาวต่างวัยคงไปนอนกันหมดแล้วแน่ๆ เพราะในบ้านไฟดับเกือบทุกดวง มีเพียงตรงกลางของบ้านที่เป็นห้องรับแขกเท่านั้นที่ยังคงมีแสงสว่างอยู่