ใบหน้าน่ารักที่เชิดขึ้นอย่างเย่อหยิ่งถือดี และไม่มีท่าทีสะทกสะท้านต่อคำบอกคำสอนใดๆ นั้น แทบจะทำให้คนที่นั่งอยู่ตรงข้าม ทะยานเข้าไปฉุดให้ลุกขึ้นยืนและฟาดไม้เรียวลงบนสะโพกงอนๆ งามๆ สักสองสามที เผื่อแม่ตัวดีจะสำนึกอะไรขึ้นมาได้บ้าง ไม่ใช่มีแต่หาเรื่องหาราวให้เขากับภรรยาต้องปวดเศียรเวียนเกล้าหลายครั้งหลายคราอยู่แบบนี้
นนท์ สิริลดาวงศ์ เป็นคุณพ่อวัยเกือบกลางคนที่ยังคงหนุ่มแน่นของเด็กสาวคนที่กำลังนั่งกอดอกอยู่ตรงหน้า ยัยตัวแสบของเขากลอกตาไปมาทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ได้อย่างน่าตีมากๆ
ทั้งที่เขาไม่เคยเลี้ยงดูแบบตามใจอะไรมากเลยสักนิด แต่ทำไมยัยลูกบังเกิดเกล้าคนนี้ถึงได้ดื้อรั้น ไม่ฟังใคร เอาแต่ใจ แถมยังเอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่แบบสุดๆ อีกต่างหาก
เชื่อเถอะว่าถ้า นิตยา ภรรยาคนสวยของเขา กลับมาจากข้างนอกแล้วได้รู้เรื่องราวที่ลูกสาวสุดที่รักไปก่อเอาไว้ คงได้เป็นลมล้มพับไปแน่ๆ
“ที่พ่อพูดพ่อบอกไปเนี่ย เราไม่สนใจฟังเลยใช่มั้ยหนูนุ่ม”
ผู้ชายอบอุ่นที่สุดของบ้านเอ่ยถามอย่างระงับอารมณ์ฉุนเฉียว แน่นอนว่าโดยพื้นฐานนิสัย เขาไม่ใช่คนใจเย็นอะไรมากมาย เพราะอย่างนั้นเชื้อใจร้อนและเจ้าอารมณ์จึงถ่ายทอดไปยังสายเลือดคนนี้ได้เต็มที่ เรียกว่าเต็มที่เกินไปด้วยซ้ำ
“นุ่มฟังค่ะ ก็คุณพ่อบังคับให้นุ่มนั่งฟังนิ่งๆ ไม่ให้เถียง ไม่ให้ไปไหน แล้วคุณพ่อจะมาว่านุ่มไม่ตั้งใจฟังทำไมคะ”
หนูนุ่ม หรือ นางสาวนิรดา สิริลดาวงศ์ วัยสิบแปดปี เถียงออกมาในที่สุด หลังจากนั่งฟังพระบิดาเทศนาไปหลายกัณฑ์
“แล้วจะปรับตัวใหม่มั้ย รับปากพ่อก่อนว่าจะไม่ทำอะไรไม่เข้าท่าแบบนี้อีก”
“นุ่มไม่รับปากอะไรทั้งนั้นค่ะ ถ้าใครกล้ามาหือหรือรังแกนุ่ม นุ่มไม่ปล่อยมันไว้ทั้งนั้น”
สาวน้อยคนงามเริ่มหน้าบูดเป็นตูดเป็ดเมื่อถูกตำหนิซ้ำๆ ซากๆ ในสิ่งที่เธอคิดว่าไม่ได้เป็นความผิดของตนทั้งหมด หรือหากจะผิด เธอก็ไม่ชอบเลยสักนิดที่จะต้องโดนดุ แม้ท่าทีจะยียวนเหมือนไม่ได้เกรงกลัวบทลงโทษของบิดา แต่ทว่าในใจนั้นลุ้นยิ่งกว่าผลสอบโอเน็ต
แอบปรายสายตามองไปยังไม้เรียวที่ถูกเก็บไว้ในซอกหนึ่งของห้องรับแขกเป็นระยะ ภาวนาว่าขอพ่ออย่าได้เดินไปหยิบมันมาวางใกล้เธอเลย
“หนูนุ่ม...พ่อเตือนเราแล้วนะ” เสียงบิดาเย็นยะเยือกจนขนบนผิวกายบางใสลุกซู่
ไอ้กลัวก็กลัวอยู่ แต่จะให้ยอมแพ้แม่สาวน้อยก็คิดหนัก เธอไม่ได้เป็นคนผิดก่อนจริงๆ นี่ ที่ทำไปน่ะมันสมควรแล้ว
“ถ้าคุณพ่อจะตีนุ่ม ก็ตีเลยค่ะ ยังไงนุ่มก็จะไม่สำนึก และไม่มีทางไปขอโทษมันด้วย นุ่มไม่ผิด” ลองเสี่ยงดู จ้างให้พ่อก็ไม่กล้าตีหรอก ไม้เรียวมีไว้แค่ใช้ขู่หรอกน่า แต่ดูท่า…เธอคงคิดผิด
ร่างสูงผุดลุกขึ้น เดินลิ่วๆ ไปฉวยไม้เรียวยาวขนาดใหญ่เท่าสายไฟเตารีดแล้วเดินกลับมาทันที ใบหน้าที่ยังมีเค้าความหล่อเหลาไม่จาง แดงก่ำด้วยถึงซึ่งจุดเดือด เขาไม่คิดเลยว่าลูกสาวสุดที่รักที่ใครต่างมองว่าเป็นสาวน้อยบริสุทธิ์แสนดีจะร้ายกาจและแย่ถึงเพียงนี้ ทั้งที่มีพ่อและแม่คอยสั่งสอนสิ่งดีๆ เสมอมา
“ลุกขึ้นมา ในเมื่อพูดไม่ฟัง พ่อก็จะไม่ใจดีกับเราอีก”
เสียงประกาศิตที่เอ่ยกร้าวออกมา ทำให้ใบหน้าที่เชิดอยู่ก่อนนั้นหดลงจนเหลือไม่ถึงสองนิ้ว เอาจริงหรือนี่!
“พ่อบอกให้ลุกขึ้น!” นนท์ประกาศกร้าว ความโมโหโกรธาที่เลี้ยงลูกไม่ได้ดั่งใจ ยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งของความเจ็บปวดในหัวอกพ่อ ที่รู้สึกว่าตนเลี้ยงลูกมาได้ไม่ดีพอ นิรดาจึงก่อปัญหาให้ตามแก้ไม่จบไม่สิ้น
ผลัวะ! ผลัวะ! ผลัวะ!
เสียงไม้เรียวดังสนั่นยามกระทบกับกระโปรงนักเรียนมัธยมติดกันสามครั้งซ้อน จากหลักฐานเป็นน้ำใสๆ ที่ไหลเปื้อนแก้มขาว คงเป็นคำตอบได้ดีว่าแรงทั้งหมดที่มีของบิดาใส่มาไม่ยั้ง
นนท์อยากจะลงโทษมากกว่านั้น แต่ครั้นเห็นร่างน้อยยืนนิ่ง ไม่มีกระทั่งเสียงสะอื้นหรืออ้อนวอนแม้น้ำตาจะไหลบ่าไม่หยุด ก็สงสารจับใจ
นานแล้วที่เขาไม่ได้ออกแรงตีนิรดาจนสุดกำลังแบบนี้ ทุกๆ ครั้งที่เคยลงโทษ ก็ตีเบาะๆ เพียงทีสองที แค่นั้นแม่ตัวดีก็ร้องจ้า บีบน้ำตาเสียงอ่อนเสียงหวาน และนั่นก็ทำให้คนเป็นพ่ออย่างเขาใจอ่อนไปเสียทุกรอบ
แต่ครั้งนี้สาวน้อยควรจะได้เรียนรู้ความเจ็บปวดบ้าง จากการกระทำที่ไร้ซึ่งความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น สมควรแล้วที่ต้องโดนลงโทษ ซึ่งแค่นี้ยังน้อยไป เห็นทีเขาต้องหาวิธีกำราบให้อยู่หมัดเสียแล้ว…
ยิ่งได้รับฟังคำพูดที่บอกเล่าออกจากปากหนาหยักของสามีสุดที่รักเท่าไหร่ นางนิตยา สิริลดาวงศ์ ก็ยิ่งหน้าซีดเผือดลงเรื่อยๆ เท่านั้น ไม่อยากจะเชื่อว่าลูกสาวที่รักปานแก้วตาดวงใจจะร้ายกาจขนาดนี้
ที่ผ่านมาทั้งเธอและสามีคอยอบรมเลี้ยงดูฟูมฟักด้วยความทะนุถนอม ลิ้นไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม อะไรดีอะไรผิดก็ค่อยๆ บอก ค่อยๆ สอนมาโดยตลอด
ไม่นึกว่าแม่หนูนิรดา ที่ฉากหน้าแสนเรียบร้อย นิ่งเฉย และอ่อนหวาน จะกลายเป็นสาวห้าว ทโมน หัวแข็ง ไม่ยอมใคร จนถึงขั้นลงไม้ลงมือไปเสียได้