แคว้นฉู่
กองทหารสวมชุดเกราะมีจำนวนมากมายหลายร้อยนาย ต่างพากันแยกย้ายกระจายกำลังตรงเข้าไปภายในจวนอันกว้างใหญ่ของตระกูลหลัวและตระกูลเสิ่น ซึ่งเป็นจวนของคหบดีผู้มั่งคั่งนามว่าหลัวฉางและเป็นจวนของแม่ทัพลือชื่อนามว่าเสิ่นเยี่ย ตามพระราชราชโองการของฉู่อ๋อง ให้ประหารชีวิตตระกูลหลัวและตระกูลเสิ่นรวม 889 ชีวิตให้สูญสิ้นทั้งตระกูล
ด้วยหลัวฟูเหริน กระทำความผิดอย่างร้ายแรงบังอาจคบชู้และหลอกลวงเบื้องสูง สำคัญผิดให้คิดว่าบุตรในครรภ์เป็นสายพระโลหิตจึงมีพระราชโองการให้ประหารชีวิตทั้งตระกูล
และยังมีทหารอีกหลายร้อยนายจู่โจมเข้าจวนแม่ทัพใหญ่เสิ่นเยี่ยของต้าฉู่ ยึดจวนแม่ทัพและกองทหารสามหมื่นนายกลับคืน รวมไปถึงนำกำลังทหารไปยังจวนตระกูลเสิ่น เพื่อนำผู้คนภายในตระกูลเข้าคุกหลวง ชีวิตทั้งสองตระกูลรวมแล้ว 889 ชีวิต จะต้องถูกประหารซึ่งจะมีขึ้นในอีกสามวันข้างหน้า
ตระกูลหลัว เดิมทีมีรากเหง้าเป็นชาวต้าซ่งได้เข้ามาตั้งรกรากในแผ่นดินต้าฉู่ภายหลังจากแคว้นล่มสลายเพราะถูกแคว้นหานบุกยึดชิงแคว้นได้เป็นผลสำเร็จ ตระกูลหลัวหนีตายอพยพผู้คนและทรัพย์สินมีค่าเข้ามาภายในต้าฉู่ และตั้งรกรากลงในผืนแผ่นดินสร้างบ้านเรือนและประกอบการค้าทำมาหากินอย่างสุจริต
ตระกูลหลัวจากเดิมที่เป็นเพียงตระกูลพ่อค้าวาณิชย์ธรรมดา หากแต่ด้วยความเฉลียวฉลาดของหลัวอิน ซึ่งเป็นผู้นำของตระกูลในยุคสมัยนั้น ทำให้ประกอบการค้าเจริญรุ่งเรืองและเป็นเจ้าของกิจการมากมาย ที่เจริญรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว ภายในเมืองหลวงของต้าฉู่ไม่มีผู้ใดไม่รู้จักตระกูลหลัว จนสามารถกลายเป็นคหบดีผู้มั่งคั่งที่สุดของต้าฉู่
จวบจนกระทั่งมาถึงรุ่นหลัวฉาง มีธิดาคนงามนามว่าหลัวหลานเฟิน ความงามของนางเป็นที่เลื่องลือไปทั่วแผ่นดินจนล่วงรู้ไปถึงราชสำนักต้าฉู่ จึงเรียกนางให้เข้าถวายตัวให้แก่ฉู่อ๋อง และนางได้ทำให้ตระกูลหลัวก้าวขึ้นมาเป็นตระกูลที่ได้รับเกียรติอย่างสูงสุดเมื่อนางเป็นที่โปรดปรานของฉู่อ๋องอย่างยิ่งยวด
หลัวหลานเฟินได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็นฟูเหรินชั้นเอก ซึ่งในเวลานั้นตำแหน่งฮองเฮาได้ว่างลงด้วยเพราะเสด็จสิ้นพระชนม์ในขณะที่กำลังมีพระประสูติกาล
ด้วยเหตุนี้หลัวหลานเฟินจึงได้รับความไว้วางใจจากฉู่อ๋อง ให้มีอำนาจควบคุมวังหลังเอาไว้ทั้งหมด และตั้งพระทัยเอาไว้ว่าจะโปรดเกล้าแต่งตั้งนางขึ้นเป็นฮองเฮา หากนางสามารถให้กำเนิดพระราชโอรส
ตำแหน่งฮองเฮาแห่งต้าฉู่ ช่างยิ่งใหญ่และมีอำนาจเหนือผู้คนทั้งปวง สตรีภายในวังหลังล้วนหมายปองตำแหน่งดังกล่าวอย่างยิ่งยวด รวมไปถึงหมายปองทุกชีวิตที่หาญกล้าแย่งชิงตำแหน่งนี้ไปจากผู้ที่หวังครอบครองตำแหน่งนี้มาโดยตลอด
และหลัวหลานเฟินก็ต้องพบกับจุดจบไม่แตกต่างไปจากอดีตฮองเฮาที่เพิ่งสิ้นพระชนม์ไป
ด้วยมี่ฟูเหรินได้มีหลักฐานชี้ชัดว่า หลัวฟูเหรินกับแม่ทัพเสิ่นเยี่ยมีใจผูกพันต่อกัน และยังกล่าวหาว่าบุตรในครรภ์ของหลัวฟูเหรินหาใช่สายพระโลหิตของฉู่อ๋อง
หากแต่เป็นสายเลือดของแม่ทัพใหญ่ผู้กล้า ทั้งสองถูกจับกุมตัวเข้าคุกหลวงในขณะที่แม่ทัพเสิ่นเยี่ยเดินทางมาเข้าเฝ้าเพื่อเยี่ยมหลัวฟูเหริน ด้วยความห่วงใยเพราะแอบหลงรักหลัวหลานเฟินเพียงข้างเดียว
หากแต่นางมีความรู้สึกให้กับแม่ทัพผู้กล้าเป็นเพียงได้แค่พี่ชายเท่านั้น ทว่าบรรดาของกำนัลและของฝากมากมายที่แม่ทัพผู้กล้านำมาถวายเพราะความรักจากหัวใจที่หลงรักนางเพียงข้างเดียว ทำให้เกิดมหันตภัยครั้งใหญ่หลวงที่เกิดขึ้นกับตระกูลหลัวและตระกูลเสิ่น โดยที่ไม่มีผู้ใดสามารถช่วยอะไรได้เลย
ด้วยเพราะไร้สิ้นหลักฐานที่จะนำมายืนยันความบริสุทธิ์ของทั้งสอง อีกทั้งหากจะกล่าวกันตามความเป็นจริงแล้ว
ความรักของแม่ทัพเสิ่นเยี่ยที่มีต่อหลัวหลานเฟินนั้น มีมานานมากแล้วตั้งแต่นางยังไม่ถูกพระราชโองการเรียกเข้าไปถวายตัวกับฉู่อ๋องเสียด้วยซ้ำ เพราะแม่ทัพผู้กล้าหลงรักนางตั้งแต่แรกเห็น ในวันที่ได้รับเชิญไปในพิธีปักปิ่นของหลัวหลานเฟิน
และนับตั้งแต่นั้นมาแม่ทัพเสิ่นเยี่ย ก็แวะเวียนมาเยือนจวนตระกูลหลัวไม่เคยว่างเว้น และตั้งใจเอาไว้ว่ากลับจากทำสงครามกับแคว้นอู๋ จะทาบทามสู่ขอนางมาเป็นฮูหยินเอก
ทว่าภายหลังเดินทางกลับมาจากทำสงครามระหว่างแคว้น กลับล่วงรู้ว่าหลัวหลานเฟินได้รับการแต่งตั้งให้กลายเป็นฟูเหรินขั้นหนึ่งของฉู่อ๋องไปเสียแล้ว สตรีต้องห้ามที่บุรุษใดไม่สามารถแตะต้องนางได้อีกต่อไป นำความเสียใจเจ็บปวดระทมร้าวลึกให้แก่เสิ่นเยี่ยเป็นอย่างยิ่ง
และความผูกพันดังกล่าวมี่ฟูเหรินได้ล่วงรู้เข้าด้วยความบังเอิญจากญาติผู้น้องของนาง จึงทำให้นางวางแผนทำลายล้างหลัวฟูเหรินเพื่อกำจัดนางให้พ้นไปจากตำแหน่งว่าที่ฮองเฮา พร้อมกับแม่ทัพเสิ่นเยี่ยผู้ลือนามเพื่อให้ญาติผู้น้องของนางก้าวขึ้นควบคุมกองทัพของต้าฉู่ทั้งหมดแทนแม่ทัพผู้กล้า
ช่างน่าเวทนาโชคชะตาของทั้งสองเสียนี่กระไร เมื่อสวรรค์เบื้องบนกลับเป็นใจให้มี่ฟูเหรินกระทำการทุกอย่างสำเร็จลุล่วงเป็นไปตามแผนการที่วางเอาไว้ทุกประการ
โดยหยวนคังญาติผู้น้องของมี่ฟูเหริน ร่วมมือวางแผนร้ายในครั้งนี้ด้วยเพื่อต้องการก้าวขึ้นมาแทนที่แม่ทัพเสิ่นเยี่ยนั่นเอง ตราบใดที่แม่ทัพผู้กล้ายังมีชีวิตอยู่ไม่มีทางที่จะก้าวขึ้นมาผงาดและรุ่งโรจน์ได้อย่างแน่นอน
แม่ทัพเสิ่นเยี่ยถูกประหาร โดยให้ม้าแยกร่างออกเป็นห้าส่วน ในขณะที่หลัวฟูเหริน พระราชทานผ้าขาวให้นางแขวนคอตัวเองตายในตำหนักมืด
ส่วนเครือญาติของตระกูลหลัวและตระกูลเสิ่นได้ถูกนำมาประหารกลางแจ้งที่บริเวณลานประหารด้วยกันทั้งหมด เสียงร่ำไห้ของเหล่านักโทษประหารดังก้องระงมไปทั่วบริเวณคุกหลวงอยู่ตลอดเวลา
บริเวณกำแพงเมือง
ศีรษะที่ตัดออกจากร่างของแม่ทัพเสิ่นเยี่ยถูกนำมาเสียบประจานบริเวณกำแพงเมือง ภายหลังจากสิ้นชีพเพราะถูกม้าแยกร่างออกจากกันอย่างน่าสยดสยองต่อสายตาผู้คนที่กำลังยืนมองอยู่ในเวลานี้ โลหิตแดงฉานตกกระทบลงสู่พื้นไม่ขาดสาย ไหลเนืองนองไปทั่วบริเวน
ท่ามกลางสายตาของชาวเมืองที่กำลังแหงนหน้ามองศีรษะดังกล่าว ร่างสูงผึ่งผายของบุรุษสวมหมวกผ้าปิดบังเอาไว้อย่างมิดชิดยืนมองการประหารเบื้องหน้าด้วยความแค้นที่มากล้นพันทวี มือทั้งสองข้างกำเข้าหากันจนแน่นด้วยมิอาจช่วยชีวิตผู้คนในตระกูลเสิ่นได้เลย
เสิ่นอี้ ในวัยยี่สิบสองปีน้องชายร่วมสายโลหิตเดียวกันของแม่ทัพเสิ่นเยี่ย เป็นเพียงชีวิตเดียวที่รอดพ้นจากการประหารล้างตระกูลในครั้งนี้ ด้วยเพราะชายหนุ่มเป็นชาวยุทธ์ ออกจากจวนตั้งแต่อายุสิบสองปีเพื่อฝึกวรยุทธ์ที่ขุนเขาหัวซาน ตระเวนท่องยุทธภพเพื่อฝึกฝนวิชาจนไม่ได้หวนคืนกลับสู่จวนตระกูลเสิ่นของตัวเอง
ครั้นมาล่วงรู้ข่าวอีกครั้งว่าตระกูลเสิ่นได้รับโทษประหารล้างตระกูล เสิ่นอี้ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการเดินทางกลับบ้านของตัวเองเป็นครั้งแรกในรอบสิบปีที่ออกจากจวนไปฝึกปรือวรยุทธ์ รีบเร่งเดินทางกลับต้าฉู่ควบม้าห้อตะบึงไม่หยุดพักตลอดสามวันสามคืนเพื่อหวังกลับมาช่วย ทว่าสิ่งที่เห็นคือศีรษะของพี่ชายถูกเสียบประจานเอาไว้บนกำแพงเมืองอยู่ในเวลานี้
“พี่ใหญ่!!!”เสียงพึมพำดังลอดออกมาด้วยความเสียใจเป็นที่สุด ก่อนจะหยุดชะงักครั้นได้ยินเสียงกระซิบกระซาบของชาวเมืองผู้หนึ่งเอ่ยโจษขานแทรกขึ้นอยู่ทางด้านหลัง
“ช่างน่าเสียดายแม่ทัพเสิ่นจริงๆ เลย ที่จะต้องมาจบชีวิตเช่นนี้ มิหนำซ้ำยังถูกประหารล้างบางทั้งตระกูล หากพูดกันตรงๆ ว่าข้าเชื่อเรื่องที่เล็ดรอดออกมาจากวังหลวงว่าแม่ทัพเสิ่นกับหลัวฟูเหริน คบชู้กันหรือเปล่าเรื่องนี้ก็พูดยาก เพราะทั่วทั้งเมืองหลวงต่างล่วงรู้กันเป็นอย่างดีว่าท่านแม่ทัพไปมาหาสู่กับตระกูลหลัวมานานแล้ว ทั้งนี้ เพื่อไปพบหลัวฟูเหรินตั้งแต่ยังไม่ถูกเรียกเข้าไปถวายตัว เพราะนั่นก็เท่ากับว่า ฉู่อ๋องนั่นแหละที่มาพรากคนรักให้แยกจากกัน”
“เจ้าเอาความมั่นใจมาจากไหนถึงพูดออกมาเช่นนั้น หากคนของมี่ฟูเหรินมาได้ยินเข้า เจ้าจะต้องสังเวยชีวิตเป็นรายต่อไป มิเกรงกลัวบ้างหรืออย่างไง”สหายที่ยืนอยู่ข้างกายกล่าวท้วงติง
“ก็ที่ข้าพูดออกมาทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องจริงหรือเจ้าจะเถียง เจ้าและข้าต่างเป็นบ่าวของแม่ทัพหยวน ได้ยินเรื่องนี้ออกมาจากปากของท่านแม่ทัพอยู่ตลอดเวลานะ อีกอย่างทั่วเมืองต่างล่วงรู้ดีว่า มี่ฟูเหรินเคยเป็นที่โปรดปรานของฉู่อ๋องก่อนที่หลัวฟูเหรินจะถูกเรียกให้เข้าไปถวายตัว จนทั่วทั้งเมืองหลวงคิดว่าตำแหน่งฮองเฮาจะต้องเป็นของนาง”
ถ้อยคำดังกล่าวที่เอ่ยออกมานั้น จู่ๆ ก็เงียบงันลงไปทันใด ทำให้เสิ่นอี้ที่กำลังยืนอยู่ในเวลานั้นค่อยๆ หันกายกลับมามองทางด้านหลังว่าเกิดเหตุสิ่งใดขึ้น
มือของเพื่อนที่ยืนอยู่ข้างกายคล้ายจะเป็นเพื่อนสนิทหรือญาติกำลังปิดปากคนที่กำลังกล่าวถึงมี่ฟูเหรินอยู่ในเวลานั้นให้เงียบปากลงด้วยเพราะเกรงกลัวจะโดนโทษทัณฑ์
“เจ้าเพื่อนบ้าเอ้ย! จะป่าวประกาศหาที่ตายเข้ามาหาตัวเองหรืออย่างไร เหตุใดจึงไม่เชื่อกันบ้างหรือไง ข้ายังไม่อยากตายหรอกนะ ยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อไปเท่าที่เป็นอยู่ในเวลานี้ก็ลำบากมากพอแล้ว พูดออกไปก็หามีผู้ใดสนใจคำกล่าวของเจ้าไม่เห็นหรืออย่างไง”กล่าวพร้อมกวาดสายตามองไปโดยรอบ
“แต่ข้าสนใจในสิ่งที่เพื่อนของเจ้าพูด”เสิ่นอี้กล่าวออกมาทันที
ชาวเมืองทั้งสองต่างหยุดชะงักไปโดยพลันครั้นได้ยินเช่นนั้น
“ทะ...ท่าน..อย่าไปสนใจคำกล่าวของเพื่อนข้าผู้นี้เลยนะ ไม่น่าเชื่อถือแม้แต่น้อย”กล่าวพร้อมรีบลากเพื่อนออกจากบริเวณดังกล่าวทั้งที่มือยังปิดปากเพื่อนของตัวเองอยู่ตลอดเวลา ก่อนจะหยุดชะงักเมื่อได้ยินคำกล่าวของอีกฝ่าย
“ข้าต้องการล่วงรู้เรื่องราวของแม่ทัพเสิ่นเยี่ยทั้งหมด เพื่อต้องการทวงความยุติธรรมให้กับท่านแม่ทัพกลับคืนมา เพราะว่าข้าก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่ไม่มีทางยอมเชื่อว่าแม่ทัพเสิ่นเยี่ยจะประพฤติตนเยี่ยงนั้น และข้าก็ไม่ให้เจ้าทั้งสองต้องเหนื่อยเปล่าหรอก”กล่าวพร้อมล้วงถุงเงินออกมาจากอกเสื้อก่อนจะโยนไปให้กับคนทั้งสอง
ตุบ!!! ถุงเงินถูกรับเอาไว้อย่างรวดเร็วท่ามกลางความงุนงงของอีกฝ่าย ก่อนที่ทั้งสองจะเปิดปากถุงออกและพบว่าภายในถุงดังกล่าวอัดแน่นไปด้วยเงินที่มีมูลค่าไม่น้อยเลยทีเดียว
“นะ...นาย...นายท่านมอบถุงเงินให้แก่พวกข้าทั้งถุงนี่เลยจริงหรือขอรับ”ชาวเมืองคนดังกล่าวถามกลับไป
“จริง! และถ้าเจ้าฉลาดควรจะเล่าเรื่องทุกอย่างให้ข้าฟังทั้งหมด แต่ถ้าคิดจะหนีไปพร้อมกับถุงเงินของข้าแล้วละก็เพียงแค่ครึ่งก้าวหัวของเจ้าทั้งสองก็จะหลุดออกจากตัวทันที และถ้าเจ้ายังไม่ยอมเล่าให้ข้าฟังอีก แม้ว่าหัวจะยังอยู่กับตัวก็ตามแต่ดวงตาจะมืดบอดและมือของเจ้าทั้งสองคนก็จะค่อยๆ เน่าเฟะและนิ้วจะหลุดร่วงหายไปภายในสิบวัน
หา!!! ทั้งสองอุทานออกมาพร้อมกันครั้นได้ยินเช่นนั้น
“จะ..จะเป็นไปได้อย่างไง ที่มือของพวกข้าสองคนจะเป็นเช่นคำกล่าวของท่าน”ชาวเมืองถามกลับไป
“เป็นสิ! เพราะถุงเงินของข้าเคลือบพิษสลายกระดูกเอาไว้ หากกินเข้าไปตายทันทีแต่ถ้าสัมผัสถูกพิษ บริเวณที่สัมผัสจะเน่าเฟะและถูกกัดกร่อนจนค่อยๆ ละลายหายไป ผงของพิษกระจายถูกดวงตาของพวกเจ้าทันทีที่เปิดถุงผ้าออก แต่ถ้าร่วมมือกับข้า เล่าความจริงทุกอย่างมาให้ข้าฟังทั้งหมด ข้าจะมอบยาแก้พิษให้กับพวกเจ้าและยังมอบเงินให้อีกหนึ่งถุง”
ขึ้นชื่อว่า “เงิน” มีหรือจะไม่มีผู้ใดชื่นชอบ ตรงกันข้ามเป็นปัจจัยสำคัญมากเลยทีเดียว จนบางคนเห็นเงินเป็นใหญ่มากกว่าชีวิตของตัวเองเสียด้วยซ้ำ
“ตะ...ตกลงขอรับ ข้าน้อยทั้งสองคนยอมทุกอย่าง ขอเพียงอย่างเดียวเมื่อท่านล่วงรู้ทุกอย่างแล้วมอบยาแก้พิษให้แก่พวกข้าทั้งสองด้วยเถิด”
คำตอบดังกล่าวบังเกิดรอยแสยะยิ้มเหยียดปรากฏขึ้นบนใบหน้าของจอมยุทธ์หน้าหยก เมื่อได้ยินเช่นนั้น
“พวกเจ้าทั้งสองตามข้ามา ดูท่าต้องหาสถานที่เงียบๆ เพื่อสนทนาด้วยกันในครั้งนี้เสียหน่อยแล้ว”
กล่าวพร้อมก้าวเดินนำหน้าตรงไปยังสถานที่ชายหนุ่มกำลังสืบหาเรื่องราวเป็นมาทั้งหมด จากบ่าวที่มาจากจวนตระกูลหยวน โดยมีร่างสันทัดของบ่าวทั้งสองเดินตามหลังไปอย่างกระชั้นชิด