ตอนที่ 6 ราชองครักษ์คนใหม่ 1.1

1787 Words
การประลองเชิงยุทธ์ดำเนินผ่านไปอย่างเป็นขั้นตอน แน่นอนว่าเสิ่นอี้ซึ่งเป็นจอมยุทธ์คร่ำหวอดอยู่ในยุทธภพมานานนับสิบปี ย่อมมีชัยชนะเหนือกว่าผู้ใด การประลองยุทธ์ยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อมาถึงรอบคัดเลือกสุดท้ายซึ่งผู้ที่ได้รับชัยชนะเหนือว่าผู้ใดจะได้ครอบครองตำแหน่งราชองครักษ์คนใหม่ และเสิ่นอี้ก็คือผู้ที่ได้ครองตำแหน่งดังกล่าวหลังจากเอาชนะคู่ต่อสู้ลงภายในระยะเวลาอันแสนสั้น เพียงแค่สามกระบวนท่าก็สยบอีกฝ่ายจนสลบเหมือด ท่ามกลางเสียงเอ็ดอึงของผู้ชมที่อยู่ภายในสนามประลองดังขรมไปทั่วบริเวณ ด้วยเพราะคู่ต่อสู้ที่เสิ่นอี้เอาชนะภายในสามกระบวนท่านั้น เป็นสุดยอดฝีมือที่ขึ้นชื่อได้ว่ามีวรยุทธ์แข็งกล้าและยังเป็นถึงหนึ่งในแม่ทัพจตุรทิศทั้งสี่ของต้าฉู่อีกด้วย “วรยุทธ์ช่างล้ำเลิศยิ่งนัก สามารถเอาชนะหนึ่งในแม่ทัพจตุรทิศทั้งสี่ของข้าได้ ช่างน่ายินดีเสียจริงที่ข้าจะมีผู้เยี่ยมยุทธ์อยู่คอยปกป้องข้าข้างกาย ไปเรียกเข้ามาพบข้า”ฉู่อ๋องมีพระบัญชาทันใด ขันทีคนสนิทรับพระบัญชาอย่างทันท่วงทีพร้อมส่งสัญญาณให้กับขันทีน้อยที่ติดตาม นำพระบัญชาของฉู่อ๋องให้ผู้ได้รับชัยชนะมาเข้าเฝ้าตรงพระพักตร์ ในขณะที่บรรดาสหายใหม่ทั้งสิบห้านายซึ่งผ่านการเข้ารอบยี่สิบคนสุดท้ายกันทั้งหมดต่างพากันตรงเข้าห้อมล้อมเสิ่นอี้เอาไว้ด้วยความยินดีกับชัยชนะที่เขาได้รับเมื่อครู่ที่ผ่านมา “วรยุทธ์ของพี่ท่านช่างล้ำเลิศยิ่งนักขอรับ สามารถปราบหนึ่งในแม่ทัพจตุรทิศทั้งสี่ลงได้ภายในสามกระบวนท่าเท่านั้น รวดเร็วปานสายลมมองไม่ทันเลย เพียงแค่ครู่เดียวท่านแม่ทัพจตุรทิศหมดสติล้มลงไปตั้งแต่เมื่อไรก็มิอาจรู้ได้ ช่างเป็นการประลองยุทธ์ที่แสนสั้นเสียนี่กระไรเท่าที่เคยมีมา” คำกล่าวของบรรดาสหายใหม่ทำให้เสิ่นอี้ได้แต่ยกยิ้มที่มุมปากครั้นได้ยินเช่นนั้น แน่นอนว่าจอมยุทธ์ที่อยู่ในยุทธภพย่อมมีเชิงยุทธ์ที่กล้าแข็งมากกว่าทหารหาญในกองทัพมากมายหลายเท่ายิ่งนัก อีกทั้งช่วงห้าปีหลังเสิ่นอี้ฝึกวิชาสลายกระดูกและวิชาพันหน้าอันเป็นหนึ่งในวิชามาร ซึ่งถือได้ว่าเป็นวิชาลับสุดยอดน้อยคนนักที่จะฝึกฝนสำเร็จเพราะส่วนใหญ่จะถูกธาตุไฟเข้าแทรกจนสิ้นชีพลงในขณะที่กำลังฝึกฝน หากจะกล่าวกันตามความเป็นจริงเสิ่นอี้เป็นคนแรกที่ฝึกวิชามารทั้งสองนี้ได้สำเร็จเป็นคนแรกนั่นเอง และผลจากการฝึกฝนวิชาดังกล่าวจึงทำให้ร่างที่เคยสูงโปร่ง กลับกลายเป็นกำยำบึกบึนน่าเกรงขามเพราะฝึกวิชาสลายกระดูก รวมไปถึงรูปโฉมแปรเปลี่ยนไปเพราะเป็นผลสืบเนื่องมากจากการฝึกวิชาพันหน้านั่นเอง วิชามารดังกล่าวทำให้บาดแผลฉกรรจ์ที่เคยปรากฏอยู่บนใบหน้าค่อยๆ จางหายไปเองอย่างช้าๆ จวบจนกระทั่งเลือนหายไปจนหมด และนั่นทำให้โฉมหน้าเดิมของเสิ่นอี้แปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงไม่หลงเหลือเค้าหน้าเดิมเมื่อห้าปีก่อนแม้แต่น้อย ความอัปลักษณ์เพราะถูกฟันจนเสียโฉมแปรเปลี่ยนเป็นบุรุษหนุ่มรูปงามมากกว่าเดิมนับเท่าพันทวี “ท่านผู้กล้า ฝ่าบาทมีรับสั่งให้เข้าเฝ้าหน้าพระที่นั่ง เชิญตามข้าน้อยมาด้วยเถิด”เสียงของขันทีน้อยดังแทรกขึ้นอยู่ทางด้านหลังเป็นเหตุให้เสียงพูดคุยที่เอ็ดอึงเมื่อครู่เงียบงันลงไปทันใด "เป็นดั่งคำข้าเลยพี่ท่าน ฝ่าบาทมีรับสั่งตามท่านให้ไปเข้าเฝ้าตรงหน้าพระที่นั่งแล้ว”เสียงของสหายหนุ่มนามว่าฮุยหมิงกระซิบเบาๆ “ถ้าเช่นนั้นข้าไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทก่อน พวกเจ้าทั้งหมดอย่าเพิ่งจากไปไหนเสียก่อน วันนี้ต้องดื่มสุราเพื่อฉลองความสำเร็จของข้ากันทุกคนเลย ไม่เมาไม่เลิกรา”เสิ่นอี้บอกกับบรรดาสหายของเขา “ไม่เมาไม่เลิกราพี่ท่าน รีบไปเข้าเฝ้าก่อนเถอะพวกข้าจะรั้งรอท่านไม่ไปไหน”ฮุยหมิงเป็นคนตอบกลับไป เสิ่นอี้พยักหน้าขึ้นลงพลางกันกายกลับไปเผชิญหน้ากับขันทีน้อยที่รับพระบัญชาให้มาตามจอมยุทธ์หนุ่มไปเข้าเฝ้า พร้อมเสียงของขันทีน้อยเอ่ยขึ้น “เชิญท่านผู้กล้าตามข้ามาทางนี้ ในขณะที่กำลังก้าวเดินขอให้ท่านก้มหน้าเอาไว้อย่าเงยหน้าขึ้นมาเป็นอันขาดจนกว่าฝ่าบาทจะมีรับสั่งอนุญาต”ขันทีอธิบายขั้นตอนการเข้าเฝ้ากลับไป คิ้วเข้มเรียงตัวอย่างสวยงามขมวดเข้าหากันทันใดครั้นได้ยินเช่นนั้น “เหตุใดต้องทำเช่นนั้น”เสิ่นอี้ถามกลับไปอย่างสงสัย “นั่นเป็นเพราะมีเชื้อพระวงศ์หญิงชั้นสูงซึ่งมีบรรดาศักดิ์ขั้นฟูเหรินตามเสด็จมาด้วย หากแม้นท่านทอดสายตาขึ้นไปมองพระนางแม้เพียงเสี้ยวจะต้องได้รับโทษประหารทันที ข้าจึงเตือนเอาไว้ก่อน ขอท่านได้โปรดพึงระวังให้จงหนักด้วยเถิด อย่าช้าอยู่เลยรีบตามข้ามา” ขันทีน้อยกล่าวเตือนพร้อมเร่งเร้าพร้อมเดินนำหน้าออกไปก่อนอย่างรวดเร็ว เสิ่นอี้พยักหน้าขึ้นลงเมื่อได้ยินคำอธิบายกลับมาเช่นนั้น เขาก้มหน้าลงต่ำทำตามขันทีน้อยอย่างไม่อิดออดแต่อย่างใด ร่างสูงใหญ่ของเสิ่นอี้ก้าวตามหลังขันทีน้อยไปยังพระที่นั่งเบื้องบนอย่างกระชั้นชิด ท่ามกลางสายตาของทุกคู่ที่กำลังจับจ้องร่างสูงองอาจของเขาเป็นจุดเดียวกัน บริเวณพระที่นั่งเบื้องบน ร่างสูงองอาจของเสิ่นอี้ก้าวเดินตามหลังขันทีน้อย จนเข้ามาถึงบริเวณพระที่นั่งชั้นบน ใบหน้ายังคงสวมหน้ากากปิดบังทางด้านขวาเอาไว้อย่างมิดชิด เพื่อปกปิดรูปโฉมที่เคยหล่อเหลานั้นถูกทำลายลงเพราะการประลองเชิงยุทธ์เมื่อห้าปีก่อนจนได้รับบาดเจ็บสาหัส และการบาดเจ็บครั้งนั้นได้ทำลายใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหล่อเหลาคมคายไปจนหมดสิ้น แม้ว่าบาดแผลจะหายสนิทไปนานแล้วก็ตาม หากแต่ทิ้งรอยแผลเป็นขนาดใหญ่ตั้งแต่โหนกแก้มยาวจนถึงปลายคางเลยทีเดียว ทว่าเมื่อเขาได้ฝึกวิชาพันหน้าบรรลุขั้นสูงสุดได้เป็นผลสำเร็จ ทำให้ใบหน้าที่เคยมีบาดแผลฉกรรจ์เลือนหายไปเสียสิ้น ใบหน้าดั่งเทพสวรรค์กลับเข้ามาแทนที่ ซึ่งไม่หลงเหลือรูปโฉมเดิมแม้แต่น้อยราวกับคนละคน แต่เหตุผลที่ยังคงสวมหน้ากากปิดบังซ่อนเร้นเอาไว้เช่นเดิมก็เพราะไม่ต้องการให้ผู้ใดได้เห็นโฉมหน้าราวเทพสวรรค์ของเขาที่ปรากฏอยู่ในเวลานี้นั่นเอง ร่างสูงองอาจก้าวเดินเข้ามาใกล้พระที่นั่งเบื้องบนอันเป็นสถานที่ประทับของฉู่อ๋องเข้าไปทุกขณะ โดยไม่เงยหน้าขึ้นมามองบริเวณพระที่นั่งแต่อย่างใด ท่ามกลางสายตาของบรรดาเชื้อพระวงศ์ทุกระดับชั้นต่างจับจ้องร่างสูงใหญ่บึกบึนนั้นกันอย่างถ้วนหน้า จวบจนกระทั่งมาหยุดยืนอยู่ตรงพระพักตร์ฉู่อ๋องก่อนจะทรุดกายลงนั่งคุกเข่าขวาลงพื้นตั้งเข่าซ้ายขึ้นพาดท่อนแขนกำยำเอาไว้พร้อมเอ่ยขึ้น “กระหม่อมหยางคุนถวายบังคมฝ่าบาท ขอทรงพระเจริญหมื่นๆ ปีพ่ะย่ะค่ะ”เสิ่นอี้กล่าวคำถวายพระพรพร้อมเอ่ยชื่อแซ่ปลอมของตนเองออกไป ท่ามกลางสายพระเนตรของฉู่อ๋องพระพักตร์พยักขึ้นลงอย่างพึงพอพระทัยครั้นได้ยินเช่นนั้น “เจ้ามีนามว่าหยางคุนอย่างนั้นเหรอ เป็นคนจากแคว้นหยางใช่หรือไม่”รับสั่งถาม “ต้นตระกูลของกระหม่อมเดิมทีเป็นชาวต้าหยางพ่ะย่ะค่ะ แต่หลังจากแคว้นล่มสลายก็พากันอพยพย้ายถิ่นฐานมาตั้งรกรากในแผ่นดินต้าฉู่มานานหลายชั่วอายุคนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”เสิ่นอี้กล่าวคำเท็จออกไปโดยไม่ล่วงรู้เลยว่ากำลังตกเป็นเป้าสายตาของใครบางคนอยู่ในเวลานี้ มี่ฟูเหรินซึ่งนั่งอยู่ทางด้านหลังบนตั่งที่ประทับสำหรับตำแหน่งของนาง จับจ้องร่างสูงใหญ่ที่เต็มไปด้วยความองอาจนับตั้งแต่ก้าวเดินตามขันทีน้อยมาที่บริเวณพระที่นั่งอยู่ตลอดเวลาด้วยความรู้สึกพึงพอใจกับร่างกายที่สมชายชาติบุรุษของว่าที่ราชองครักษ์คนใหม่อย่างยิ่งยวด ครั้นได้ยินน้ำเสียงที่กล่าวออกมานั้นทำให้มี่ฟูเหรินชะงันงันไปชั่วชณะ ด้วยเพราะน้ำเสียงช่างคล้ายบุรุษในอดีตมีนามว่าเฉินอี้ ตามที่นางล่วงรู้ออกมาจากปากของคนผู้นั้น อีกทั้งยังเคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกันชนิดที่ว่าบทรักของบุรุษที่นางเคยผ่านมาไม่เคยมีผู้ใดทัดเทียมลีลารักของเฉินอี้ได้เลยแม้แต่คนเดียว แม้กระทั่งทุกวันนี้ยามที่นางเกิดแรงกำหนัดที่ธรรมชาติเรียกร้อง มี่ฟูเหรินเฝ้าคะนึงหาบุรุษในอดีตของนางมิคลาดครา “น้ำเสียงของคนผู้นี้ช่างคล้ายเฉินอี้เป็นยิ่งนัก เป็นไปได้อย่างนั้นเหรอว่าจะเป็นคนผู้นั้น มิหนำซ้ำยังสวมหน้ากากปิดบังใบหน้าทางด้านขวาเอาไว้ด้วยเช่นเดียวกัน แต่ว่าไม่น่าจะใช่เพราะคนผู้นั้นไม่ได้มีรูปร่างสูงใหญ่เต็มไปด้วยความองอาจและงามสง่าถึงเพียงนี้ เฉินอี้สูงโปร่งค่อนไปทางผอมเสียมากกว่า”มี่ฟูเหรินครุ่นคิดอยู่ภายในใจ ก่อนจะได้ยินรับสั่งของฉู่อ๋องดังขึ้น “เจ้าสวมหน้ากากปิดอำพรางใบหน้าเอาไว้ด้วยเหตุสิ่งใด มีรูปโฉมที่จำเป็นต้องซ่อนเร้นมิให้ผู้ใดพบเห็นอย่างนั้นรึ แต่เจ้าล่วงรู้หรือไม่ว่าการเป็นราชองครักษ์ข้างกายของข้า จำต้องเปิดเผยโฉมหน้าอันแท้จริงให้ข้าได้ล่วงรู้ เช่นนั้นเจ้าจงเงยหน้าขึ้นแล้วจงมองข้าหยางคุน”รับสั่งแซ่และนามปลอมเพื่อให้อีกฝ่ายทำตามพระบัญชา “พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”เสิ่นอี้ขานรับพระบัญชา จอมยุทธ์หนุ่มไม่มีท่าทีอิดออดแต่อย่างใด ตรงกันข้ามกลับทำตามอย่างว่าง่ายค่อยๆ เงยหน้าขึ้นเพื่อให้ฉู่อ๋องทอดพระเนตรได้อย่างแจ่มชัด
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD