ตอนที่ 8
อากาศยามโพล้เพล้เย็นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และความเย็นก็แผ่กระจายไปทั่วร่างบอบบางและซึมเข้าไปในหัวใจของปัณฑารีย์อย่างรวดเร็วเช่นกัน ตอนนี้เธอกำลังยืนอยู่ท่ามกลางผู้ชายห้าคน แต่ละคนอยู่ในชุดสีดำสนิทที่ปกปิดทั้งใบหน้าและร่างกายทุกส่วน เหลือไว้เพียงแค่ดวงตาเท่านั้นเอง
เขาว่ากันว่า อากาศในทะเลทราย ตอนกลางวันร้อนจนตับแทบจะแตก แต่พอตกกลางคืน อากาศก็เปลี่ยนเป็นเย็นจัดราวอย่างรวดเร็ว แล้วเมื่อได้มาสัมผัส เมื่อไร้อ้อมแขนแกร่งคอยคุ้มครองภัย เธอก็หนาวจับขั้วหัวใจ
ปัณฑารีย์มองตามร่างใหญ่ที่แยกย้ายกันทำกิจกรรมของตัวเอง ก่อนจะกลับมารวมตัวกันทำกิจกรรมกลุ่มและร่วมรับประทานอาหาร พร้อมกับพูดคุยเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่มาพร้อมกับเสียงหัวเราะที่ดังมาเป็นระยะ
ยิ่งดึกมากเท่าไหร่ ความเย็นก็รุนแรงมากขึ้น ปัณฑารีรย์ยกมือเรียวยกขึ้นปิดปากกลั้นหาวและลูบลำแขนอย่างที่คิดว่าสิ่งที่ทำอยู่จะช่วยผ่อนคลายความหนาวเย็นลงได้บ้าง ดวงตากลมโตมองไปที่กองไฟ อยากจะเดินเข้าไปขอไออุ่นบ้าง แต่น้ำเสียงชายแต่ละคนที่นั่งล้อมวงกันอยู่นั้น ทั้งแข็งกร้าวและดุร้าย พูดออกมาแต่ละคำ ทำให้เธอตกใจเสียทุกครั้งไป
“ยืนอยู่ทำไมละปั้นหยา รีบเดินเข้ามาผิงไฟสิ เดี๋ยวก็หนาวตายหรอก” ฮัมดีนเอ่ยขึ้น จนคนที่ยังคิดฟุ้งซ่านอยู่สะดุ้งตกใจ เผลอสาวเท้าก้าวถอยอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
ฮัมดีนลุกจากที่นั่งเดินไปดึงมือเรียวพาไปนั่งใกล้ๆ
ปัณฑารีย์ส่งค้อนให้ชายหนุ่มขวับใหญ่ “คุณฮัมดีนจะให้ปั้นหยานอนตรงไหน”
“นอนในเต้นท์นั้นไง”
“ขอบคุณ” ปัณฑารีย์บอกและเดินไปที่เต้นอย่างรวดเร็ว เพราะไม่ต้องการอยู่ทนฟังคำพูดจิกกัดที่ออกจากปากฮัมดีน อีกทั้งยังต้องการที่จะพักผ่อนเอาแรงเพื่อสู้กับความโหดร้ายของท้องทะเลทรายและหนุ่มตัวร้ายอย่างฮันดีนในวันพรุ่งนี้ โดยไม่รู้เลยว่าชายหนุ่มเดินตามเธอไปอย่างเงียบเชียบ
พอหญิงสาวก้าวเข้าไปอยู่ในเต้นท์ได้ ฮัมดีนก็รีบก้าวตามไปอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มยกมือขึ้นปิดปากอวบอิ่ม “อย่าร้องนะปั้นหยา ฉันยังไม่อยากเล่นหนังสดให้เจ้าพวกนั้นดู”
ดวงตากลมโตเบิกกว้าง หัวใจเต้นแรงราวกับจะทะลุออกจากอก ใบหน้าส่ายไปมา พลางพยายามแกะมือใหญ่ออกจากปากและดันร่างหนาให้ออกห่างจากกาย
“อยู่นิ่งๆ สิปั้นหยา เดี๋ยวก็ปล้ำซะเลย”
คำพูดกร้าวดุแต่แหบพร่าของฮัมดีนหยุดการเคลื่อนไหวของปัณฑารีย์ได้อย่างชะงัก มือเล็กเย็นจัดได้แต่จับมือแกร่งเอาไว้ น้ำตาเอ่อล้นคลอเบ้ามองชายหนุ่มอย่างวิงวอนขอร้อง
เพียงฮัมดีนปล่อยมือปัณฑารีย์ก็ถอยอย่างรวดเร็ว เธอพยายามเพ่งมองว่าชายหนุ่มจะทำอะไรกันแน่
“คะ...คุณฮัมดีนจะทำอะไรอีก”
“ไม่ทำอะไร แค่จะนอนพักผ่อนเหมือนเธอนั่นแหละ”
“ตะ...แต่...”
“แต่อะไร นี่มันเต้นส่วนตัวของฉัน เธอเป็นคนอาศัย อย่าเรื่องมาก มานอนได้แล้ว พรุ่งนี้ต้องรีบตื่นรีบเดินทางต่อ บ้านฉันยังอีกไกล” เขาคว้าร่างบางมาใกล้
ปัณฑารีย์ตกตะลึงดวงตาเบิกกว้าง ใบหน้าเอ่อร้อนและแดงก่ำอย่างรวดเร็ว หัวใจก็เต้นรัวเร็วราวกับจะทะลุออกมาจากอก เมื่อสัมผัสกับร่างใหญ่ที่ไร้เสื้อผ้าปกปิด ไรขนเส้นงสากระคายมือจนเหมือนกับว่าเธอกำลังแตะต้องของร้อน จนต้องรีบดึงหนีอย่างรวดเร็ว
“เป็นอะไรไปอีกละปั้นหยา”
“ปะ...เปล่าค่ะ”
“เปล่า...งั้นก็มาใกล้ๆ นี่” ฮัมดีนยื่นมือไปรัดร่างบอบบางมาแนบชิด มือก็จิกทึ้งเอาเสื้อผ้าออกจากกายบางอย่างที่ปัณฑารีย์ไม่ทันได้ขัดขืน จนเหลือเพียงแค่สองชิ้นเล็กให้พอปกปิดความกระดากอายที่มี
ความเย็นโอบล้อมแต่ก็เป็นเพียงแค่แวบเดียวเท่านั้นเอง กายบางก็อยู่ในถุงนอนโดยมีแขนใหญ่โอบกอดอย่างหวงแหน ขาแข็งแกร่งสอดแทรกมาระหว่างลำขาเรียวยาว ใบหน้าคมซบนิ่งอยู่ใกล้ใบหู ลมหายใจเป่ารดลำคอ
ปัณฑารีย์ตัวสั่นและร้อนผ่าวไปหมด แผ่นหลังเนียนแนบชิดกับอกกว้าง ให้ความรู้สึกแปลกๆ มันทั้งสากระคายและเสียวซ่าน มือที่วางอยู่บนหน้าท้องเนียนนุ่มทำให้ปั่นป่วนไปหมดทั้งใจ ไออุ่นที่โอบรอบกายปัดความเย็นจัดจากภายนอกไม่ให้ย่างกรายเข้ามาถึงกายบางเลยสักนิด
ปัณฑารีย์รีบจับนิ้วยาวที่เริ่มไล้วนแถวสะเอวเล็กแล้วเคลื่อนขึ้นไปด้านบนอย่างเชื่องช้า ฮัมดีนเคลื่อนไหวเพียงแค่นิดเดียว ร่างหนาก็ทาบทับอยู่บนกายบอบบาง
เขากดจูบปากนุ่มอวบอิ่ม ลิ้นสากร้อนล่วงล้ำเข้าไปควานหาความหวานเชื่อมจากโพรงปากนุ่ม มือก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วดึงเอาเสื้อชั้นในตัวเล็กของหญิงสาวทิ้งไป
แม้จะทำอะไรได้ไม่มาก ฮัมดีนขอแค่ว่าให้เขาได้ชื่นชมกับความสวยงามและลิ้มรสความหอมหวานของหญิงสาวแบบนี้ทุกคืน คงจะทำให้ความทรมานที่เขามีลดน้อยลงไปได้ไม่มากก็น้อย
“คะ...คุณ...ฮัมดีน ยะ...อย่านะคะ...” ปัณฑารีย์ร้องห้ามเสียงสั่นและแผ่วเบา เพราะกลัวคนด้านนอกจะได้ยิน ตอนนี้เธออยู่ในสถานการณ์ล่อแหลมเพียงใด กายเล็กสั่นสะท้านกับสัมผัสที่ลามเลียไปทั่วร่าง เธอจับแขนใหญ่เอาไว้
“ฉันไม่ทำอะไรเธอมากหรอกปั้นหยา ขอแค่ได้สัมผัสและชื่นชมเธอแบบนี้เท่านั้น”
ปัณฑารีย์เคลิบเคลิ้มกับคำพูดอ่อนหวานและนุ่มทุ้มจากปากหนา จึงได้ปล่อยให้ฉันชายหนุ่มได้ทำตามความพอใจ โดยที่เธอไม่ขัดขืน “คุณฮัมดีน...”
“ฉันรู้ว่ามันไม่ดีนะปั้นหยา แต่ฉัน...ฉัน...”
ปัณฑารีย์ยกแขนขึ้นโอบรอบลำคอแกร่ง เธอก็อยากจะอยู่ในอ้อมกอดนี้ตลอดไป อย่างน้อยมันคงจะดีกว่าการต้องไปเป็นนางบำเรอบิดาของหนุ่มปากร้ายแต่ภายในกลับซ่อนความอบอุ่นไว้อย่างชายคนนี้
แล้วความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาใสสมองของปัณฑารีย์ ถ้าเธอไม่ต้องการเป็นของชายคราวพ่อ ทำไมเธอไม่ยอมยกความบริสุทธิ์ให้ชายคนนี้เล่า มันอาจเป็นการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ แต่อย่างน้อยมันก็คงจะทำให้อะไรๆ มันดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ ในเมื่อเธอไม่ได้รังเกียจสัมผัสของฮัมดีนเลย
แต่ความขัดแย้งในใจก็ยังมีอยู่ ถ้าเธอปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามความต้องการ แล้วหลังจากนี้ละ มันจะเกิดอะไรขึ้น ชายหนุ่มไม่ดูถูกเหยียดหยามเธอไปยิ่งกว่าเดิมหรือไง
“คะ...คุณฮัมดีน ยะ...อย่าทำอะไรปั้นหยาเลยนะคะ ปั้นหยากลัว”
น้ำเสียงอ่อนหวานหยุดริมฝีปากหนาที่ซบซุกอยู่กับบัวตูมเต่งตึงได้ชะงัด ลมหายใจเป่ารดปลายยอดถันสีเข้มอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนที่ความร้อนผ่าวที่เกิดขึ้นจะจางหายไป แต่ฮัมดีนยังไม่คลายกอดรัดร่างบอบบาง
ฮัมดีนกัดฟันกล้ำกลืนความเจ็บปวดครู่ใหญ่ ก่อนจะเอนตัวลงนอนแนบชิดร่างบอบบาง
“นอนเถอะปั้นหยา”
ปัณฑารีย์ยิ้มในความมืด และตัดสินใจเลือกทำในสิ่งที่เธอคิดว่าดีที่สุดสำหรับตัวเอง อนาคตไม่แน่นอน ไม่ใช่สิ่งที่จะรู้เห็นล่วงหน้า แต่อย่างน้อยสิ่งหนึ่งที่เธอรู้ก็คือ หลังจากคืนนี้เป็นต้นไป เธอจะไม่ใช่ของบรรณาการแก่ชายสูงวัยที่ได้ชื่อว่าพ่อของฮัมดีนอีกแล้ว
เพราะเธอจะกำหนดชีวิตของเธอเอง ด้วยการยอมเป็นของชายหนุ่ม แม้ว่าจะต้องแลกกับการเจ็บทั้งตัวและใจเธอก็จะยอม อย่างน้อยมันคงจะดีกว่าการต้องนอนรองรับอารมณ์ใคร่จากชายแก่วัยคราวพ่อ
ปัณฑารีย์เอนกายแนบชิดร่างหนา ดึงแขนแกร่งมาโอบรัดรอบเอวบาง แล้วหลับตาลงพร้อมกับความรู้สึกอบอุ่น และความสุขที่ฉายชัดอยู่ในใบหน้าและหัวใจ
ฮัมดีนให้แปลกใจ แต่ก็คิดอะไรไม่ออก เมื่อมีร่างบอบบางอุ่นนิ่มแนบชิด อย่างน้อยในคืนนี้ ถึงแม้จะมีความเจ็บปวดและรวดร้าวแทรกอยู่บ้าง แต่เขาก็รู้สึกสบายตัวและสามารถนอนหลับอย่างเป็นสุขกว่าทุกค่ำคืนที่ผ่านมาและเขาก็หวังว่ามันจะเป็นเช่นนี้ตลอดไปจนจบการเดินทาง