“สวัสดี”
คาร่าสะดุ้งโหยงและยกฝ่ามือขึ้นทาบอกไว้ด้วยความตกใจ เธอหันไปมองหน้าโมนิก้าอย่างช้าๆ พร้อมดวงตาที่เต็มไปด้วยรองพื้นสีดำเป็นหย่อมๆ บนผิวที่ขาวกระจ่างใสอย่างเห็นได้ชัด ทำให้โมนิก้ายิ่งแปลกใจ
“เกิดอะไรขึ้นกับเธองั้นเหรอ? ... เธอเพิ่งไปฟัดกับบูลด็อกมาหรือไง” โมนิก้าแกล้งพูดกับหญิงสาวที่ดูไร้เดียงสา
‘เธอมาลงเอยกับคนอย่างเจ้านายได้อย่างไร’ โมนิก้าคิดอย่างสงสัย และสงสารหญิงสาวจับใจ
เพราะเธอเกิดและเติบโตมาในบ้านตระกูลฮิลล์ จึงรับรู้เรื่องราวที่โหดร้ายทุกอย่าง
ขณะที่คาร่าก็กลัวว่าผู้หญิงตรงหน้า จะตะโกนใส่เธอและตบตีเธอเหมือนที่เรเชลและเพื่อนของเรเชลทำ คาร่ามักจะได้รับการปฏิบัติแบบโหดร้าย แต่เมื่อได้ยินพวกเธอล้อเลียนรูปลักษณ์เมื่อไร คาร่าก็จะรู้สึกผ่อนคลายลงบ้างเล็กน้อย
“ตอนที่ผู้ชายน่ากลัวคนนั้นพาฉันมาที่นี่ ฉันกำลังถอนหญ้าอยู่ที่บ้านน่ะ” คาร่าพูดออกไปอย่างไร้เดียงสาตามความจริง พอคิดได้เธอก็รีบยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง ที่ดันเผลอไปเรียกเขาแบบนั้น ต่อหน้าผู้หญิงคนนี้ คาร่าหน้าซีดทันทีเพราะความผิดพลาดของตัวเอง
“เอ่อ… คือ… ฉันไม่ได้หมายความว่าเขาน่ากลัวจริงๆ นะ ฉันไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น... คือฉันยังไม่รู้จักชื่อของเขาเลยน่ะ”
คาร่ายืนขาสั่นด้วยความตื่นกลัว จนได้ยินเสียงหัวเราะของโมนิก้า คาร่าก็ถึงกับงุนงง
“ใจเย็นๆ ฉันจะไม่บอกใคร ว่าเธอเรียกเจ้านาย หรือคุณฮิลล์ว่า ผู้ชายที่น่ากลัวหรอก... สัญญาเลย มาสิ มาเกี่ยวก้อยกัน”
โมนิก้ายื่นนิ้วก้อยออกมาตรงหน้า เพื่อให้คาร่าเกี่ยวสัญญา คาร่าจึงคลี่ยิ้มให้ผู้หญิงอีกคน พลางเกาแก้มด้วยความอายเขิน
“ฉันชื่อคาร่า” เธอแนะนำตัวเบา ๆ
“ฉันชื่อโมนิก้า... ชื่อของเธอเพราะดีนะ ความหมายก็สวยงามอีกด้วย... คือฉันน่ะเป็นลูกสาวของพ่อบ้านในคฤหาสน์หลังนี้ และคุณฮิลล์ท่านสั่งฉันให้มาอยู่เป็นเพื่อน และคอยช่วยเหลือเธอ” โมนิก้าแจกแจง
“โอ้!”คาร่าร้องออกมาพร้อมกับรอยยิ้มน้อย ๆ
“ทำไมเธอดูหวาดกลัวจัง” โมนิก้าสังเกตคาร่าอย่างใกล้ชิดและเอ่ยถามเธอ “แถมดูออกจะขี้อายมากๆ ด้วย”
“ที่นี่และผู้คนเป็นเรื่องใหม่สำหรับฉันน่ะ ทำให้ฉันต้องค่อยๆ ปรับตัว” คาร่าพูดตามความจริง
“ไม่ต้องห่วง ฉันมาช่วยเธอแล้ว” โมนิก้าบอก ก่อนจะเดินไปหาคาร่า และมองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ก่อนอื่นเริ่มด้วยการอาบน้ำของเธอเป็นไง ฉันอยากเห็นว่าหน้าตาจริงๆ ของเธอเป็นยังไง” โมนิก้าบอกคาร่าก่อนจะเดินจูงมือให้เดินเข้าไปในห้องน้ำ
“ไปอาบน้ำสิ”
เธอผลักคาร่าเข้าไป แล้วปิดประตูตามหลังเธอให้ จนคาร่าต้องตกใจกับพฤติกรรมของโมนิก้า แต่ก็ไม่ได้รู้สึกแย่อะไร โมนิก้าเป็นผู้ช่วยเหลือที่ดี และคาร่าก็รู้สึกชื่นชมกับความกล้าหาญของเธอ
คาร่าอมยิ้มเล็กน้อยแล้วเริ่มอาบน้ำด้วยความพอใจ ถูคราบโคลนและเหงื่อไคลออกจนหมดด้วยสบู่อาบน้ำกับแชมพูราคาแพงที่แม่บ้านเตรียมไว้ให้ด้วยความรู้สึกสดชื่น
หลังจากอาบน้ำเสร็จ เธอก็พบผ้าขนหนูสีขาวนุ่มๆ ผืนหนึ่งที่ถูกวางเตรียมไว้ให้ เธอจึงหยิบขึ้นมาใช้เช็ดเนื้อเช็ดตัว ก่อนเธอจะมองดูใบหน้าที่ใสสะอาดและไร้ตำหนิของตัวเองในกระจก
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเต็มไปด้วยเรื่องราวมากมาย และผมสีน้ำตาลเข้มของเธอ ก็ดูสะอาดสะอ้านแต่ยังคงเปียกชื้นจากการสระผม
เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะมองดูเสื้อผ้าที่เธอเพิ่งถอดก่อนจะอาบน้ำ ซึ่งตอนนี้กำลังวางอยู่บนพื้น หญิงสาวจึงตั้งใจจะก้มลงไปหยิบชุดเดิมขึ้นมาสวมใส่ต่อ
“อย่าแม้แต่จะคิดที่จะใส่ชุดเดิม” เสียงของโมนิก้าดังมาจากข้างนอก ก่อนจะเปิดประตูเข้ามา คาร่าก็ต้องตกใจแล้วหมุนตัวไปทางประตู
“ใส่ซะ” โมนิก้าดันกางเกงยีนกับเสื้อยืด และกางเกงในที่เข้าชุดกันมาใส่มือของคาร่า
“แต่มันไม่ใช่ของฉันและมันดูใหม่มาก” คาร่าพยายามดันเสื้อผ้ากลับคืน แต่โมนิก้าก็ยังฝืน ยืนกรานที่จะให้เธอใส่ชุดพวกนี้
“นี่คือห้องนอนของเธอ ดังนั้นของทั้งหมดจึงเป็นของเธอ”
โมนิก้ารีบปิดประตูห้องน้ำทันที คาร่าจึงมองดูเสื้อผ้าในมือด้วยความสงสัย เธอไม่ต้องการสิ่งของเหล่านี้
แต่เธอกลัวผู้ชายคนนั้น เธอจึงต้องยอมจำนนแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าชุดใหม่อย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก
เสร็จสรรพ คาร่าก็เดินออกมายืนต่อหน้าโมนิก้า พลางขยับเท้าไปมาอย่างเชื่องช้า ทำให้โมนิก้าต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เพราะผู้หญิงที่เธอเห็นก่อนหน้ากับผู้หญิงในตอนนี้ มันดูแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
“ให้ตายเถอะ เธอดูแตกต่างจากเมื่อกี้มากๆ เลย... เธอเป็นคนสวยจริงๆ นะคาร่า” โมนิก้ามองด้วยความประหลาดใจ คาร่าเธอมีส่วนโค้งเว้าที่ชัดเจน และโครงหน้าก็สวยงามมากจนโมนิก้ายังตะลึง
คาร่าหน้าแดงเล็กน้อยเมื่อเห็นสายตาของโมนิก้า จ้องมองมาที่เธออย่างชื่นชม ทำให้โมนิก้าที่เห็น ต้องเข้าไปบีบแก้มเธอด้วยความเอ็นดู
“เธอน่ารักมากเวลาที่เธออาย” โมนิก้าพูดชมออกมาจากใจจริง เธอลากแขนคาร่าไปนั่งที่เก้าอี้หน้ากระจก “ก่อนอื่นเธอต้องเป่าผมให้แห้งก่อน... แล้วนี่ เธอแต่งหน้าเป็นไหม?”
“ก็พอได้ แต่ฉันชอบทาครีมกับแป้งแบบบางๆ มากกว่าน่ะ”
“ได้ๆ แค่นี้เธอก็สวยมากอยู่แล้ว”
หลังจากนั้น โมนิก้าก็พาคาร่าเดินไปชมรอบๆ คฤหาสน์ และทั้งคู่ก็เตรียมทำอาหารสำหรับมื้อกลางวัน
คาร่าและโมนิก้าพูดคุยกันด้วยความสนุกสนาน โมนิก้าเล่าทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับพี่ชาย และมัมของตัวเองให้คาร่าฟัง ซึ่งพี่ชายของโมนิก้าก็คือฟรังโก้ที่เป็นมือขวา คนสนิทของคุณฮิลล์
โมนิก้าบอกว่าคุณฮิลล์อนุญาตให้เธอเล่าเรื่องพวกนี้ให้คาร่าฟัง ได้ เพราะคาร่าควรรู้ว่าทำไมเธอถึงถูกพามาที่นี่
โมนิก้าพาเธอไปร้านเสริมสวยเป็นครั้งแรก โดยสั่งให้ช่างแวกซ์ขนให้คาร่าทุกตารางนิ้วบนร่างกาย แม้คาร่าจะไม่อยากทำ แต่ก็ปฏิเสธโมนิก้าไม่ได้
ผมที่ชี้ฟูและหมองคล้ำ ได้รับการตัดแต่ง บำรุง และจัดทรงอย่างเรียบร้อยสวยงาม คาร่าจึงขอบคุณโมนิก้าด้วยความจริงใจ
...
ด้านคริสเตียน เขากำลังเร่งเคลียร์งานอยู่ที่บริษัท ตั้งแต่เขาเอาคาร่าไปไว้ที่คฤหาสน์ เขาก็ยังไม่ได้กลับไปเจอเธออีกเลย เนื่องด้วยตอนนี้เขายุ่งมาก ต้องประชุมทั้งวัน ไหนจะเอกสารที่เขาต้องเซน ก็กองพะเนินจนล้นโต๊ะ
“ฟรังโก้... เรียกมาร์วินกลับมา”
“ทำไมเหรอครับเจ้านาย”
“อีกสองวันเราต้องเดินทางไปประเทศไทย... นายลืมไปแล้วหรือไง”
“แล้ว... ใครจะดูแลที่อเมริกาเหรอครับ”
“ให้อดัมคุมแทน ระหว่างที่มาร์วินไม่อยู่... แล้วยังมีเทวิสอีกคน สองคนนี้ทำงานเก่ง ฉันเคยลองมอบงานยากๆ ไปให้หลายรอบแล้ว”
“แล้วรอบนี้ เราจะไปอยู่นานไหมครับ”
“จนกว่าจะแน่ใจว่ากระต่ายน้อยของฉัน จะอยู่โดยปราศจากภัยคุกคามจากทุกอย่าง... แจ้งนักบินให้เตรียมเครื่องด้วย... แล้วน้องสาวนายเตรียมพร้อมแล้วใช่ไหม?”
“ครับ โมนิก้าเตรียมกระเป๋าเรียบร้อยครับ”
“อืม แจ้งหัวหน้ามาเฟียทุกกลุ่ม มีอะไรให้โทรหรือส่งอีเมลไป แล้วฉันจะนัดประชุมคอนเฟอเรนซ์ทุกอาทิตย์”
“รับทราบครับ”
“งานอะไรที่ต้องเคลียร์ นายก็บอกทุกคนให้เอามาฉันเซ็นให้เรียบร้อย แล้วเรียกหน่วยเหนือมาช่วยด้วย จะได้ไม่มีปัญหา... อย่างน้อยสี่ร้อยคน ส่งไปทุกตรอกซอกซอยที่อยู่ในพื้นที่ควบคุมของเรา”
“ผมจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย ก่อนเจ้านายจะออกเดินทาง... แล้วเจ้านายต้องการให้คนตามไปดูแลกี่คนดีครับ”
“20 คนก็พอ เพราะที่เมืองไทยก็มีคนของเราอยู่เยอะแล้ว... โทรสั่งโทมัสให้คนทำความสะอาดคฤหาสน์ที่นั่น แล้วเตรียมห้องให้กระต่ายน้อยของฉันด้วยนะ เอาห้องที่ติดกันกับห้องของฉัน”
“รับทราบครับเจ้านาย”
...
คาร่าเดินไปหาโมนิก้าที่สวนหลังบ้าน พวกเธอคุยกันถึงเรื่องมหาวิทยาลัยและกำหนดการต่างๆ ซึ่งมหาวิทยาลัยของพวกเธอ จะเริ่มขึ้นในเดือนหน้า คาร่าจึงตื่นเต้นและประหม่าในคราเดียวกัน
“คาร่า เธอเตรียมกระเป๋าเดินทางหรือยัง”
“เริ่มแล้ว แล้วเธอล่ะ ได้เตรียมอะไรแล้วหรือยัง”
“ฉันเตรียมเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่เจ้านายสั่ง... และฉันดีใจมากเลยนะ เพราะฉันไม่เคยไปแถวเอเชียมาก่อน” โมนิก้าตาเป็นประกายด้วยความดีใจ ที่จะได้ไปต่างถิ่น ซึ่งเธอได้ยินว่าอาหารไทยอร่อยมาก
“ฉันก็ไม่เคยไปเหมือนกัน ทำไมคุณฮิลล์ถึงอยากให้ฉันไปอยู่ที่เมืองไทยก็ไม่รู้”
“เพราะแดนสั่งไว้ก่อนเสียชีวิตน่ะสิ เจ้านายเลยต้องส่งเธอไปอยู่ที่นู่น... แต่ไม่ต้องกังวลนะ เพราะเจ้านายจะเตรียมพร้อมทุกอย่างไว้เพื่อเธออย่างแน่นอน”
“อือ…”
“เจ้านายจะเดินทางไปส่งพวกเราด้วยตัวเองเลยนะ เห็นฟรังโก้บอกว่ารอบนี้เจ้านายน่าจะอยู่ที่นั่นนานกว่าปกติ บอกว่าเจ้านายของเรามีธุรกิจหลายอย่างที่เมืองไทยด้วย มีทั้งโรงแรมระดับเจ็ดดาวและไนต์คลับอย่างหรูเลยล่ะ”
“ว้าว”
“ปกติคุณฮิลล์จะส่งคนไปดูแลแทน... ฉันก็เคยเห็นแต่รูป จนอยากจะลองไปเที่ยวดูสักครั้ง แต่ขอตามไปด้วยเท่าไร เจ้านายก็ไม่อนุญาต... อ้อ! แล้วเจ้านายก็มีมัมเป็นคนไทยด้วยนะ ฟรังโก้เคยติดตามเจ้านายไปเมืองไทยบ่อยเลยล่ะ แถมบางรอบก็ไปอยู่กันเป็นเดือน ๆ”
“อืม ฉันก็หวังว่าเราจะเจอแต่สิ่งดีๆ นะ ฉันไม่เคยเดินทางไกลขนาดนั้นมาก่อน ถึงมัมของฉันจะเป็นคนไทย แต่ฉันจำอะไรไม่ได้เลย” คาร่าพูดออกมาอย่างเศร้า ๆ
“มันต้องดีอย่างแน่นอน เพราะทุกอย่างเพื่อเธอ เจ้านายต้องคัดสรรแต่สิ่งที่ดีที่สุด... ที่นั่นเจ้านายของเราก็มีคฤหาสน์หลังใหญ่ แต่ไม่ใหญ่เท่านี้ และพื้นที่ก็ไม่เยอะแบบนี้ด้วย” โมนิก้าพูดปลอบใจคาร่า
...
บ่ายวันเดียวกัน คริสเตียนก็พาคาร่าไปซื้อของที่ห้าง ซึ่งแอนนาคู่ขาของคริสเตียนก็มาเดินที่ห้างแห่งนี้เหมือนกัน
และเธอก็บังเอิญเห็นคริสเตียนที่เดินคู่อยู่กับคาร่า ซึ่งเขากำลังเลือกชุดให้คาร่าเพื่อนำไปใส่ที่เมืองไทยอยู่ในร้านเสื้อผ้าแบรนด์ดัง
แอนนามองคริสเตียนด้วยสายตาที่ไม่พอใจ เพราะเขาไม่เคยพาเธอมาชอปปิงแบบนี้เลยสักครั้ง มีแต่ให้ลูกน้องเป็นคนจัดการให้ เธอจึงรู้สึกอิจฉาผู้หญิงคนนี้มาก คนที่คริสเตียนกำลังดูแลเอาใจใส่อย่างดี
มิน่าเขาถึงไม่ติดต่อมาหาเธอเลยช่วงนี้ ก็เพราะเขามีผู้หญิงคนใหม่นี่เอง เธอจึงใช้โทรศัพท์ถ่ายรูปของเขาไว้ ก่อนจะตัดใจเดินไปกับเพื่อนสนิทของเธอ
...
@กรุงเทพ ประเทศไทย
เป็นเวลาเดือนกว่าแล้ว ตั้งแต่วันที่คาร่าเดินทางมาถึงเมืองไทย ตอนแรกคาร่าก็รู้สึกหวาดกลัว แต่ตอนนี้เธอรู้สึกดีขึ้นมากแล้ว เริ่มคุ้นชินกับอากาศและเริ่มปรับตัวได้
เธอรู้สึกปลอดภัยแถมยังมีความสุขมากขึ้น รู้สึกอบอุ่นเมื่ออยู่ในบ้านหลังนี้ ซึ่งรอบๆ ตัวเธอมีบอดี้การ์ดคอยคุ้มครองความปลอดภัยให้เธออย่างเคร่งครัด และมีเชฟประจำ ซึ่งเป็นคนที่ทำอาหารได้อร่อยมากชื่อว่าลุงมาร์ค
มาร์ครู้สึกเอ็นดูคาร่ามาก มาร์คเคยเป็นคนทำงานให้แด๊ดของคริสเตียนมาก่อน และมาร์คก็สูญเสียภรรยากับลูกสาวไปในอุบัติเหตุ โดยเขาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสด้วยเช่นกัน แต่ก็รักษาตัวจนฟื้นขึ้นมา คอยทำอาหารให้คริสเตียนมาตั้งแต่เด็ก
เขาทั้งรักและเทิดทูนคริสเตียนมาก เขาจึงเดินทางมาเมืองไทยพร้อมกับคริสเตียนด้วย เพราะไม่แน่ใจว่าคริสเตียนจะอยู่ที่เมืองไทยสักกี่เดือน
ในบางครั้งคาร่าและโมนิก้าก็จะเรียนทำอาหาร แล้วนำไปให้บอดี้การ์ดกับยามชิมเป็นการทดสอบ ซึ่งตอนแรกพวกเขาก็บอกว่าอาหารอร่อยดี แต่แล้วโมนิก้าที่คิดอยากแกล้งพวกบอดี้การ์ด ก็ตัดสินใจผสมเกลือจำนวนมากลงไปในอาหารด้วย ดังนั้นเมื่อพวกเขาได้ชิมในรอบนี้ พวกเขาจึงรีบคายทิ้งแทบไม่ทันเพราะความเค็ม
โมนิก้า มาร์ค และคาร่า จึงพากันหัวเราะร่าจนปวดท้อง หลังจากได้เห็นหน้าตาที่พะอืดพะอมของเหล่าบอดี้การ์ดแล้ว
“นี่มันอะไรกันเนี่ย เค็มชะมัด” บอดี้การ์ดคนหนึ่งที่ชื่อดาวิเด้เอ่ยถามขึ้นมาด้วยความโมโห
“เกลือ” โมนิก้าตอบ กลั้วหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ ที่ได้แกล้งพวกเขา