หลังจากออกมายังข้างนอกแล้วไตรวิชญ์ก็พานิมมานขึ้นมานั่งบนรถที่นาราติดเครื่องรอไว้อยู่แล้ว เพียงชั่วอึดใจรถสปอร์ตสีดำโฉบเฉี่ยวก็แล่นบนถนนสายหลักที่การจราจรค่อนข้างติดขัดเหมือนทุกวัน นิมมานหยิบกระเป๋าจากมืออีกฝ่ายมาเปิดออกดูข้างใน นอกจากเอกสารสำคัญก็ยังมีโทรศัพท์รุ่นเก่าอยู่หนึ่งเครื่อง พอลองหยิบมาเปิดดูก็เห็นสายเรียกเข้าของแม่ขึ้นเป็นสิบ ๆ สาย
“แม่โทรหานี่…” คิ้วเรียวขมวดมุ่นด้วยสีหน้าหนักใจ สิบวันที่หายเงียบไป แม่ต้องเป็นห่วงมากแน่ ๆ ทำไงดี
“เป็นอะไร”
“ไม่เกี่ยวกับเฮีย” นิมมานตอบกลับพลางเก็บโทรศัพท์ใส่ไว้ในกระเป๋าเหมือนเดิม กลับถึงห้องค่อยโทรกลับหาแม่ ตอนนี้เขาไม่สะดวกจะคุยต่อหน้าคนคนนี้
“ไม่เกี่ยวกับกูยังไง ถ้าอยากจะโทรกลับไปก็โทร จะลีลาทำซากอะไร เอาโทรศัพท์มากูจะคุยกับแม่มึงให้เอง”
“ไม่ต้อง เฮียอยู่เฉย ๆ ไปเถอะ นิมจะคุยกับแม่เอง ขืนให้เฮียคุยแม่ของนิมก็ช็อกกันพอดีสิ! “
อยู่ด้วยกันมาตั้งสิบวัน ถึงจะหลับ ๆ ตื่น ๆ มีสติบ้าง ไม่มีสติบ้าง เขาก็พอรู้หรอกว่าไตรวิชญ์เป็นคนนิสัยยังไง ทันทีที่แม่เขารับสายคงต้องรีบพูดโพล่งออกไปแน่ว่าเป็นอัลฟ่าของเขา และคงบอกเรื่องที่ได้กัดคอเขาไปแล้วด้วย
โอเมก้าน่ะ จะขาดอิสรภาพทันทีที่ถูกตีตรา รอยกัดที่ไม่มีวันจางหายก็เหมือนโซ่พันธนาการที่ผูกติดให้เขาต้องทนอยู่กับอัลฟ่าเจ้าของรอยกัดไปจนกว่าจะตายจากกัน
แม่ของเขาต่อให้จะรักพ่อมากแค่ไหนก็ไม่เคยยอมให้พ่อกัดคอ และพ่อก็เห็นด้วยกับเรื่องนี้จึงไม่ได้สร้างรอยพันธะ ทำให้แม่ที่เป็นโอเมก้ายังคงมีอิสระในการมีคู่อัลฟ่าใหม่ได้ ไม่ต้องโดนผูกมัดให้ต้องติดแหง็กกับอัลฟ่าเถื่อนอย่างเขา
เด็กหนุ่มคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยจนเผลอลืมตัวยกมือขึ้นแตะหลังคอตัวเองพลางขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะชะงักเมื่อปลายนิ้วแตะโดนปลอกคอหนังสีดำเข้า ตอนจะออกจากบ้านไตรวิชญ์เอามันมาใส่ให้เขา ผิวสัมผัสเรียบลื่นน้ำหนักเบา แต่มีความทนทานสูง และยังยืดหยุ่นได้ดีไม่บาดผิวของเขา
ตอนแรกเขาก็ทำท่าจะถอดออกแต่อีกฝ่ายกลับบอกว่าคนที่ถอดมันออกได้มีแต่ตัวเองเท่านั้น เพราะใช้ระบบสแกนรอยนิ้วมือในการปลดล็อก ต่อให้เป็นเขาก็เอาออกเองไม่ได้
คิดดูแล้วกันว่าเขาในตอนนั้นจะรู้สึกยังไง?
คอก็คอเขา แต่เหมือนกับเป็นคอของไตรวิชญ์มากกว่า เพราะคนคนนี้ทำอะไรได้ตามใจชอบผิดกับเขาที่แค่จะถอดปลอกคอออกยังทำไม่ได้เลย น่าหงุดหงิด น่าโมโหจริง ๆ!
หมับ
“เฮีย! จะทำอะไรน่ะ?!” เสียงห้าวหวานร้องลั่น เมื่อจู่ ๆ ฝ่ามือร้อนผ่าวก็คว้าจับเข้าที่หลังคอเขาแบบไม่ยอมบอกกล่าว ทำเอาวูบหนึ่งลมหายใจเขาสะดุดไปเพราะความกลัว แต่ครู่ต่อมาตรงก็รู้สึกโล่ง ๆ เย็น ๆ แถวต้นคอ ถึงได้รู้คนคนนี้แค่จะเอาปลอกคอออกให้ไม่ได้คิดจะทำร้ายกันอย่างที่นึกกลัว
“มันบาดผิวมึงเหรอ เดี๋ยวกูจะหาเส้นใหม่มาให้แล้วกัน”
“เอาเส้นนี้แหละ นิมแค่ไม่เคยใส่มันเลยรู้สึกแปลก ๆ” มือเล็กลูบหลังคอไปมารู้สึกหัวใจเต้นผิดจังหวะอย่างไรชอบกล
“ก็แล้วไป มึงต้องหัดใส่ไว้ให้ชิน ถึงจะมีรอยกัดของกูอยู่บนคอมึงก็ไม่ได้หมายความว่าจะปลอดภัย เพราะพวกสวะเลวทรามมันไม่เลือกอยู่แล้วว่าโอเมก้าคนนั้นจะมีรอยพันธะหรือไม่มี พวกมันแค่ต้องการสนองตัณหาและความอยากกระหายของตัวเองเท่านั้น ถ้ามึงไม่อยากตกเป็นเหยื่อให้พวกมันเล่นสนุกด้วย ก็จำใส่หัวไว้ว่าห้ามถอดปลอกคอออกเด็ดขาด ยิ่งตอนที่ไม่มีกูอยู่ด้วยก็ให้ถอยห่างจากอัลฟ่าทุกคน ไม่เลือกว่าจะเป็นพ่อกู พี่น้องกู หรือแม้แต่ลูกน้องที่กูสั่งให้คอยเฝ้ามึงก็ห้ามอยู่ด้วยกันตามลำพัง”
ไม่ใช่แค่นิมมานที่เลิกคิ้วขึ้นสูงด้วยความประหลาดใจ แม้แต่นาราที่รู้จักใกล้ชิดกับเจ้านายมาหลายปีก็ยังตกใจกับคำพูดนี้ เพราะคุณไตรพูดเหมือนกับว่านอกจากตัวเองแล้วอัลฟ่าทุกคนไว้ใจไม่ได้ ไม่เว้นแม้แต่พ่อหรือพี่น้องของตัวเอง
“คนที่ไม่น่าไว้ใจที่สุดน่าจะเป็นเฮียมากกว่านะ” นิมมานพูดไปตามที่ใจคิด แต่ไม่รู้ทำไมถึงถูกคนพี่ตีหน้ายักษ์กลับมา
เขาพูดความจริงแล้วผิดตรงไหน ถ้าจะให้เขากลัวพวกบรรดาพ่อแม่พี่น้องของคนคนนี้ สู้กลัวอัลฟ่าเถื่อนปากคมอย่างกับกรรไกรตรงหน้าไม่ดีกว่าเหรอ เพราะคนที่จ้องเล่นงานเขาก็มีแต่ไตรวิชญ์นี่แหละ เผลอทีไรเป็นต้องจับเขาฟัดตัวช้ำทุกทีสิน่า
“จำใส่กะโหลกไว้ว่ากูเป็นคนที่มึงไว้ใจได้มากที่สุด ยิ่งกว่าใครทั้งหมด”
“ไม่จริง เฮียแหละไม่น่าไว้ใจ…มาก ๆ ๆ”
“อยากโดนกูจับกดตรงนี้เหรอถึงกล้าอ้าปากเถียง อยากลองดี อยากเปลี่ยนสถานที่ว่างั้น?!”
ใบหน้าคมเข้มดำทะมึนเหมือนพายุฝนกำลังตั้งเค้ามาแต่ไกล แถมด้วยสายฟ้าแลบแปลบ ๆ อยู่เบื้องหลังทำให้คนมองอดใจสั่นไม่ได้ ลูกแกะตัวขาวนุ่มนิ่มขยับถอยหลังหนีไปเกาะติดชิดกระจกรถอีกฝ่ายของเบาะหลัง โดยมีสายตาคมกริบวาวโรจน์จ้องเขม็งมองการกระทำนั้นไม่วางตา ก่อนจะเอื้อมมือไปกระชากแขนไอ้เด็กมะลิให้กลับมานั่งที่เดิม เพิ่มเติมคือเกยทับบนตักเขา พอมันคิดจะขยับหนีก็กอดกระชับแน่นจนกระดิกตัวไปไหนไม่ได้
ไตรวิชญ์แสยะยิ้มร้ายกาจมองดวงตาขุ่นขวางไม่พอใจของ
โอเมก้าหน้าเด็กพลางหัวเราะเยาะเย้ยทับถมลงไปด้วยความสะใจ อีกฝ่ายขบเขี้ยวเคี้ยวฟันขมุบขมิบปากพูดอะไรสักอย่างแบบไร้เสียง เขาฟังไม่ได้ยินแต่พอเดาออกว่าคำที่หลุดจากปากจิ้มลิ้มน่าจูบของมันคงเป็นคำด่ามากกว่าคำชม
“ต่อไปห้ามไว้ใจใครนอกจากกู ถ้าไม่เชื่อฟังกูจะจับมึงขังไว้ในห้องจนกว่าจะยอมเข้าใจในสิ่งที่กูพูด ถ้าเบื่อเดี๋ยวกูจะหากิจกรรมสนุก ๆ มาเล่นด้วยกันกับมึง”
“แล้วทำไมนิมถึงต้องไว้ใจเฮียได้แค่คนเดียวด้วย คนอื่นไม่น่าไว้ใจตรงไหน อีกอย่างคนที่จ้องจะเล่นงานนิมทุกครั้งที่มีโอกาสก็เฮียนั่นแหละ ตอนนี้ก็ยังเอาเปรียบกันอยู่เลย ปล่อยสิ หายใจจะไม่ออกอยู่แล้ว”
นิมมานกัดปากล่างพลางออกแรงงัดแงะท่อนแขนกำยำของคนพี่ที่รัดรอบเอวแน่นจนตัวเขาแทบจมหายเข้าไปในอกแกร่ง กลิ่นไอแดดอันอบอุ่นบนทุ่งหญ้าเขียวขจีลอยอวลรอบตัวเขา รู้สึกเหมือนถูกมอมเมาด้วยกลิ่นนี้ยังไงบอกไม่ถูก ยิ่งตอนที่ได้ใกล้ชิดกันแนบแน่นอย่างนี้ เรี่ยวแรงจะต่อต้านก็ยิ่งหดหายไปดื้อ ๆ สัญชาตญาณกู่ร้องเสียงดังจนน่ารำคาญบอกว่าให้เชื่อใจผู้ชายปากร้ายหน้าดุคนนี้อย่างไร้เงื่อนไข
“มะลิ”
“ฮะ”
“กูจะจูบมึง”
“หา! อุบ!”
ดวงตาเรียวสวยเบิกโพลงด้วยความตกใจ เมื่อจู่ ๆ ก็ถูกอัลฟ่าเถื่อนเจ้าของอ้อมแขนอุ่นจัดจนร้อนประกบริมฝีปากทาบทับลงมาบนริมฝีปากเขาอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว พอจะผลักออกก็ถูกรวบมือไปไขว้ไว้ข้างหลัง ใบหน้าถูกล็อกด้วยอุ้งมือใหญ่ที่ตรึงท้ายทอยเขาไม่ให้ขยับหรือถอยหนี นอกจากตอบรับทุกสัมผัสร้อนแรงดุดันที่บดขยี้ลงมาซะจนปากบวมเจ่อในชั่วพริบตา เรียวลิ้นสากตวัดเลียทั่วกลีบปากบางแล้วเปิดแง้มให้อ้าออกสอดลิ้นเข้าไปสำรวจภายใน
“อื้อ…อื้อ!”
ไตรวิชญ์ตักตวงความหอมหวานที่แผ่กำจายในโพรงปากนุ่มตวัดเกี่ยวลิ้นเล็กมาดูดดุนหยอกเอิน ฝ่ามือหยาบกร้านเคลื่อนลงไปบีบขยำก้นน้อยของเหยื่อตัวน้อย เล่นเอาเด็กหนุ่มสะดุ้งส่ายสะโพกเบี่ยงหลบไปอีกทาง แต่ไม่ว่าจะหนีไปตรงไหนก็โดนขยุ้มขยำจนเจ็บอยู่ดี และเพราะสู้ไม่ได้ถึงเปลี่ยนมาไล่งับลิ้นคนตัวโตกว่าที่คิดรังแกตัวเองกลับ
เสียงทุ้มต่ำครางกระหึ่มในลำคอห้ามปรามไอ้เด็กตัวแสบที่คิดเล่นงานเขา ชายหนุ่มย้ายมือมาลูบส่วนหน้าของโอเมก้าบนตัก กดนิ้วหัวแม่มือคลึงตามขนาดความยาวของหนอนน้อยที่โป่งนูนขึ้นหลังจากโดนปลุกเร้าอารมณ์ให้ตื่นเพริด เสียงครางประท้วงดังอื้ออึงในลำคอกระตุ้นกระทิงคลั่งให้ยิ่งสำแดงฤทธิ์ คว้าจับไว้ทั้งลำพลางรูดรั้งขึ้นลงถี่ ๆ เพิ่มน้ำหนักมือมากขึ้นอีก เพื่อให้อีกฝ่ายดิ้นพล่านอยู่ไม่สุข
นิมมานแทบเป็นบ้าที่ถูกมือหนาช่วยสำเร็จความใคร่ให้จนเสร็จไปหนึ่งรอบ ทั้งที่มีเนื้อผ้าขวางกั้นไว้ถึงสองชั้น แต่กลับไม่ช่วยให้สัมผัสจากมืออัลฟ่าหน้าโหดลดน้อยลงเลย เด็กหนุ่มตัวสั่นเทาหอบหายใจถี่กระชั้นพลางซบหน้ากับแผงอกบึกบึน หยาดเหงื่อเม็ดโตผุดซึมตามกรอบหน้าทำให้เส้นผมที่ลงมาปรกหน้าผากเปียกชุ่ม อุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้นทั้งที่แอร์ในรถแสนจะเย็นฉ่ำเหมือนอยู่ขั้วโลกเหนือ
“ชอบดื้อกับกูดีนัก สมน้ำหน้า”
“จำไว้เลยนะ” นิมมานเม้มปากทำหน้าบึ้ง ทั้งโดนจูบทั้งโดนบีบก้น นี่เขาเป็นผู้ชายนะไม่ใช่ผู้หญิง ทำไมถึงต้องมาถูกคนโรคจิตลวนลามร่างกายเหมือนกับว่าเป็นสมบัติของตัวเองที่อยากจะทำอะไรเมื่อไหร่ก็ได้ตามใจชอบ โดยไม่ขออนุญาตหรือถามความเห็นเขาสักคำ
“ตูดมึงนิ่มดี”
“เฮีย!”
นิมมานแผดเสียงด้วยใบหน้าแดงก่ำเพราะความอับอาย จากที่เรียกเฮียๆ เดี๋ยวจะกลายเป็นเหี้ยก็คราวนี้แหละ ชักจะโมโหจริง ๆ แล้ว
“ปากมึงก็น่าจูบ”
นิ้วโป้งถูกยื่นไปลูบไล้กลีบปากอมชมพูซึ่งบวมเจ่อเพราะพิษจูบเมื่อครู่ นัยน์ตาคมกริบทอประกายวาววับเหมือนนักล่าที่กระหายหิวจับจ้องมองเหยื่อไม่กะพริบ สองมือใหญ่พุ่งไปกอบกุมบั้นท้ายนุ่มแน่นดันตัวให้
เด็กหนุ่มบดเบียดเข้ามาใกล้ขึ้นอีก
“เฮีย…นะ…นิมหายใจไม่ออก อย่ากอดแน่นนักสิ” เสียงหวานสั่นเล็กน้อยเมื่อทั้งร่างแนบชิดไปกับร่างหนาจนไม่เหลือพื้นที่ให้อากาศลอดผ่าน
ใบหน้าของหนึ่งอัลฟ่าหนึ่งโอเมก้าอยู่ใกล้กันมากจนริมฝีปากแทบจะแตะถูกกันอีกครั้ง นิมมานเบี่ยงหน้าหลบไปทางซ้าย สองมือรีบยกขึ้นดันไหล่กว้างพลางขืนตัวไว้ไม่ให้ล้มทับลงไปทั้งตัว ไตรวิชญ์หรี่ตามองมือ
น้อย ๆ คู่นั้นอย่างขัดใจ ลมหายใจอุ่นจัดพ่นใส่หน้าโอเมก้าตัวดี ก่อนจะใช้มือจับมือเรียวบางให้เปลี่ยนมาคล้องลำคอเขาแทน
“กูไม่ปล้ำมึงบนรถหรอก อย่าเพิ่งใจเสาะรีบกลัวไปก่อนสิวะ”
“จริงเหรอ” ดวงตาเรียวรีมองอย่างไม่อยากเชื่อ
“คับแคบเกินไปเอาไม่มัน”
“ฮะ! เหตุผลบ้าบออะไรของเฮียเนี่ย?!”
“ในรถมันแคบ พื้นที่น้อย หมุนเปลี่ยนท่าลำบาก แถมยังมีคนอื่นอยู่ด้วย กูไม่ใช่พวกโรคจิตวิปริตที่ชอบโชว์ชอบอวดหรือเล่นหนังสดให้คนอื่นดู หรือถ้ามึงชอบกูก็ไม่ขัดพร้อมสนองให้มึงได้ทุกเมื่อ” มุมปากคนโหดกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์แกมร้ายกาจ นิมมานเห็นแล้วอยากจะกางกรงเล็บข่วนให้หน้าแหกนัก!
“เชิญเฮียคิดบ้าคิดบอประสาทแดกไปคนเดียวเถอะ อย่าดึงคนสติดีอย่างนิมเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย เพราะนิมไม่ชอบ!”
“เปลี่ยนบรรยากาศไง เอากันแค่บนเตียงจืดชืดจะตาย”
“เฮียจะไม่หยุดใช่ไหม?”
“หาวิธีให้กูหุบปากสิแล้วกูจะหยุดพูด”
ดวงตาดำขลับฉายแววหวาดระแวงหรี่มองไตรวิชญ์อย่างไม่ไว้ใจ ตอนแรกก็แอบงงว่าอีกฝ่ายต้องการสื่ออะไร แต่พอเห็นสายตาร้อนแรงแผดเผาชวนละลายก็รู้แล้วว่าคนพี่อยากให้เขาทำอะไร
นิมมานสูดหายใจเข้าลึก ๆ นับหนึ่งถึงสามในใจเสร็จก็ประกบปากจูบลงไปบนริมฝีปากหยักร้อนรุ่ม แต่พอจะผละออกก็ถูกตรึงใบหน้าไว้ด้วยฝ่ามือหนา ไตรวิชญ์ไม่ยอมให้เหยื่อที่หลงมาติดกับหนีหายไปโดยง่าย กุมปลายคางเรียวมนไว้ ดูดกลืนเสียงร้องประท้วงทั้งหมดของนิมมานกลืนลงท้องพร้อมความหวานล้ำที่แผ่ซ่านทั่วอุ้งปากมอมเมาให้ยิ่งกระหายตักตวงไม่รู้เบื่อ
นาราถอนหายใจทิ้งพลางร้องครางในใจว่าทำไมตัวเองต้องมารับรู้เรื่องพวกนี้ด้วย ถ้าแค่เสียงยังพอทนได้ แต่นี่กลิ่นยังลอยมาปะทะรูจมูกให้ฉุนกึกแทบหน้ามืดวูบหลับกลางอากาศ ไม่ใช่ว่าอัลฟ่าทุกคนจะควบคุมสัญชาตญาณได้ดีเหมือนคุณไตร เมื่อก่อนต่อให้มีโอเมก้ามาจงใจปล่อยกลิ่นฟีโรโมนก็ล่อลวงให้คุณไตรขาดสติกระโจนเข้าฟัดไม่ได้
ยกเว้นนิมมานที่เป็นคู่แห่งโชคชะตา ต่อให้ยืนเฉย ๆ ทำหน้านิ่ง ๆ ก็เรียกให้คู่ตัวเองอยากจับฟัดจับกลืนกินตลอดเวลาเหมือนอย่างตอนนี้ไง
กลิ่นอัลฟ่าทวีความเข้มข้นพอ ๆ กับกลิ่นโอเมก้า ทั้งหอมหวานและเร่าร้อน ต่างฝ่ายต่างกำลังเรียกร้องและตอบรับซึ่งกันและกัน จนเขาที่เป็นคนนอกอยากอัญเชิญตัวเองออกไปจากสถานการณ์ชวนอึดอัดนี้ ถ้าไม่ติดว่าขับรถอยู่บนท้องถนนคงได้เผ่นหนีไปนานแล้ว
คุณไตรนี่ไม่เห็นใจลูกน้องผู้ซื่อสัตย์อย่างเขาเลยจริง ๆ
ตั้งสติไว้ไอ้นารา อย่าเพิ่งมาสติแตกควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ตอนนี้ ไม่อย่างนั้นได้ถูกเจ้านายจับเชือดทิ้งแน่ ๆ
รถคันหรูราคาเหยียบสิบล้านเคลื่อนเข้ามาจอดยังหน้าคฤหาสน์หลังใหญ่ นิมมานเดินตามคนร่างสูงตรงหน้าเข้าไปด้านในด้วยสภาพที่ใช้คำพูดมาบรรยายไม่ได้ ผมเผ้ายุ่งฟูนิด ๆ ปากเจ่อบวมหน่อย ๆ น้ำตาคลอเบ้า พวงแก้มแดงระเรื่อ ยังไม่รวมกับท่าทีใจลอยเหมือนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวจนคนพี่ต้องหยุดรอแล้วจูงมือเดินไปพร้อมกัน
ใบหน้าคร้ามเข้มดูชื่นมื่นอารมณ์ดี นัยน์ตาสีน้ำตาลแดงทอแสงอ่อนโยนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มุมปากยกยิ้มบาง มือขวาล้วงกระเป๋าเดินผ่านห้องโถงใหญ่ด้วยท่วงท่าผ่อนคลายจนดาหลาหรี่ตามองอย่างหมั่นไส้ คนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาก่อนอย่างเธอมีหรือจะดูไม่ออกว่าตาไตรเพิ่งไปทำอะไรมา แล้วดูสภาพของหนูนิม คงโดนจับฟัดจมน่วมไปทั้งตัวแล้วมั้ง
เห็นทีต้องเรียกมาปรามกันบ้างแล้ว รังแกน้องหนักเกินไปเดี๋ยวก็ได้เตลิดหนีไปอีกรอบหรอก
“มึงขึ้นไปพักบนห้องก่อน ถ้าง่วงก็หลับไปเลย เดี๋ยวบ่ายกูให้คนไปตามมึงลงมากินข้าว”
นิมมานพยักหน้าแล้วเดินขึ้นชั้นบนไป โดยมีสายตาลุ่มลึกอ่านยากมองตามร่างบางตาไม่กะพริบ สะโพกกลมกลึงยักย้ายส่ายไหวไปตามจังหวะก้าวเดิน ดวงตาคมกริบหรี่ลงเล็กน้อยจดจ้องภาพนั้นด้วยสีหน้าหิวกระหายไม่รู้ตัว จนคนแม่แกล้งไอเสียงดังเรียกสติคนลูกให้กลับเข้าร่าง ไตรวิชญ์ถึงได้รู้ตัวว่าทำอะไรลงไป
“จ้องซะขนาดนั้นไม่เอาเชือกมาผูกติดมัดตัวน้องไว้กับตัวเองไปเลยล่ะ หืม”
“ทำได้เหรอครับ”
“อยากโดนคนอื่นหัวเราะเยาะก็เอาสิ”
“ใครจะกล้าหัวเราะใส่ผม” ไตรวิชญ์คลี่ยิ้มมุมปากคล้ายกับเย้ยหยันใครก็ตามที่ผุดขึ้นในมโนสำนึก จะพี่น้อง หรือเพื่อนฝูงต่างก็ไม่มีใครกล้าหัวเราะเยาะใส่เขาทั้งนั้น
“จริง ๆ เลยลูกคนนี้ น่าตีให้ตัวลายนักเชียว! แล้วเรื่องของแม่หนู
นิมลูกจัดการไปถึงไหนแล้ว” ดาหลาจนปัญญาจะเปลี่ยนแปลงนิสัยร้าย ๆ ของลูกชายคนรองของบ้าน เธอจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปถามถึงแม่ของลูกสะใภ้
“กำลังให้คนตามหาตัวอยู่ครับ อีกไม่นานคงได้รู้ว่าหายตัวไปอยู่ที่ไหนกันแน่”
“พวกมันลงมือไวกว่าที่แม่คิดไว้มาก เรื่องนี้อย่าเพิ่งบอกหนูนิมนะ แม่กลัวน้องจะคิดมากจนสภาพจิตใจย่ำแย่ กลัวจะหนีออกจากบ้านไปตามหาแม่ตามลำพังแล้วจะยิ่งเป็นอันตรายเข้าไปกันใหญ่”
“แม่ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอกครับ ผมจะจัดการเอง”
“อีกเรื่อง เลิกฟัดหนูนิมเหมือนหมาบ้าได้แล้ว ตัวน้องจะช้ำหมดแล้วเพราะฝีมือเราเนี่ย ฟังแม่อยู่หรือเปล่าตาไตร”
“ครับ ผมจะพยายาม แต่ไม่รับปากว่าจะทำได้”
“ไตรวิชญ์! “
“เข้าใจแล้วครับ จะฟัดเบา ๆ ถ้าพอใจแล้วผมไปทำงานก่อนนะครับ”
ไตรวิชญ์รีบตัดบทพลางยกมือไหว้มารดาบังเกิดเกล้าก็รีบเดินลิ่วหนีออกมาจากตรงนั้นด้วยความเร็วปานแสง ทิ้งให้คนเตรียมจะบ่นลูกชายถึงกับพ่นลมหายใจทิ้งแรง ๆ ส่ายหน้าไปมาอย่างเอือมระอา
จะพี่หรือน้องก็นิสัยเหมือนกันหมด แล้วอย่างนี้บรรดาเมีย ๆ ของพวกลูกชายเธอจะรับมือยังไงไหว
ดูสภาพหนูนิมตอนนี้สิ แบบนี้ได้ท้องหัวปีท้ายปีลูกดกยิ่งกว่าเธอแน่
หลายวันต่อมา…
ช่วงสายของวันนิมมานก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาอาบน้ำกินข้าว แล้วมาโผล่ยังสนามหญ้าหลังบ้าน มือเล็กยกขึ้นลูบหน้าเพราะยังง่วงนอนอยู่ ไม่ต้องถามว่าเมื่อคืนเขาไปทำอะไรมาถึงไม่ได้หลับได้นอน ลองถามคนข้างๆ ดูสิว่ายอมปล่อยให้เขาตอนไหน?
แทนที่กลับบ้านมาดึกจะรีบเข้านอนดันมาสะกิดเขาให้ตื่นซะงั้น ไม่รู้จะคึกอะไรนักหนา หนึ่งอาทิตย์ทำกันหนึ่งครั้งก็ได้ แต่นี่เล่นก่อกวนเขาทุกวัน กลางค่ำกลางคืนคนอื่นนอนหลับฝันดี แต่เขาดันต้องตื่นมาเล่นจ้ำจี้ผี
ผ้าห่มกับอัลฟ่าโรคจิตจนสลบเหมือดไปตอนไหนก็ไม่รู้อยู่ได้ทุกคืน ตอนนี้สมองเขาทั้งมึนทั้งเบลอ แขนขาอ่อนแรงไปหมดแล้ว
ปัง ๆ ๆ
“...!”
เสียงปืนที่ดังขึ้นหลายครั้งติดทำให้คนที่ยังตื่นไม่เต็มตาถึงกับตาสว่างขึ้นมาทันทีทันใด เด็กหนุ่มเจ้าของใบหน้าสวยหวานรีบหันไปมองหาต้นตอของเสียงด้วยใจระทึกหวั่นกลัวตัวแข็งทื่อ ก่อนจะมีเงาตะคุ่มดำ ๆ อยู่ทางด้านหลัง ดวงตาดำขลับสั่นไหวรุนแรง สองมือกำหมัดแน่นอย่างชั่งใจว่าควรจะหันกลับไปมองดีหรือไม่ แต่ก่อนจะตัดสินใจได้เอวบางก็ถูกท่อนแขนของใครบางคนรัดไว้ กลิ่นอายอันคุ้นเคยช่วยปัดเป่าความตื่นตระหนกให้เบาบางลง
“ฝึกฟังเสียงปืนไว้ให้ชิน ตกใจกลัวได้ แต่มึงต้องมีสติอย่าทำตัวแตกตื่น พวกที่กลัวจนขาดสติมักตายก่อน ใจเย็น ค่อย ๆ สูดลมหายใจเข้าออกช้า ๆ” เสียงทุ้มต่ำกระซิบบอกอยู่ข้างหู ขณะที่เสียงปืนยังคงดังขึ้นต่อเนื่อง
นิมมานลองทำตามวิธีที่อัลฟ่าหน้าโหดบอก ค่อยๆ สูดลมหายใจเข้าและออกช้า ๆ อ้อมกอดอบอุ่นกระชับแน่น กลิ่นอายเข้มแข็งปราศจากความเกรงกลัวทำให้เขาเบาใจลง ขณะเดียวกันก็มีสมาธิจดจ่อกับสิ่งรอบข้างมากขึ้น
“ซ้อมยิงปืนกันอยู่เหรอ แล้วตำรวจจะไม่แห่กันมาที่นี่?”
“ตำรวจไม่กล้ามายุ่งวุ่นวายที่นี่หรอก เลิกสนใจเรื่องของคนอื่น จากวันนี้ไปมึงต้องมาฝึกยิงปืนทุกวัน”
“ทำไมต้องฝึกยิงปืนด้วย ไม่ได้จะไปฆ่าใครสักหน่อย”
“กูก็ไม่ได้จะให้มึงไปฆ่าใคร แค่ฝึกไว้ให้ใช้เป็นและรู้จักวิธีรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉิน เวลาที่ต้องเจอกับผู้ร้ายมีปืนมึงจะเอาตัวรอดได้ยังไง นอกจากยิงปืนยังมีศิลปะการป้องกันตัวที่มึงต้องเรียนรู้ไว้ กีฬาบางประเภท การออกงานสังคม ภาษาและวัฒนธรรมของแต่ละชาติ”
“เฮ้อ เรียนให้ครบหมดทุกอย่างคงไม่ไหวหรอก เลือกแค่อย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้เหรอ”
“ไม่ได้ ค่อย ๆ เรียนรู้ไป ยังมีเวลาอีกสองอาทิตย์กว่ามหาวิทยาลัยจะเปิด ช่วงนี้ก็ฝึกฝนให้ได้มากที่สุด กูจะทดสอบมึงทุก ๆ สามวันว่ามีการพัฒนาไหม ถ้ามึงไม่ยอมพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น กูจะทำโทษมึง”
“ทำโทษยังไง…อึก!”
“กูจะติวเข้มเป็นการส่วนตัวในห้องสองต่อสองกับมึง จะย้ำทุกบทเรียนให้มึงจดจำจนลืมไม่ลง”
ริมฝีปากร้อนผะผ่าวงับเข้าที่ใบหูเล็ก ปลายลิ้นสากระคายตวัดเลียหยอกเย้าราวกับจะกลั่นแกล้งเล่น ทำเอาร่างเพรียวบางสั่นสะท้านตัวอ่อนยวบไร้เรี่ยวแรงจะยืนทรงตัว จนคนพี่ต้องช่วยพยุงร่างคนน้องไว้พลางกระตุกยิ้มร้ายก้มหน้าไปฟัดแก้มนิ่มสูดกลิ่นหอมกรุ่นของดอกมะลิอย่างห้ามใจไม่อยู่
“หรือจะไปติวเข้มกับกูสองต่อสองตอนนี้เลย?”
นิมมานปิดปากเงียบสนิทไม่ยอมตอบรับหรือปฏิเสธ นัยน์ตาเรียวสวยกลอกขึ้นมองบนดูท้องฟ้าสีคราม ก้อนเมฆสีขาวลอยเอื่อยไปยังทิศทางเดียวกัน แต่ทำเมินเฉยได้ไม่นานก็ถูกมือหนาเคลื่อนต่ำมาลูบวนแถวสะโพก
“นี่! เฮียอย่าก่อกวนกันนักสิ นิมตั้งใจเรียนรู้อยู่เนี่ย”
ไตรวิชญ์หัวเราะเสียงต่ำ ๆ ในลำคอยอมปล่อยแขนออกจากเอวอีกคนแล้วคว้าปืนที่เหน็บอยู่ในซองข้างเอวออกมาเล็งเป้าแล้วยิง นัดเดียวคงยังไม่สะใจพอ ชายหนุ่มถึงยิงต่อเนื่องรัวทุกนัดใส่เป้ากระดาษจน
ลูกกระสุน กระดาษถูกเจาะจนเป็นรูโหว่ขนาดใหญ่ ท่ามกลางสีหน้าอึ้งทึ่งตกตะลึงของโอเมก้าข้างกาย
“เก่งจัง”
นิมมานหลุดปากเอ่ยชมอย่างลืมตัว สายตาตอนที่หันไปมอง
ไตรวิชญ์เต็มไปด้วยความชื่นชมระคนนับถือ โดยหารู้ไม่ว่าเพียงแค่หันมาส่งยิ้มจริงใจให้เต็มปากก็ทำให้ก้อนเนื้อในอกซ้ายเต้นผิดจังหวะ นัยน์ตาพร่ามัวไปชั่วขณะเพราะถูกรอยยิ้มเจิดจ้ากระแทกใส่ตา
อัลฟ่าหนุ่มพ่นลมหายใจออกจากปากแรง ๆ ตัดสินใจหิ้วตัว
โอเมก้าของตัวเองไปฝึกซ้อมศิลปะการป้องกันตัวและการต่อสู้ก่อนอย่างอื่น โดยสถานที่สำหรับฝึกซ้อมก็เป็นห้องสี่เหลี่ยมปิดมิดชิดสามารถติวเข้มได้ทุกท่วงท่า จะจัดหนักหรือจัดเบาก็ได้ทั้งนั้น
ในวันนั้นนิมมานได้รู้แล้วว่าการถูกคนคนนี้ติวเข้มมันหนักหนายิ่งกว่าการเรียนรู้ได้ด้วยตัวเองหลายเท่า หลังจากนั้นเป็นต้นมาเขาก็ตั้งใจฝึกซ้อมทุกอย่างที่อีกฝ่ายยัดเยียดให้อย่างตั้งอกตั้งใจ แต่ก็ยังไม่วายจะถูกลากตัวไปติวพิเศษกับครูจอมโหดที่ขยันหาเรื่องเล่นงานเขาตลอดเวลาที่มีโอกาส!
คนคนนี้สะกดคำว่าเห็นใจคนอื่นเป็นบ้างไหมเนี่ย ฮือ ๆ