ตอนที่ 12/2 ‘สู่อาณาจักรของคลาส S’

2159 Words
“แฮ่ก...เฮียทำบ้าอะไร อื้อ! หยุดนะ เฮียไตร!” ใบหน้าแดงก่ำจากฤทธิ์จุมพิตมาราธอนแบบไม่ให้หยุดพักหายใจออกอาการตื่นตระหนกปนหวาดกลัว เพราะคนพี่เริ่มสูญเสียการควบคุมตัวเอง และเขารู้ว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นภายในลิฟต์ หากไม่รีบหยุด ไตรวิชญ์หรือทำให้อีกฝ่ายได้สติกลับคืนมาเร็วๆ “นิม…มึงไม่ได้เข้าใจอะไรสักอย่างเลย ในโลกของกูมันซับซ้อนและอันตรายยิ่งกว่าที่มึงเห็น มึงอาจตายได้ทุกเมื่อ อาจถูกใครสักคนหิ้วตัวไป กูไม่อยากให้มึงหลงเชื่อใจใครง่าย ๆ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนใหม่ เพื่อนของกู หรือญาติพี่น้องกู พวกเราทุกคนถูกควบคุมด้วยสัญชาตญาณของสัตว์ป่าที่มีความกระหายมากล้นยากเกินจะควบคุม ไม่ว่าใครก็ล้วนมีความดำมืดภายในจิตใจทั้งนั้น ไม่อาจคาดเดาหรือหยั่งรู้อนาคตได้ว่าใครดีใครร้าย มึงต้องระวังตัวให้มากกว่านี้ อย่าเผยความอ่อนแอให้ใครเห็นอีก” ดวงตาคมกริบสีน้ำตาลแดงราวกับมีเปลวไฟร้อนแรงลุกท่วมอยู่ ขณะเดียวกันก็มืดมิดจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง ลึกล้ำยากเกินหยั่งถึง เป็นแววตาของคนที่เจนโลกผ่านเรื่องร้าย ๆ มามาก เปลือกตาบางหลุบลงมองแผงอกกำยำ กลีบปากบางเม้มแน่นใช้ฟันขบกัดไว้ ก่อนจะเผยอขึ้นแล้วเป็นฝ่ายประกบทาบทับลงบนริมฝีปากหยักได้รูปสวยสุดเซ็กซี่ที่ร้อนผะผ่าวชวนหลอมละลายเพียงแค่สัมผัสบางเบา ไตรวิชญ์บดเบียดช่วงล่างกับกลางลำตัวของนิมมานเรียกเสียงครางฮือประท้วงจากคนน้องเพราะถูกกลั่นแกล้งให้อารมณ์กระเจิดกระเจิง เหมือนการร่วมรักโดยปราศจากการสอดใส่ เมื่อถูกถูไถกึ่งกลางกายหนักขึ้น ลมหายใจก็ถูกปิดกั้นเกร็งสะท้านตัวสั่นเทาให้อ้อมแขนบึกบึน “เฮีย ฮึก…นิมจะถึงแล้ว อื้ออ!” นิมมานรีบพุ่งไปกอดคอคนพี่ไว้แน่นกัดปากส่งเสียงครางในลำคอเมื่อเสร็จหลังจากถูกสัมผัสเพียงภายนอกเท่านั้น “กูยังไม่เสร็จ” “ไม่เอาแล้ว อย่าแกล้งนิม โอ๊ย! อย่าบีบตูดได้ไหม! นี่แน่ะ” ตุบ! “กล้าทุบกูเหรอวะ นอนไปเลยไอ้เด็กมะลิ ขืนมึงผงกหัวขึ้นมาให้กูเห็นหน้า กูจะจับมึงปล้ำตรงนี้” “เฮียทำตัวโรคจิตขึ้นทุกวัน ใครเขาเอากันในลิฟต์ โอ๊ย! ตีตูดนิมทำไม!” “พูดจาไม่น่ารัก” ไตรวิชญ์ใช้แขนซ้ายช้อนเข้าใต้สะโพกกลมกลึงเหมือนก้อนซาลาเปาสองลูกอุ้มตัวนิมมานไว้ด้วยแขนข้างเดียว ส่วนอีกมือก็ประคองแผ่นหลังบางรอจนลิฟต์เปิดแล้วค่อยก้าวออกไป นิมมานที่ยังโอบรอบลำคอหนาของอัลฟ่าเถื่อนก็เงยหน้าขึ้นมองทางข้างหลัง ที่ชั้นสิบดูเงียบมากผิดปกติเหมือนไม่มีใครพักอาศัยอยู่ชั้นนี้ ทั้งที่ออกจะกว้างขวางมาก มุมหนึ่งมีโซฟาบุนวมตัวใหญ่สามตัววางไว้ล้อมโต๊ะกระจกใสตัวกลม ติ๊ด ประตูไม้สองบานสูงจรดเพดานค่อย ๆ เปิดออก นิมมานที่ทนเก็บความสงสัยไม่ไหวเลยดิ้นลงจากคนตัวสูงหันกลับไปมองด้านหลังก็ต้องอ้าปากกว้าง เมื่อได้เห็นอาณาจักรที่คนพี่พักอยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างที่หาได้ในโรงแรมถูกขนย้ายมาไว้ที่นี่ทั้งหมด ทั้งฟิตเนส ห้องอาหาร ห้องรับแขก ห้องนั่งเล่น ห้องกีฬาในร่ม มีโต๊ะสนุ๊กตั้งอยู่มุมในสุดด้วย ยังมีเคาน์เตอร์บาร์อีก ส่วนห้องนอนน่าจะอยู่หลังประตูบานนั้น “ทำไมห้องพักคลาส S ถึงได้ใหญ่นักล่ะ ขี้โกงนี่” “มึงจะบ่นทำไม กูพักอยู่ห้องนี้ มึงก็ต้องพักอยู่ห้องนี้ด้วย” “แต่นิมไม่อยากอยู่กับเฮีย นิมจะไปพักห้องของพวกคลาส B เหมือนเพื่อน ๆ” “กูไม่ให้มึงไป มึงต้องอยู่กับกูที่นี่” “ไม่เอานะ นี่มันศูนย์รวมของพวกอัลฟ่า นิมถูกข่มด้วยแรงกดดันพวกนั้น แค่อยู่ใกล้ก็อึดอัดจะแย่แล้ว ไม่ไหวหรอก” ไตรวิชญ์พานิมมานเข้าไปในห้องนั่งเล่นที่มีโฮมเธียเตอร์ครบชุด โซฟาตัวยาวสีน้ำตาลค่อนข้างใหญ่มากจนสามารถเอนตัวนอนลงไปได้เลย ชายหนุ่มวางร่างเพรียวบางลงนั่งบนตักตัวเอง กอดเอวของคนตัวเล็กไว้พลางโน้มหน้าลงไปคลอเคลียจมูกโด่งสันกับปลอกคอหนังสีดำเส้นใหม่ ซึ่งด้านหน้ามีจี้ห้อยรูปหัวใจสีแดง เพราะลมหายใจอุ่นจัดคอยแต่จะพ่นรดต้นคอทำให้เด็กหนุ่มเอียงตัวหนีหลบจมูกกับปากร้อน ๆ ที่พรมจูบลงมาเป็นพัลวัน “อื้อ…เฮียอย่าสิ นิมขนลุกซู่แล้วเนี่ย! เมื่อเช้าก็จับกินไปตั้งสองรอบ ตอนนี้เฮียควรต้องอิ่มได้แล้วสิ” “เหตุผล?” “อะไร ก็เฮียกินไปแล้วไง ก็ต้องหยุดพัก…ไม่ถูกตรงไหน” “ไม่ถูก กูหิวกูก็กิน ไม่จำกัดว่าจะกี่รอบ” “คนเอาแต่ใจ!” “แล้วไง มึงคิดว่ากูจะสะดุ้งสะเทือนกับคำด่าโง่ๆ ของมึงเหรอ” เสียงแหบพร่าวนเวียนอยู่แถวหลังคอพร้อมกับลมหายใจอุ่นร้อนที่พ่นใส่เป็นระยะ ก่อนที่อัลฟ่าหนุ่มจะกัดทึ้งปลอกคอหนังซึ่งปิดกั้นซอกคอขาวเนียนกรุ่นกลิ่นหอมเย็นของดอกมะลิ “อย่ากัดเล่นสิเฮีย เฮียเป็นหมาเหรอ เดี๋ยวมันก็ขาดหรอก” “ไม่ขาดหรอกน่า ไม่ใช่ปลอกคอเน่า ๆ ของมึงที่กัดนิดกัดหน่อยก็ขาดแล้ว” ไตรวิชญ์พ่นลมหายใจฟึดฟัดอย่างหงุดหงิด สองมือก็บีบขยำเนื้อตัวนุ่มนิ่มไปเรื่อยจนคนน้องต้องไล่ตีมือให้หยุดยุ่มย่ามบนร่างตัวเอง “เฮีย นิมมีเรื่องสงสัย ทำไมรุ่นพี่อารัญถึงไม่ใส่ปลอกคอล่ะ เป็น โอเมก้าแท้ ๆ แต่กลับปล่อยให้คอโล่ง อัลฟ่าของตัวเองก็ไม่มี ไม่กลัวโดนกัดคอแบบไม่ตั้งใจเหรอ” นิมมานใช้สองมือคว้าจับใบหน้าหล่อเหลาดุดันของคนพี่ให้เงยหน้าขึ้นจากคอเขา แล้วมองสบตากันเพื่อตอบคำถาม “ถึงจะเป็นโอเมก้าแต่ก็เก่งกว่าโอเมก้าทั่วไป ฝึกฝนมาหนักแบบเดียวกับกู หรืออาจจะมากกว่าเพราะในอดีตเป็นตระกูลนักฆ่า เป็นมือลอบสังหารที่เพิ่งยอมเปิดเผยตัวออกจากที่ซ่อน เชี่ยวชาญการลอบฆ่า การวางกับดัก และการล่อลวง” “เก่งขนาดนั้นเชียว น่ากลัวจัง แต่ถึงยังไงก็เป็นโอเมก้าอยู่ดีนี่ ถ้าโดนกัดคอทุกอย่างก็จบ” “กัดคอแล้วยังไง โดนฆ่าตายทุกอย่างจบเหมือนกัน” “แต่ว่ากัดคอเลยนะ!” “เข้าให้ถึงตัวมันทั้งที่ยังมีลมหายใจให้ได้ก่อนเถอะ แล้วแทนที่มึงจะห่วงตัวเองดันไปห่วงคนอื่น อารัญมันเก่งเกินกว่าจะต้องมานั่งพะวงคอยตามห่วงกันแล้ว แต่มึงอะไรก็ไม่เก่งสักอย่าง ถ้าไม่มีใครคอยอยู่ปกป้องก็คงจะตายแบบโง่ ๆ อีก” “ด่านิมว่าโง่อีกแล้ว เฮียฉลาดนักหรือไง แล้วเฮียจะปล่อยให้นิมตาย” ดวงตาดำขลับสบประสานสายตานิ่งขรึมจริงจังของคนพี่ นัยน์ตาสีน้ำตาลอมแดงลึกล้ำจนยากเกิดคาดเดาความคิดอ่าน เหมือนเก็บซ่อนเงื่อนงำมากมายเอาไว้ และไม่ต้องการเปิดเผยมันให้ใครรู้ “กูอยู่กับมึงไม่ได้ตลอดหรอก สิ่งที่มึงต้องทำคือปกป้องตัวเองให้ได้ ถ้าตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤตเสี่ยงตาย มึงต้องกัดฟันตั้งสติอย่าลนลาน ถ่วงเวลาพวกมันไว้ให้นานที่สุด แล้วกูจะตามไปช่วยมึงกลับมาเอง” “อือ นิมจะจำไว้” นิมมานพยักหน้ารับรู้แล้วขยับตัวเอนศีรษะซบบ่ากว้าง ใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารักหมองลงเล็กน้อยด้วยความกังวลซุกซอกคอของร่างสูงไว้ “โลกนี้มันก็แปลกประหลาดจริง ๆ ทำไมต้องมีอัลฟ่า เบต้า โอเมก้าด้วย แค่มีคนรวยกับคนจนก็ไม่ยุติธรรมพออยู่แล้ว ทำแบบนี้คนที่เกิดเป็นคนจนแล้วยังเป็นโอเมก้าจะมีชีวิตรอดไปได้ยังไง” คำพูดตัดพ้อน้อยใจต่อโชคชะตาของโอเมก้าในอ้อมแขนทำให้ดวงตาของไตรวิชญ์ดำมืดลง ใบหน้าคมดุแข็งกระด้างขึ้นเมื่อนึกถึงความลำบากที่คนตัวเล็กต้องพบเจอมาตลอดหลายปีกว่าจะมาเจอเขา ก่อนหน้านี้มันเอาตัวรอดมาได้ก็เพราะทำตัวหลบ ๆ ซ่อน ๆ ไม่เป็นจุดเด่นให้ใครสนใจ แต่นับจากนี้ไปทุกคนจะรู้จักมันในฐานะว่าที่ภรรยาของเขา คนที่จะมายืนเคียงข้างเขาในตอนที่ได้รับสืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลต่อจากพ่อ “มึงเถียงกูเก่งจะตายไป อยู่กับกูมาเกือบจะครบเดือน อวัยวะก็ยังอยู่ครบสามสิบสอง ไม่ว่าหลังจากนี้มึงจะเจออะไรก็จะแคล้วคลาดปลอดภัย เพราะคนที่ทำให้มึงร้องไห้ได้มีแต่กูเท่านั้น แค่กูคนเดียวที่จะได้เห็นน้ำตามึง” คิ้วเรียวขมวดแน่น นิมมานเงยหน้ามองคนพูด แต่เห็นเพียงปลายคางไร้หนวดเขียวครึ้ม นัยน์ตาสีดำกระจ่างใสเหม่อมองด้วยสายตาสับสนหวั่นไหวในหัวใจ คำพูดคำจาของคนคนนี้เหมือนจะข่มขู่ให้กลัว ทว่าน้ำเสียงและกลิ่นอายที่โอบล้อมตัวเขาอยู่ตอนนี้กลับรู้สึกอุ่นใจเมื่อได้ชิดใกล้ รู้สึกว่าตัวเองจะปลอดภัยเสมอหากอยู่ในวงแขนนี้ “ปากร้ายตลอด นิมจะไปเปลี่ยนชุดใหม่แล้วจะลงไปดูตึกเรียน เฮียรอตรงนี้แป๊บเดียวเดี๋ยวนิมมา” ร่างเพรียวบางพรวดพราดลุกขึ้นยืน คิดจะหนีจากบรรยากาศแปลก ๆ ที่ชวนใจสั่นวาบหวิว แต่เดินไปไม่ทันถึงสองก้าวก็ถูกมือใหญ่คว้าจับข้อมือกระชากทีเดียวก็กลับมานั่งทับตักเหมือนเดิม ใบหน้าถูกตรึงด้วยฝ่ามือหยาบกร้านตามด้วยจูบพรากวิญญาณสูบเลือดสูบเนื้อ กลืนกินเสียงร้องประท้วงเสียงโวยวายของโอเมก้าหน้าเด็กลงท้อง แล้วช้อนตัวคนที่พยายามดิ้นหนีขึ้นอุ้มพาไปยังห้องนอน หลังจากเสียงประตูปิดลง ลูกแกะตัวขาวอวบก็ถูกกระทิงดุคลุ้มคลั่งไล่ขวิดจนเปล่งเสียงครวญครางต้องร้องขอชีวิต เพียงชั่วเวลาสั้น ๆ ก็เปลี่ยนเป็นเสียงครางกระเส่าหวานแว่วเจือสะอื้นวอนขอความเมตตาจนคนพี่ต้องปลุกปลอบมอบความรักความเอ็นดูให้คนน้องกระทั่งนอนหมดแรงพังพาบบนตัวกระทิงดุกินจุ กว่าจะอิ่มท้องเต็มคราบเข็มสั้นของนาฬิกาก็ชี้ไปที่เลขสี่ หมดเวลาเรียนของพวกเด็กปีหนึ่งแล้ว “คนหื่น คนตะกละ!” “ใครกันที่ร้องขอให้กูทำแรง ๆ อย่าหยุด เอาอีก” เปลือกตาหนาหลุบลงมองใบหน้าเล็กเท่าฝ่ามือที่แดงระเรื่อเพราะเขินปนอับอาย “ไม่จริง นิมไม่ได้พูด” ริมฝีปากมันวาวเจ่อบวมหน่อย ๆ คว่ำลงปฏิเสธเสียงแข็ง ทำเอาคนฟังกระตุกยิ้มเหี้ยม นัยน์ตาคมปลาบเผยแววดุร้ายมองดูเหยื่อที่พยายามปีนป่ายขึ้นจากหลุมที่ตกลงไป “เถียงกูเหรอวะ มึงพูดอยู่ชัด ๆ ไอ้เด็กมะลิ!” เพียงชั่วพริบตาร่างเล็กนุ่มนิ่มก็ถูกพลิกตัวให้ลงไปนอนแอ้งแม้งอยู่ข้างล่าง โดยมีร่างสูงใหญ่คร่อมทับอยู่ข้างบน ใบหน้าหล่อจัดคิ้วเข้ม ตาคม จมูกโด่งเป็นสัน และริมฝีปากหยักลึกเย้ายวนใจ เรียกริ้วแดงบนพวงแก้มนุ่มรู้สึกร้อนวาบไปทั้งหน้าจนต้องรีบเบี่ยงหลบ นิมมานกัดปากล่างอย่างประหม่าขัดเขิน เสียงหัวใจเต้นแรงไม่เป็นส่ำ “ฮะ…เฮีย พานิมไปดูตึกเรียนหน่อยนะ” “ดูทำไมตอนนี้ ตึกเรียนมึงไม่มีขาเดินเอง หนีไปไหนไม่ได้หรอก มึงชอบสัมผัสของกูใช่ไหม ชอบที่กูทำแบบนี้กับมึง” ฝ่ามือหนาลูบไล้ตรงสีข้างลากลงมายังเรียวขาเนียนนุ่ม คนที่ลูบสะดุ้งขนลุกเกรียวทั้งร่างรีบคว้ามืออีกฝ่ายไว้ “นิมเปล่า ไม่ได้ชอบ…” “มึงรู้ไหมว่าข้อดีเพียงอย่างเดียวของการเป็นคู่แห่งโชคชะตาที่กูชอบคืออะไร” “...” “คือการที่กูได้รับรู้ทุกความรู้สึกของมึงผ่านรอยพันธะ ผ่านจิตวิญญาณของคู่ชีวิต ไม่ว่ามึงจะคิดหรือรู้สึกยังไง กูรับรู้มันได้เอง มึงปิดบังกูไม่ได้หรอก จำใส่หัวเอาไว้ซะ จะได้เลิกปฏิเสธความรู้สึกดีๆ ที่มีต่อกู ถ้าหลงรักกูไปแล้วก็ก้มหน้าก้มตายอมรับชะตากรรม เพราะชั่วชีวิตนี้มึงหนีไปจากกูไม่พ้น” “...!”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD