“จริงด้วยนะอาเหมย อย่างที่พี่ใหญ่บอกเรานั่นแหละ พี่เองก็ไม่เคยโกรธ หรือเกลียดน้องเลย พวกเรามีกันเพียงสามคนพี่น้องจะโกรธหรือเกลียดด้วยเรื่องนี้ทำไม อย่าคิดมากนะ”
ตู้เหรินหนานปลอบน้องสาวอีกคน ครอบครัวตู้ก็มีเพียงแค่นี้ หากไม่รักกันแล้วพวกเขาจะไปรักใคร จะให้ไปรัก หรือเห็นใจครอบครัวตู้สายอื่นก็ไม่ใช่ มีแต่พวกเขารังเกียจครอบครัวเขา เพราะครอบครัวของเขานั้นจน
“แอ๊ ๆ” ลี่ลี่ตัวน้อยส่งเสียงพร้อมกับกอดคอตาไว้แน่น แต่หันมายิ้มหวานจนเห็นเหงือกสีชมพูให้กับแม่และลุงทั้งสองคน
“ฮ่า ๆ ๆ เห็นไหมหลานสาวคนสวยของตายังเห็นด้วยเลยเนอะ แม่อาเหมยของหนูนี่ไม่รู้ความเลย เอาแต่ร้องไห้ ไม่เหมือนลี่ลี่ของตา อารมณ์ดีทั้งวัน” พ่อตู้หันมาหัวเราะกับหลานตัวน้อย อายุแค่นี้ช่างรู้ความจริง ๆ
“นี่แน่ะ แกล้งแม่ใช่ไหม แหมลูกสาวของแม่มาวันเดียวเข้าข้างตาและลุงเสียแล้ว”
ตู้เหมยเซียงแกล้งจี้เอวลูก ทำให้เด็กน้อยหัวเราะเอิ๊กอ๊าก แต่ก็จี้ไม่นานเพราะกลัวลี่ลี่จะสำลักน้ำลายและหัวเราะจนเหนื่อยไปเสียก่อน
เมื่ออยู่กันพร้อมหน้า ตู้เซียงเหมยจึงคุยเรื่องการค้ากับทุกคน แต่ไม่ใช่เป็นการเอาของในมิติออกมาขายนะ เพราะเธอคงจะหาเหตุผลที่ดีไม่ได้มาตอบครอบครัว ในเมื่อทุกคนในครอบครัวคือเซฟโซนของหญิงสาว เธอจึงคิดจะหาอย่างอื่นเป็นอาชีพทำ
ส่วนตัวเธอเองนั้นอาจจะแอบเข้าไปปล่อยของในตลาดมืด เพื่อจะหาทุนรอนซื้อร้านและสร้างบ้านใหม่ เธอตั้งใจว่าจะหย่าขาดจากสามีจอมเย็นชา แต่จะไม่กีดกันพ่อลูก เมื่อไหร่ที่เหวินหยวนต้าอยากมาหาลูก หรืออยากจะพาลูกไปอยู่ด้วยช่วงที่ลากลับบ้านเธอก็ไม่ห้าม แต่ถ้าจะเอาลูกไปเลี้ยงนั้นเธอไม่ยอม
“พ่อ แม่ พี่ใหญ่ พี่รอง เราไปตั้งแผงลอยขายของกันเถอะ”
“เราจะขายอะไรลูกบ้านเราไม่ได้มีเงินมากขนาดนั้นนะ ทุกอย่างมันต้องใช้เงิน” แม่ตู้พูดขึ้นเสียงเศร้า
“เราก็ทำอาหารขายก่อนไงแม่ เช่นพวกซาลาเปา หรือว่าอาหารเช้า จำพวกโจ๊กและซาลาเปา แต่ปัญหาคือเราไม่มีโต๊ะให้ลูกค้านั่งถ้าตั้ง แผงลอย จริงสิ ฉันมีนาฬิกาอยู่เรือนหนึ่งสมัยที่เรียนอยู่ฉันเก็บเงินซื้อไว้พี่ใหญ่กับพี่รองช่วยเอาไปขายที่ตลาดมืดให้หน่อยได้หรือเปล่า”
นี่คือการรักลูกของพ่อและแม่ตู้ แม้ว่าจะจนขนาดไหนท่านทั้งสองกัดฟันส่งลูกทั้งสามคนเรียนจนจบมัธยมต้น มีเพียงตู้เซียงเหมยเท่านั้นที่จบมัธยมปลายทำให้หญิงสาวมีข้ออ้างว่ามีนาฬิกาเก็บไว้อยู่
“พี่มีเงินเก็บอยู่ห้าหยวน” ตู้เปียวซวนรีบวิ่งเข้าห้องไปหยิบเงินมาให้น้องสาว
“พี่มีห้าหยวนเหมือนกัน” ตู้เหรินหนานวิ่งเข้าห้องไปด้วยอีกคน
“ที่บ้านมีเงินเก็บอยู่สี่สิบหยวน เดี๋ยวแม่ไปเอามาให้”
แม่ตู้เดินหายเข้าไปในห้องอีกคน ทำให้ตู้เซียงเหมยซึ้งใจน้ำตาริน เธอรู้ว่าเงินที่ทั้งแม่และพี่ชายพูดถึงนั้นคงเป็นเงินที่ทั้งบ้านมีอยู่ แต่กลับหยิบยื่นมาให้เธอโดยที่เธอเพียงแค่เอ่ยปากว่าจะทำการค้าทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่ ทุกคนยังเอาออกมาให้เธอโดยไม่มีข้อแม้
ตู้เซียงเหมยหันมามองหน้าพ่อตู้ เธอกลับได้รับรอยยิ้มที่แสนอ่อนโยนของพ่อมอบให้ โดยมีลูกสาวตัวน้อยอย่างลี่ลี่ยิ้มหวานด้วยเช่นกัน
“ไม่ว่าลูกคิดจะทำอะไร พ่อและทุกคนพร้อมจะสนับสนุนเสมอ เย็นนี้พ่อจะขึ้นเขาไปตัดไม้มาทำเก้าอี้ และซ่อมแซมรถเข็นให้นะ แต่พ่อไม่ให้ลูกไปขายคนเดียว ให้เจ้าใหญ่เจ้ารองไปด้วย ส่วนลี่ลี่ พ่อกับแม่จะช่วยเลี้ยงเอง ว่าแต่ลูกไม่คิดจะกลับมาอยู่บ้านเราเหรอ ห้องของลูกยังอยู่เหมือนเดิม แม่เขาเข้าไปทำความสะอาดให้ตลอด”
พ่อตู้พูดน้ำเสียงอ่อนโยนและสื่อให้รู้ว่าบ้านตู้ยินดีต้อนรับการกลับมาของลูกสาวเสมอ
ตู้เซียงเหมยอึ้งพูดไม่ออก ไม่คิดว่าครอบครัวยังจะเก็บห้องของเธอไว้ แล้วพี่ใหญ่กับพี่รองล่ะ อย่าบอกนะว่าทั้งสองคนยังนอนอยู่ด้วยกันหรือว่านี่เป็นอีกเหตุผลที่พี่ชายทั้งสองคนยังไม่แต่งงาน
“พ่อ พี่รองยังไม่แยกห้องกับพี่ใหญ่เหรอ”
“ยัง พี่สองคนอยู่ด้วยกันได้ นอนด้วยกันมาตั้งแต่เด็กแล้ว แยกกันไม่ค่อยชินเท่าไร”
ตู้เหรินหนานเดินออกมาจากห้องพร้อมกับพี่ชายพูดขึ้น ไม่ใช่เพราะแยกกันไม่ได้หรอก แต่เพราะหวังว่าสักวันน้องสาวจะกลับมาอยู่ที่บ้าน แม้ว่าจะเป็นหญิงม่ายสามีหย่าเขาก็ไม่สนใจ แล้วอย่างไรน้องสาวเขาซะอย่าง และเขารู้ดีว่าเหวินหยวนต้านั้นไม่ได้รัก หรือชอบน้องสาว ที่แต่งงานด้วยเพราะจำยอมเท่านั้น
ตอนนี้เงินห้าสิบหยวนวางตรงหน้าน้องสาวสุดท้องของบ้านตู้อย่างตู้เซียงเหมย แต่หญิงสาวนั้นผลักเงินกลับไปให้กับทุกคนก่อนจะแกล้งหยิบเข้าไปในถุงผ้าที่เธอสะพายบ่ามาด้วย และเรียกหยิบนาฬิกาที่ธรรมดาที่สุดออกมาจากห้างสรรพสินค้ายื่นให้กับพี่ชาย หญิงสาวไม่รู้เลยว่านาฬิกาธรรมดาเรือนนี้สำหรับคนที่นี่คือราคาแพงมาก
“พรุ่งนี้พี่ทั้งสองคนเอานาฬิกานี้ไปขายให้หน่อย ว่าแต่พ่อถ้าฉันอยากจะสร้างบ้านใหม่ ตรงที่ข้าง ๆ กันจะต้องทำยังไง ให้พี่ใหญ่ไปขอจัดสรรที่ดินได้ไหม”
“นี่อาเหมยลูกลืมไปแล้วเหรอว่าที่ข้าง ๆ เป็นที่เก่าแก่ของแม่เรา หากจะสร้างบ้านก็แค่แจ้งหัวหน้าหมู่บ้านเท่านั้น” พ่อตู้หัวเราะ เพราะ คิดว่าลูกสาวลืมเรื่องนี้ไปแล้วจริง ๆ
“จริงเหรอพ่อ สงสัยฉันจะลืมจริง ๆ ว่าแต่ถ้าเกิดจะสร้างบ้านสี่ห้องนอน หนึ่งห้องครัว หนึ่งห้องรับแขก เราต้องใช้เงินทั้งหมดเท่าไร”
ตู้เซียงเหมยพยายามคำนวณว่าต้องใช้เงินทั้งหมดเท่าไรในการสร้างบ้านเพราะเธอไม่รู้ราคาของวัสดุและค่าแรงที่นี่
“สำหรับในหมู่บ้านแบบนี้ สี่ห้าร้อยหยวนก็ดูดีสำหรับคนมีเงินแล้วลูก แต่ชาวบ้านธรรมดาวัสดุธรรมดา สามร้อยหยวนก็น่าจะพอ ว่าแต่อาเหมยถามทำไม อย่าบอกนะว่า...”
“ใช่พ่อ ฉันจะสร้างบ้านใหม่ หากพ่อต้องการให้ฉันและหลานสาวกลับมาอยู่บ้านพ่อและทุกคนต้องทำอย่างที่ฉันบอก ไม่อย่างนั้นฉันจะยอมทนอยู่บ้านเหวินให้แม่สามีด่าเช้าด่าเย็นเหมือนเดิม”
ตู้เซียงเหมยรู้ว่าหากไม่ขู่และพูดไปแบบนี้ ทุกคนคงไม่ยอมที่จะสร้างบ้านใหม่แน่
“แต่ว่า...” พ่อตู้ยังคงลังเลเพราะการสร้างบ้านใหม่นั้นใช้เงินไม่น้อยและที่บ้านตอนนี้มีแค่ห้าสิบหยวน ยังไม่รู้ว่าจะพอให้ลูกสาวลงทุนค้าขายหรือเปล่า
“พ่อและทุกคนฟังฉันนะ ลองแหงนหน้ามองขึ้นดูที่หลังคา หากหน้าหนาวปีนี้หิมะตกหนัก ทุกคนไม่สงสารลี่ลี่เหรอ วันดีคืนดีหลังคาพังขึ้นมาลี่ลี่จะทำยังไง ใช่ไหมลูก ลี่ลี่ตอบแม่หน่อย”
เมื่อเห็นว่าพ่อยังลังเลจึงใช้หลานสาวมาเป็นตัวกดดันแทน ลี่ลี่ตัวน้อยก็ช่างรู้ความ พอแม่ส่งเสียงเรียกเด็กน้อยส่งเสียงอ้อแอ้กลับมาให้ “แอ๊ ๆ ๆ”
“เห็นไหมคะพ่อ ทุกคน ลี่ลี่ยังเห็นด้วยเลย” เก่งมากลูกแม่ น่ารักจริง ๆ จากนั้นจึงหันมาพูดกับทุกคนในครอบครัวกันต่อ
“เรื่องเงินสร้างบ้านนั้นไม่ต้องคิดมาก ฉันเชื่อว่านาฬิกาเรือนนี้ต้องขายได้ไม่ต่ำกว่าสามร้อยหยวน เพราะอะไรรู้ไหม ของยิ่งเก่ายิ่งแพง พรุ่งนี้พี่ใหญ่พี่รองเข้าตลาดมืด ส่วนฉันจะไปหาสหาย เพราะว่าสามีของเธอทำงานที่โรงเชือด ฉันจะลองขอติดต่อซื้อเนื้อมาทำซาลาเปา เผื่อว่าจะได้ราคาถูก ทุกเช้าเราจะทำซาลาเปาไปขายพร้อมกับโจ๊กเนื้อ
บางวันก็หมูสับ บางวันก็เป็นไก่ฉีก เพราะเนื้อไก่นั้นต้นทุนถูกกว่า ซาลาเปาเราจะขายไส้เนื้อ และไส้ผัก พรุ่งนี้กลับจากในอำเภอ ฉันจะทำให้ทุกคนกิน แล้วมาดูกันว่าจะขายได้ไหม แต่เรื่องนี้ให้ทุกคนรู้ว่าเป็นการค้าของพี่ใหญ่และพี่รอง ฉันแค่ไปช่วย จนกว่าฉันจะหย่าขาดจากพี่หยวนต้า วันนั้นค่อยเปิดตัวก็ไม่สาย เพราะยังไงการค้านี้ก็เป็นของบ้านตู้อยู่แล้ว”