ทันทีที่ลวิตรก้าวลงจากบันได เขาก็ได้กลิ่นหอมของขนมอบอวลไปทั่วบ้าน แต่ถ้าจะพูดให้ถูกเขาได้กลิ่นตั้งแต่เปิดประตูห้องนอนออกมาแล้ว ชายหนุ่มยิ้มกว้างเมื่อเห็นน้องสาวต่างสายเลือดกำลังยุ่งกับการเตรียมขนมเพื่อนำออกไปจัดวางที่หน้าร้าน
‘ร้านหวานใจ’ เป็นผลงานการออกแบบของเขาเอง ไม่รู้ว่ากาสะลองจะจำได้ไหม? แต่สำหรับเขาแล้ว ทุกถ้อยคำระหว่างเขากับเธอมีความหมายทุกอย่าง แม่ของเขาไม่ใช่คนชอบทำขนมตั้งแต่แรกหรอก แต่แม่ชอบให้ลูกสาวใส่ผ้ากันเปื้อนน่ารักๆ เหมือนตุ๊กตามากกว่า แต่เพราะกาสะลองชอบทำขนมจริงๆ ช่วงปิดเทอมเธอเรียนทำขนมจนฝีมือดีขนาด ขายเป็นรายได้พิเศษระหว่างเรียนมาแล้ว เมื่อเขาเรียนจบวิศวะ ทำตามสัญญาที่ให้กับกาสะลอง เขาออกแบบร้านเบเกอรี่เล็กๆ ให้ ‘ร้านหวานใจ’ จึงเกิดขึ้นจากเงินก้นกระปุกของกาสะลองและแม่ช่วยในการกู้เงินธนาคารมาทำร้านในฝันนี้ หลังจากกาสะลองเรียนจบปริญญาตรีมาดูแลร้านเต็มตัว แถมด้วยความยินดีจนหน้าบานของแม่ ทำให้กาสะลองไม่ต้องไปลำบากหางานทำข้างนอก
ถ้าบ้านหลังนี้ไม่มีกาสะลองสักคน...แม่เขาคงไม่สามารถยิ้มได้
“ทำไมตื่นเช้าจังคะ วันนี้ไม่ได้ไปทำงานไม่ใช่เหรอ” กาสะลองส่งเสียงทักทายเมื่อเห็นพี่ชายยืนมองอยู่ใกล้ๆ “กาแฟไหมหรือจะข้าวต้มหมูคะ”
“ไม่ต้องบริการดีขนาดนั้นก็ได้มั้ง” เสียงคุณเพลินตาดังมาจากข้างหลังลูกชายตัวโต “นี่บ้านไม่ใช่โรงแรม อยากกินอะไรก็บริการตัวเองซิ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะแม่ นิดๆ หน่อยๆ เอง” กาสะลองหัวเราะน้อยๆ แล้วขยับแว่นสายตา “ตกลงกินข้าวต้มพร้อมกันทั้งสามคนเลยนะ”
“ไปช่วยน้องซิ” คุณเพลินตาดุลูกชาย “เป็นผู้ชายต้องหัดเทคแคร์ผู้หญิงซิ”
“รู้แล้วน่า”
ลวิตรทำหน้าเบื่อแต่ก็เดินไปหยิบชามมาให้กาสะลองเพื่อตักข้าวต้ม ความสูงที่ต่างกันมาก ทำให้เขาก้มมองหญิงสาวรู้สึกว่าเธอตัวเล็กนิดเดียว ทำให้เขาเห็นแววอิดโรยของน้องสาวด้วย
“นอนดึกเหรอ” ลวิตรอดถามไม่ได้
กาสะลองส่ายหน้าไปมาจนผมเปียที่ถักไว้หลวมๆ แกว่งไปมา “เตรียมของแล้วก็นอน ความจริงน่าจะนอนเร็วกว่าปกติด้วยซ้ำแต่ทำไมตื่นมาเพลียๆ ก็ไม่รู้”
ลวิตรเผลอขมวดคิ้วและทำหน้าเครียด แต่เมื่อกาสะลองหันมาเห็นเขาก็แสร้งหัวเราะออกมา
“ปีปไม่เป็นอะไรหรอก ตื่นเช้าก็เลยยังเพลียอยู่ สายๆ หน่อยก็ดีขึ้นเองแหละค่ะ”
“วันนี้พี่จะช่วยที่ร้านด้วยก็แล้วกัน”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ พี่ลวิตรพักผ่อนเถอะ”
“ไม่เป็นไรหรอก”
“ปีปเขากลัวลูกค้าเห็นหน้าแกแล้ววิ่งหนีนะซิ” เพลินตาแขวะลูกชายขณะกินมื้อเช้าพร้อมกันสามคน
“โธ่แม่! พูดซะผมขายไม่ออกเลยนะเนี้ย” ลวิตรทำหน้าเบ้แต่แม่กับน้องสาวกลับหัวเราะกันคิกคัก คุณเพลินตาก็ทำท่าเหมือนเพิ่งนึกได้ รีบพูดขึ้น
“ตายจริง!แม่นัดกับคุณลำยองจะไปดูหมอกัน”
“ดูหมอ! อีกแล้วเหรอแม่” ลวิตรทำหน้าเซ็ง “เมื่อไหร่แม่จะเลิกดูหมอ-หมอดูอะไรสักที เอาเงินไปทำบุญไม่ดีกว่าเหรอฮะ”
“นิดๆ หน่อยๆ แกก็อย่ามาเป็นบ่นเลยนะ” เพลินตาพูดลอยหน้าลอยตาไม่สนใจสีหน้าของลูกชาย “ไหนๆ แกก็อยู่บ้านแล้วช่วยน้องก็แล้วกัน”
ลวิตรส่ายหน้าไปมา ตั้งแต่เด็กจนโตขนาดนี้แล้ว เขาไม่เคยเถียงแม่ชนะสักครั้ง กาสะลองแอบหัวเราะสองแม่ลูกที่ทำตัวเหมือนเป็นเพื่อนกันมากกว่า หลังจากเสร็จอาหารเช้าแล้ว ลวิตรก็ช่วยจัดเก็บโต๊ะอาหาร คุณเพลินตาลุกไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกจากบ้านไป
สำหรับกาสะลองแล้วเป็นเรื่องปกติ คุณเพลินตาจะออกไปดูดวงกับเพื่อนบ้านเดือนละสองหรือสามครั้ง แต่ที่เธอไม่เคยห้ามเพราะคุณเพลินตาแค่ดูดวงหรือโชคชะตา ไม่ได้ไปทำอะไรไม่ดีให้น่าเป็นกังวลรวมทั้งค่าใช้จ่ายในการดูดวงแต่ละครั้ง ก็ไม่มากนัก ถ้าถูกหมอดูทักว่าดวงไม่ดี ก็จะไปทำบุญที่วัดมากกว่าไปสะเดาะเคราะห์ด้วยวิธีต่างๆ ตามที่บรรดาหมอดูแนะนำ
“จนป่านนี้แม่ยังไม่เลิกสนใจเรื่องพวกนี้อีก” ลวิตรบ่นเมื่อทั้งสองคนช่วยกันเปิดร้าน ‘หวานใจ’ เรียบร้อยแล้ว
“แม่ก็ไม่ได้ไปทำอะไรไม่ดีนี่คะ” กาสะลองหัวเราะน้อยๆ ร้านยังว่างไม่มีลูกค้าเธอจึงหยิบตะกร้าใส่อุปกรณ์เย็บผ้าออกมานั่งเย็บตุ๊กตาผ้า ลวิตรมองอย่างสนใจแล้วเดินไปนั่งใกล้ๆ ชะโงกหน้าดู
“อะไรจะขยันขนาดนี้” ลวิตรอดแซวไม่ได้
“ไม่ได้ขยันซะหน่อย” กาสะลองยิ้มเขินๆ “หัดทำจากในอินเตอร์เนทค่ะ ว่าจะทำบริจาคบ้านเด็กกำพร้า”
ลวิตรยิ้มให้ความอ่อนโยนของน้องสาวคนนี้
“จริงๆ งานพี่ก็เข้าที่เข้าทางแล้ว พี่เลี้ยงดูปีปกับแม่ได้ไม่ต้องทำงานแบบนี้หรอก”
“พี่ลวิตร” กาสะลองถอนหายใจเบาๆ
“สำหรับปีปแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของปีปค่ะ เด็กกำพร้าอย่างปีป มีคนมารับอุปการะก็เป็นเรื่องโชคดีแล้ว นี่ยังได้ทำความฝันของตัวเองอีก มีร้านเบเกอรี่เล็กๆ มีรายได้พอเลี้ยงดูตัวเอง แค่นี้มันก็โชคดีที่สุดแล้ว ที่ผ่านมาปีปเคยแต่เป็นผู้รับมาตลอด ตอนนี้ปีปก็พร้อมแล้วขอเป็นผู้ให้บ้างนะคะ”
ลวิตรเอื้อมมือมาแตะหลังมือของกาสะลองเบาๆ “พี่ต่างหากที่ต้องขอบใจปีป เพราะปีปเข้ามาทำให้แม่เลิกร้องไห้ฟูมฟายเพราะพ่อมี...เมียน้อย”