กว่าจะเดินทางจากห้างมาถึงคอนโดที่ปราบอาศัยอยู่เวลาก็ล่วงเลยไปถึงช่วงบ่าย
พอหมิงเอารถเข้าไปจอดในลานจอดใต้คอนโดเสร็จเรียบร้อย อีกฝ่ายก็จัดการโทรหาเจ้าของห้องให้ลงมารับ เพราะเราสองคนไม่มีคีย์การ์ดที่ทำให้ขึ้นลิฟต์ไปที่ห้องไม่ได้
ยืนรออยู่ไม่นานนักชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ผิวเข้มสไตล์ไทยๆ ก็เดินออกมาจากลิฟต์ด้วย และเริ่มเปิดฉากบ่นเสียยืดยาวทั้งที่ยังไม่ทันเดินมาถึงเสียด้วยซ้ำ
“ไงแหม่ม กูนึกว่าจะมากันพรุ่งนี้เสียแล้ว นานฉิบหายจนไอ้ครามกับได้ชุนจะหลับคาห้องกูอยู่แล้ว” ปราบยื่นมือมาโยกหัวปาลินเบาๆ ก่อนจะขยี้จนยุ่งเหยิงไปอีกหนึ่งที
“ไอ้ปราบ หัวกูยุ่งแล้วเห็นไหมเนี่ย!” รอจนหญิงสาวร้องโอดครวญพลางจัดผมตัวเองเสียวุ่นวาย เจ้าของใบหน้าเจ้าเล่ห์ก็เผยยิ้มถูกอกถูกใจ แล้วยอมปล่อยให้เป็นอิสระ
ใบหน้าทักทายหมิงที่เดินตามหลังมาด้วย พลางส่งสายตาสื่อคำถามทว่ายังไม่เอ่ยอะไรออกมา
ปาลินมองหน้าเพื่อนทั้งสองคนอย่างเบื่อหน่าย ก่อนจะกระชับกระเป๋าเป้ที่บรรจุโน๊ตบุ๊คเอาไว้ก่อนจะเดินลิ่วนำไปที่หน้าลิฟต์
ด้านปราบที่ตอนนี้เดินเคียงมากับหมิง พอเห็นว่าปาลินเดินออกไปจนเลยระยะการได้ยิน ชายก็เริ่มพูดคุยด้วยเสียงที่เบาระดับอยู่ในลำคอ ขณะเดียวกันดวงตาคมก็คอยจับจ้องไปยังคนหน้าลิฟต์เป็นระยะๆ
“พาไปไหนมาวะนานสัด กูนึกว่ามึงจะกินเรียบคนเดียวเสียแล้ว” ทว่าแค่ประโยคแรกก็โดนหมิงตวัดสายตามองอย่างดุๆ
“ถ้าลินมันชอบกูคนเดียวก็คงจะเป็นอย่างนั้นแหละ”
“ไอ้เหี้ยนี่”
“กูพามันเลยไปซื้อของด้วย”
“ไปซื้อถึงดาวอังคารหรือไงวะ ไอ้ชุนกับไอ้ครามเอาแต่ถามหาลินจนกูปวดหัวไปหมด” กระนั้นปราบก็ยังไม่ทุกข์ร้อนอะไรนักกับสายตาของเพื่อนสนิท เพราะรู้นิสัยองหมิงดี
คนที่ดุอย่างกับหมาโดเบอร์แมนแบบไอ้ตี๋นี่น่ะ มาแค่ระดับนี้ยังถือว่าเบๆ เพราะอย่างนั้นจึงพูดถึงไอ้หมาโกเด้นท์สองตัวที่ตอนนี้นั่งแกร่วรออยู่บนห้องต่ออย่างเหนื่อยหน่าย
ยิ่งนึกถึงตอนมันเอาแต่พูดเป็นร้อยรอบว่าทำไมหมิงไม่พาปาลินมาเสียที เขายิ่งแสดงความเซ็งออกมาทางสีหน้า พาลให้คนฟังถอนหายใจ
“มันห่าอะไรกันถึงได้รอไม่เป็น” อันที่จริงเขาพอจะรู้อยู่แหละว่าไอ้สองคนนี้มันติดปาลินเหมือนหมาติดเจ้าของ
ขนาดอยู่ในมหาวิทยาลัยยังล้อมหน้าล้อมหลังจนเขาที่เป็นแค่คนนั่งมองยังรำคาญแทน ไม่รู้ว่าอิแหม่มมันทนไม่เอาเท้ายันหน้าได้อย่างไร
ถ้าเป็นเขา น่ารำคาญแบบนั้นพ่อจะยันให้หน้าหงาย
“มันกลัวมึงชิงรวบลินไปคนเดียวไง”
“คุยอะไรกันอ่ะ” ทว่ายามที่กำลังส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ ปาลินที่คงจะได้ยินชื่อของตัวเองก็หันมามองอย่างจับผิด
แต่ถึงอย่างนั้นทั้งคู่ก็ยังไม่มีใครอธิบายอะไรให้เธอฟัง นอกจากนั้นยังหน้ามึนเดินไปประกบซ้ายขวา
ก่อนจะดันร่างบอบบางในชุดเซ็ตขาสั้นสีฟ้าให้เข้าไปข้างในตอนที่ประตูลิฟต์เปิด ไม่ให้อีกฝ่ายได้มีโอกาสถามซ้ำเลยสักคำ
ไม่ได้หรอก เดี๋ยวไก่ตื่นขึ้นมางานใหญ่ได้พังกันหมด
“ไหนดูซิ ครามกับชุนมันทำให้มึงอยากตายขนาดนั้นเลยเหรอ” เสียงนุ่มเอ่ยขึ้นอย่างขบขันในยามที่ประตูห้องเปิดออก
เผยให้เห็นชายหนุ่มตัวโตสองคนกำลังนั่งเล่นเกมมือถือกันอย่างตั้งใจสุดฤทธิ์อยู่บนโซฟา ตั้งใจเสียจนไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองพวกเขาที่มาใหม่เลยด้วยซ้ำ
และเมื่อมองจากท่าทีหมดอาลัยตายอยากของเจ้าของห้องแล้ว ปาลินก็พอจะเดาออกว่ามันจะน่าปวดหัวแค่ไหนที่ต้องอยู่กับสองหมานี่ตามลำพัง
ครามกับชุนนี้น่ะเรียกได้ว่าเป็นคู่หูตัวจี้ดใครอยู่ด้วยก็ปวดหัวทั้งนั้น จะมีก็แค่เธอนี่แหละที่เจ้าสองคนนี้ล้อมหน้าล้อมหลังเอาอกเอาใจ
“อ้าวลิน มานั่งนี่ดิ” ถามเสร็จชุนผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งหมาใหญ่หมายเลขหนึ่งก็เอ่ยขึ้นทั้งที่มือยังกดมือถือยิกๆ หน้ายังไม่เงยขึ้นมาจากโทรศัพท์เลยด้วยซ้ำ
ปาลินได้ยินอย่างนั้นจึงเดินไปที่โซฟาซึ่งสองคนนั้นนั่งอยู่อย่างว่าง่าย พอไปถึงทั้งชุนและครามต่างก็ขยับออกห่างกันไปนั่งคนละมุมโซฟา เหลือพื้นที่ตรงกลางให้เธอได้หย่อนตัวนั่งลงอย่างพอดิบพอดี
“ไอ้เหี้ยคราม มึงเดินดีๆ ดิวะ”
“ว่าแต่กูมึงดูตัวเองเถอะไอ้ควายชุน ลินมาทีก็เล่นเหี้ยทีนึง” หมาใหญ่เบอร์สองด่ากลับ ขณะที่ใช้หางตามองข้ามหัวเขาไปทิ่มแทงชุนที่นั่งอยู่อีกด้าน
แต่ถามว่าชุนแคร์ไหม
“ไปไหนกันมาวะแหม่ม โคตรนานเลย” นอกจากจะไม่แคร์แล้วก็ยังหันมาถามเธอเสียงออดอ้อน เหมือนกับไม่ได้ยินเสียงก่นด่าของเพื่อนสนิทของตัวเองเลยสักนิด
เล่นเอาหญิงสาวคนเดียวตรงกลางถึงกับขำพรืด เอนหลังพิงพนักโซฟามองทั้งคู่อย่างขบขัน
“ก็เลยไปดูเสื้อผ้ากันนิดนึงแหละ”
“ไอ้ตี๋นะไอ้ตี๋ แทนที่จะไปคนเดียวแล้วให้มึงมาตากแอร์รอสบายๆ อยู่กับพวกกู แม่งจะต้องลากมึงไปด้วย” ชุนบ่นกระปอดกระแปด ไม่ได้เกรงสายตาดุๆ ของหมิงที่นั่งมองหน้านิ่งมาจากโต๊ะอีกด้านเลยสักนิด
“แล้วมึงได้ซื้ออะไรมาไหม” ครามถามทั้งที่ยังไม่ได้ละสายตามาจากโทรศัพท์แต่อย่างใด
ทว่าเมื่อได้ยินคำถามปาลินก็กลับชะงักไป ดวงตาสีสวยเหลือบมองเพื่อนที่เพิ่งจะไปเดินซื้อของด้วยกันมาอยู่ครู่หนึ่ง
ความเงียบที่เกิดขึ้นครู่หนึ่งพาให้คนถามอย่างครางเงยหน้าขึ้นมามองเธออย่างสงสัย เห็นอย่างนั้นปาลินก็ได้แต่ ลังเลในใจว่าจะตอบความจริงดีหรือไม่
ไอ้เรื่องซื้อของส่วนตัวแบบนั้นมันไม่แปลกอะไรหรอก เพราะพวกนี้มันก็ไปเป็นเพื่อนเธอซื้อนั่นซื้อนี่ออกจากบ่อย มันมาแปลกที่หมิงเป็นคนจ่ายเงินซื้อยกทรงให้เธอนี่แหละ
“ก็มีซื้อเสื้อผ้า” แต่ครั้นเธอจะไม่ตอบ ถุงเสื้อผ้าที่ถือขึ้นมาพร้อมกระเป๋าใบอื่นก็วางเด่นหราอยู่บนโต๊ะกระจก เพราะอย่างนั้นหญิงสาวจึงตอบเลี่ยงๆ ไป
“เสื้อใน บอกพวกมันไปสิ” แต่หลังจากที่ตอบไปแล้วเธอก็ไม่คิดว่าหมิงจะพูดเรื่องจริงออกมา
และแม้จะเป็นเพื่อนกันมาเป็นปีแล้ว แต่เมื่อมาพูดเรื่องอย่างนี้กันแบบโต้ง ๆ หญิงสาวก็อดจะหน้าแดงซ่านอย่างอับอายไม่ได้
ถ้าไม่ติดว่าดุอย่างกับหมาบ้าเธอก็อยากจะเดินกางเล็บข่วนหน้ามันให้เลือดซิบนัก ไอ้ตี๋ไอ้เพื่อนชั่ว!!
“...”