อัลรีน่ายิ้มบางๆ ก่อนจะชวนปาลิตาสนทนาต่อ “น้องลิต้าจบจากที่ไหนมาคะ”
“มหาวิทยาลัยมิชิแกนค่ะ เพิ่งกลับมาได้วันสองวัน ตอนแรกลิต้ากะว่าจะอยู่เที่ยวให้ทั่วอเมริกาก่อน แต่ลิต้าคงมีเซนส์รู้ว่าพี่ริคจะแต่งงานก็เลยกลับก่อนกำหนด”
ปาลิตาพูดเป็นต่อยหอย ไม่ได้สังเกตสีหน้าของคู่สนทนาเลยสักนิดว่าเริ่มซีดลงทุกขณะ เมื่อถูกสะกิดให้นึกถึงเรื่องที่ตนเองทำเป็นลืมเลือน
“รีน่า เดี๋ยวค่อยคุยกับลิต้าทีหลังได้ไหมครับ ผมมีธุระสำคัญอยากคุยกับรีน่าก่อน”
เฟรดร์ดิโค้ขัดจังหวะหญิงงาม เมื่อเห็นว่าทั้งสองกำลังเพลิดเพลินกับการสนทนาจนทำให้เขาไม่มีโอกาสได้คุยเรื่องสำคัญที่ยังค้างคาอยู่ในใจ
“ธุระสำคัญมากเลยหรือคะคุณริค” อัลรีน่าเปล่งเสียงถามติดกังวลเล็กน้อย เพราะมัวแต่คุยกับปาลิตาเพลิน เธอเลยลืมเรื่องงานไปเสียสนิท
เฟรดร์ดิโค้ไม่ตอบแต่ปรายตามองน้องสาวเป็นการบอกนัยๆ ว่าต้องการพูดเป็นการส่วนตัวกับหญิงที่รักโดยไม่มีคนอื่นเข้ามาข้องเกี่ยว ปาลิตาหัวเราะแหะๆ รู้ว่าโดนพี่ชายไล่ทางอ้อม แต่กลับทำไม่รู้ไม่ชี้พร้อมกับออดอ้อนเสียงหวานตามแบบฉบับของเธอ
“ขอนั่งอยู่ในนี้ด้วยคนนะคะ รับรองว่าลิต้าจะทำตัวเป็นน้องที่ดีไม่แอบฟังพวกพี่ๆ คุยกัน”
“ลิต้า...” เฟรดร์ดิโค้เรียกเสียงทุ้มลึก ส่งสายตาดุๆ ใส่น้องสาวตัวแสบ
“สัญญาว่าจะปิดปากเงียบ ไม่โต้ ไม่เถียง ไม่ออกความเห็นใดๆ ทั้งสิ้น”
ปาลิตารีบบอกรัวเร็ว เมื่อพี่ชายก้าวเท้ายาวๆ ตรงเข้ามาหา ทำท่าจะจับเธอโยนออกไปจากห้องทำงาน เฟรดร์ดิโค้ถึงกับส่ายหน้าอย่างระอาในความดื้อด้านของน้องสาว ซึ่งดูเหมือนว่าไม่ต่างจากอัลรีน่าสักเท่าไร
“สงสัยเอาช้างมาฉุดลิต้าก็คงไม่ยอมออกจากห้องแน่ๆ” ชายหนุ่มพึมพำอย่างเหลืออด พอน้องสาวพยักหน้างึกๆ เห็นด้วยกับคำพูดก็ส่งเสียงห้ามอีกชุดใหญ่
“ห้ามออกความเห็นเรื่องที่พี่กำลังจะพูดกับรีน่า และห้ามช่วยกันต่อต้านพี่ด้วย”
ปาลิตาอมยิ้มแก้มตุ่ย พยักหน้าหงึกๆ แล้วทำท่าจีบมือรูดซิปปากตัวเอง
เมื่อไม่อาจไล่น้องสาวออกจากห้องได้ตามที่ต้องการ เฟรดร์ดิโค้จึงจำเป็นต้องปล่อยให้ตัวแสบอยู่ฟังเรื่องที่เขาจะคุยกับอัลรีน่าด้วย
“รีน่า ผมอยากให้รีน่าหยุดทำงานที่โรงแรม แล้วไปพักที่บ้านเลมาร์โค้กับผม”
ตอนนี้อัลรีน่าได้ทำงานและพักอยู่ที่โรงแรมเดอะ คิง ออฟ คอรันดัมด้วย โดยทำหน้าที่เป็นประชาสัมพันธ์ คอยให้การต้อนรับกลุ่มลูกค้าที่เป็นชาวตะวันออกกลางโดยเฉพาะ ด้วยความหึงหวงไม่อยากให้หนุ่มๆ คนไหนได้ใกล้ชิดกับหญิงสาวที่ตนเองรักใคร่ เฟรดร์ดิโค้จึงอยากให้หญิงสาวเลิกทำงาน และไปพักอยู่ที่คฤหาสน์ของตนแทน
“บ้านคุณริคงั้นหรือคะ” อัลรีน่าถามเสียงสูง ก่อนจะหัวเราะคิกเมื่อได้ยินเสียงพรายกระซิบอยู่ข้างๆ หู
“คฤหาสน์ของพี่ริคตั้งอยู่ที่ชานเมือง พี่รีน่าเป็นผู้หญิงคนแรกที่พี่ริคจะพาไปพักที่คฤหาสน์ ซึ่งขึ้นชื่อว่าสวยที่สุดในเมืองไทย”
ปาลิตาอดไม่ได้ที่จะกระซิบบอกให้อัลรีน่ารู้ ว่าเธอเป็นหญิงสาวที่โชคดีที่สุดในรอบปี
“ลิต้า ให้พี่คุยกับรีน่าให้จบก่อน”
เฟรดร์ดิโค้ขึงตาใส่พร้อมกับห้ามเสียงดุ พอปาลิตายิ้มแห้งๆ ใส่ ยกมือปิดปาก จึงได้หันไปพูดกับหญิงที่รักต่อ
ปาลิตาหัวเราะคิกขณะนั่งฟังพี่ชายกล่อมว่าที่พี่สะใภ้ให้ไปอยู่ที่คฤหาสน์เลมาร์โค้ หญิงสาวพนันได้เลยว่ายังไงๆ อัลรีน่าก็ไม่มีทางยอมไปอย่างแน่นอน และก็เป็นดั่งที่เธอคิดไว้ทุกอย่าง พอการเจรจาสิ้นสุดลงผู้ที่ชนะก็คือว่าที่พี่สะใภ้ของเธอ
และเมื่อถูกพี่ชายห้ามไม่ให้พูดไม่ให้ออกความคิดเห็น หญิงสาวจึงใช้วิธียกนิ้วโป้งซูฮกให้กับความเก่งกาจของว่าที่พี่สะใภ้ ที่สามารถเอาชนะท่านประธานแห่งเดอะ คิง ออฟ คอรันดัมได้ในทุกยก
ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิคลาคล่ำไปด้วยผู้คน ทั้งที่เป็นชาวไทยและชาวต่างชาติที่ได้ใช้แผ่นดินทองอันกว้างใหญ่ไพศาลเป็นประตูแห่งการเดินทางไปสู่อีกประเทศหนึ่ง เช่นเดียวกันกับเจ้าชายอีสดรีสส์ที่ได้เดินทางมาเยือนเมืองไทย เพื่อเจรจาธุรกิจกับรัฐบาลไทย
การมาทำธุรกิจที่ประเทศไทยเป็นแค่เพียงเป้าหมายรอง เพราะเป้าหมายหลักที่เจ้าชายอีสดรีสส์ ต้องการคือการมารับตัวคู่หมั้นสาวกลับประเทศดาลิยา
บุรุษชาติอาหรับรูปร่างสูงใหญ่ใบหน้าคมเข้มทั้งสี่คน ซึ่งกำลังเดินออกมาจากฝั่งผู้โดยสารขาเข้า เป็นที่สนใจแก่ผู้คนที่อยู่ในบริเวณนั้นอย่างมาก โดยเฉพาะสาวๆ ต่างก็หยุดยืนมองบุรุษชาติอาหรับในชุดสูทสีดำสนิทที่เดินนำหน้าคนอื่น ช่างดูหล่อเหลาเปล่งรัศมีความเป็นเจ้าแผ่นดิน จนสาวๆ หัวใจแทบละลาย อยากจะถลาเข้าไปซบอกกว้างแข็งแกร่งยิ่งนัก
“เรียกรถไว้แล้วใช่ไหม อามิล”
เจ้าชายอีสดรีสส์เลือกที่จะตรัสถามเป็นภาษาอาหรับ แทนการใช้ภาษาอังกฤษและภาษาไทยที่น้อยคนนักจะรู้ว่าเจ้าชายจากดินแดนทะเลทรายอย่างพระองค์จะสามารถตรัสได้
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท กระหม่อมเรียกไว้สองคันพ่ะย่ะค่ะ”
อามิลรับคำพร้อมกับรายงานให้เจ้าเหนือหัวทรงทราบ การเดินทางมาเมืองไทยในครั้งนี้ เจ้าชายอีสดรีสส์ทรงทำพระองค์ไม่ต่างจากผู้โดยสารคนอื่นๆ เจ้าชายหนุ่มไม่ได้เข้าช่องตรวจหนังสือเดินทางที่เป็นช่องสำหรับผู้โดยสารวีไอพี ไม่ว่าเจ้าหน้าที่จะซักถามอะไร พระองค์ก็ตรัสตอบตามปกติด้วยพระสุรเสียงราบเรียบ ไม่มีการเบ่งอำนาจให้เห็น ทั้งๆ ที่มีอำนาจล้นมือ ผิดกับกลุ่มคนบางคน ซึ่งมีอำนาจแค่หยิบมือเดียว แต่กลับเบ่งอำนาจใส่ผู้ที่ด้อยกว่าไม่มีหยุดหย่อน
“ไปโรงแรมเดอะ คิง ออฟ คอรันดัม”
อามิลบอกคนขับรถเป็นภาษาไทย เมื่อเจ้าชายอีสดรีสส์และตัวเขาเองได้ก้าวขึ้นมานั่งในรถเบนซ์ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ได้ครับ”
คนขับรถซึ่งแต่งตัวสะอาดสะอ้านด้วยชุดสูทของพนักงานขับรถประจำสนามบินได้รับคำอย่างสุภาพ พร้อมกับออกรถอย่างนุ่มนวล มุ่งหน้าไปยังโรงแรมเกินห้าดาวที่มีหนึ่งเดียวในเมืองไทย ซึ่งได้รับความไว้วางใจจากบรรดามหาเศรษฐีทั่วโลกและเจ้าชายเกือบทุกประเทศเลือกที่จะประทับในโรงแรมแห่งนี้
“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทจะตามหาคุณอัลรีน่าก่อน หรือว่าจะเข้าไปพบกับรัฐบาลไทยเพื่อเจรจาเรื่องธุรกิจก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
อามิลถามเจ้าเหนือหัวที่กำลังให้ความสนพระทัยหันไปทอดพระเนตรมองนอกตัวรถ เพื่อชมทัศนียภาพของกรุงเทพฯ ในยามตะวันสาดส่อง ซึ่งดูสวยงามไม่แพ้ในยามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยแสงไฟจากหลอดนีออน
“ไม่ได้มาเมืองไทยเสียนาน กรุงเทพฯ ในวันนี้ดูแปลกตาไปจากเดิมมาก”
แทนที่จะตรัสตอบคำถามขององครักษ์อามิลซึ่งนั่งคู่กันที่เบาะหลัง เจ้าชายอีสดรีสส์กลับตรัสไปอีกเรื่อง ทำเอาอามิลต้องลอบตีหน้าเมื่อย เมื่อตามอารมณ์ของเจ้าเหนือหัวไม่ทัน
“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ กรุณาให้ความกระจ่างกระหม่อมสักนิดเถอะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะได้นัดกับรัฐบาลไทยและผู้รวมหุ้นรายอื่นด้วย”
อามิลขอร้องทั้งน้ำเสียงและสีหน้า การมาเจรจาธุรกิจในครั้งนี้ ผู้ที่มีอำนาจต่อรองมากที่สุดคือเจ้าชายอีสดรีสส์ ซึ่งนำเม็ดเงินจำนวนมหาศาลมาลงทุนที่ประเทศไทย จนรัฐบาลไทยไม่อาจปฏิเสธได้ ซึ่งการเจรจาเซ็นสัญญาทำธุรกิจจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากเจ้าชายอีสดรีสส์ไม่แจ้งวันเวลาให้ทางรัฐบาลและผู้รวมหุ้นรายอื่นได้เข้าเฝ้า
เจ้าชายอีสดรีสส์ทรงหันมาทอดพระเนตรมององครักษ์เอก ก่อนจะสัพยอกกลั้วพระสรวล
“นอกจากจะทำหน้าที่องครักษ์ได้เข้มแข็งแล้ว ยังทำหน้าที่เลขาฯ ได้ไม่มีขาดตกบกพร่องเลยนะเจ้าอามิล”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท แต่ถ้าให้ดี กระหม่อมอยากได้คำตอบตามที่กระหม่อมต้องการมากกว่าคำชมพ่ะย่ะค่ะ”
แม้จะรู้ดีว่าเจ้าชายอีสดรีสส์สัพยอกแกมประชดประชัน แต่อามิลก็โค้งศีรษะรับคำชมพร้อมกับเอ่ยย้ำขอคำตอบที่ตนเองยังรอคอยอยู่