“คุณหมอจะพาที่รักไปไหนคะ”
ที่รักถามกฤษฎิ์เมื่อทั้งคู่ขึ้นมานั่งบนรถคันหรูเรียบร้อยแล้ว
“กินข้าวไงสาวน้อย นี่มันเย็นแล้วนะเธอไม่หิวหรือไง”
กฤษฎิ์เลิกคิ้วถามที่รักในขณะที่มือข้างหนึ่งก็เล่นผมสั้นทรงเด็กนักเรียนของที่รักไปพลาง ๆ
เพลินดีจัง ผมนิ่มชะมัดเลย หอมด้วย
“ช่วงนี้ที่รักไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ค่ะ บางวันข้าวเย็นก็ไม่ได้ตกถึงท้องด้วยซ้ำมัวแต่ทำงานพาร์ตไทม์”
ที่รักบอกกฤษฎิ์ด้วยรอยยิ้มจริงใจ ส่วนกฤษฎิ์อมยิ้มน้อย ๆ อย่างเอ็นดูกับท่าทางไร้เดียงสาของที่รัก
“แต่หนึ่งอาทิตย์ที่เธออยู่กับฉัน เธอต้องทานให้ครบทุกมื้อนะจะได้มีแรงไว้ใช้กับฉันเยอะ ๆ เพราะฉันมันคนความต้องการสูง หึหึ”
กระซิบข้างหูแผ่วเบาชวนให้ดวงหน้าเนียนใสนั้นเห่อแดงไปทั้งหน้า
“คุณหมอทะลึ่งจังเลยค่ะ”
ก่อนที่จะได้สติแล้วเอ็ดชายหนุ่มออกมา กฤษฎิ์หัวเราะให้กับคำพูดน่ารักของที่รัก
เออ อยู่กับเด็กนี่ทีไรอารมณ์ดีทุกทีเลยแต่ละคำพูดที่พูดออกมาช่างน่ารักน่าเอ็นดูเสียจริง
“เขาว่าผู้ชายทะลึ่งจริงใจนะ ไม่รู้เหรอพวกที่พูดจาดี ๆ บางทีอาจจะแอบร้ายก็ได้อย่าไว้ใจพวกที่มันพูดจาหวานหูมากล่ะ อันนี้ฉันสอนไว้ในฐานะที่ฉันเป็นผู้ชายด้วยกัน”
กฤษฎิ์บอกที่รักเสียงนุ่มแอบสอนคนข้าง ๆ ที่แสนไร้เดียงสาไปด้วย
“จริงเหรอคะ ที่รักไม่เคยเห็นรู้มาก่อนเลยว่าคนทะลึ่งเป็นคนจริงใจเพื่อนที่รักบอกว่าคนทะลึ่งลามกอะเป็นพวกไม่จริงใจค่ะคุณครูก็บอก”
ที่รักแย้งกฤษฎิ์เสียงหวานตากลมโตสบกับตาคมกริบอย่างต้องการค้นหาคำตอบว่าสิ่งที่กฤษฎิ์พูดเป็นความจริงไหม
“คนอื่นน่ะฉันไม่รู้ แต่กับฉันน่ะใช่เลย จริงใจร้อยเปอร์เซ็นต์”
ยักคิ้วให้ที่รักหนึ่งทีก่อนที่จะตีหน้าตายทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
“คุณหมอขี้โม้”
ว่ากฤษฎิ์เข้าให้ก่อนที่จะนั่งเงียบไร้ซึ่งบทสนทนาของคนทั้งคู่ซึ่งกฤษฎิ์ก็ไม่พูดต่อแต่มือกลับยุ่มย่ามจับนั่นลูบนี่ตัวที่รักไปทั่ว ซึ่งที่รักก็ต้องคอยจับมือห้ามตลอด จนสุดท้ายก็อ่อนใจยอมให้กฤษฎิ์จับอย่างที่ต้องการ ‘คนแก่ขี้ดื้อ’ เธอด่ากฤษฎิ์ในใจเงียบ ๆ
ร้านอาหารเติมรัก
เมื่อมาถึงร้านอาหารขึ้นชื่อของเมืองเชียงใหม่กฤษฎิ์ก็พาที่รักมานั่งในที่ ๆ ค่อนข้างลับตาคน เพราะเขาชอบความเป็นส่วนตัวมากกว่าเปิดเผยตัวในที่สาธารณชน
“อืม มาถึงเชียงใหม่ทั้งทีต้องให้เจ้าถิ่นสั่งอาหารแล้วล่ะฉันไม่เคยทานอาหารเหนือซะด้วยอะไรอร่อยเธอสั่งมาให้กินหน่อยสิ”
กฤษฎิ์ยื่นเมนูอาหารให้ที่รักเพื่อให้เธอสั่งอาหารเพราะกฤษฎิ์ไม่รู้ว่าอะไรอร่อยหรือไม่อร่อย
“คุณหมอแพ้อาหารไหมคะ”
ที่รักรับเมนูอาหารมาเปิดดูก่อนจะถามกฤษฎิ์อย่างใส่ใจ
“ไม่นะกินได้ทุกอย่างรวมถึงเธอด้วย”
ส่ายหน้าก่อนจะบอกที่รักอย่างทะลึ่งแกล้งแหย่ให้ที่รักเขินจนแก้มแดงไปหมด
“คุณหมอ ที่รักถามถึงอาหารนะคะไม่ใช่อย่างอื่น”
หน้าง้ำใส่กฤษฎิ์ก่อนจะให้ค้อนวงใหญ่ไปอีกหนึ่งที กฤษฎิ์มองท่าทางนั้นแล้วยิ้มตามอย่างอารมณ์ดี
“ก็ใช่ไงฉันหมายถึงอาหารไง ไม่แพ้หรอกกินได้ทุกอย่าง”
บอกที่รักก่อนที่ที่รักจะไล่ดูเมนูอาหารแล้วสั่งอาหารทันที
“สั่งอาหารค่ะพี่...แกงฮังเล แกงขนุนกระดูกหมูอ่อน ฉู่ฉี่ปลาเนื้ออ่อน แกงคั่วเห็ดถอบกุ้งสด แล้วก็น้ำพริกหนุ่มค่ะ ส่วนน้ำ...”
หันไปมองหน้ากฤษฎิ์อย่างต้องการถามความคิดเห็นแต่กฤษฎิ์กลับบุ้ยปากไปที่เมนูเป็นเชิงบอกที่รักให้สั่งได้เลย
“เอาน้ำอัญชัน กับน้ำกระเจี๊ยบค่ะ”
สั่งพนักงานเสร็จก็ยื่นเมนูคืนพนักงาน รอไม่เกินสิบห้านาทีอาหารก็ทยอยมาเสิร์ฟจนเต็มโต๊ะ
“มาเหนือคุณหมอต้องชิมแกงฮังเลนะคะ รสชาติอร่อย หวานมันกะทิขึ้นชื่อของภาคเหนือ”
บอกกฤษฎิ์ก่อนที่จะตักอาหารไปใส่จานให้ชายหนุ่มลองชิม ก่อนจะได้รับคำตอบเป็นการพยักหน้าให้กับรสชาติที่ถูกปาก
“อร่อยไหมคะ”
ถามกฤษฎิ์ด้วยรอยยิ้ม
“อร่อยดี แต่เลี่ยนไปหน่อยถ้ากินเยอะ”
บอกที่รักก่อนจะตักแกงคั่วเห็ดถอบกุ้งสดขึ้นมาชิม ซึ่งเหมือนจะถูกปาก กฤษฎิ์ไม่น้อยก่อนที่ทั้งคู่จะลงมือทานสลับกับตักอาหารให้กันเรื่อย ๆ สำหรับที่รักเป็นมื้ออาหารที่อร่อยทีเดียวกับคนแปลกหน้าที่บังเอิญได้เข้ามาในชีวิตเธอ บางทีสิ่งที่เธอทำอยู่มันก็ไม่ได้แย่เสมอไป เพราะคนแบบกฤษฎิ์ก็ไม่ได้เลวร้ายเหมือนพวกเสี่ยตัณหากลับที่เธอเคยเห็นตามละครสักนิดเลย
เมื่อทานมื้อเย็นเสร็จแล้วกฤษฎิ์ก็พาที่รักมาเดินห้างหรูชั้นนำของจังหวัดเชียงใหม่เพื่อย่อยอาหารพร้อมเดินดูร้านรวงต่าง ๆ ไปด้วยก่อนที่จะพาที่รักแวะช็อปแบรนด์ดัง พนักงานในร้านเห็นหน้ากฤษฎิ์ก็รีบออกมาให้การต้อนรับอย่างดีเพราะใคร ๆ ต่างก็รู้ว่ากฤษฎิ์คือหนึ่งในหุ้นส่วนของห้างแห่งนี้
“พาที่รักมาที่นี่ทำไมคะ”
หันไปถามกฤษฎิ์อย่าง งง ๆ เมื่อกฤษฎิ์พาเดินเข้ามาในร้านกระเป๋าและรองเท้ายี่ห้อดังที่เธอเห็นคนรวยเขาใส่กันบ่อย ๆ ในทีวี
“เธอใส่รองเท้าไซซ์อะไร”
กฤษฎิ์ไม่ตอบแต่หันมาถามที่รักแทนพลางมองรองเท้าหลากสีสันอย่างพิจารณา
“ที่รักใส่ไซซ์ 36 ค่ะ”
ที่รักก็ตอบคำถามกฤษฎิ์อย่างไม่เข้าใจว่าถามไซซ์รองเท้าเธอทำไม
“เอา นี่ นี่ นี่ และก็นี่ นี่ด้วย อืม สีนี้ก็สวยดี เอาด้วยแล้วกัน”
เมื่อรู้ไซซ์รองเท้าของที่รักกฤษฎิ์ก็ชี้ไปที่แบรนด์ Dior ประมาณเกือบ สิบคู่ ที่รักจับมือกฤษฎิ์ที่กำลังชี้สั่งเอาไว้ทันที
“ซื้อไปทำไมเยอะจังเลยคะ มันแพงนะคะคุณหมอ”
ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่ากฤษฎิ์ซื้อไปให้ใครแต่ที่รักก็ห้ามไว้อย่างเสียดายเงินเพราะแต่ละคู่ราคาเกือบสามหมื่นบาทซึ่งมันแพงมากสำหรับเธอ
“ไม่เป็นไรฉันรวย เงินแค่นี้ฉันหาหนึ่งชั่วโมงยังได้มากกว่านี้เลย”
หันมายิ้มกระชากใจให้ที่รักก่อนจะยื่นบัตรเครดิต Black Card ให้กับพนักงานแล้วให้จัดส่งไปตามที่อยู่ที่กฤษฎิ์พักอยู่
“มานี่มา”
กฤษฎิ์จับมือที่รักจูงมาที่ช็อปกระเป๋าก่อนที่จะหยิบกระเป๋ามากมายมาทาบที่ตัวที่รักและยื่นให้พนักงานสาวที่มองกฤษฎิ์ตาละห้อยถือไว้ รวม ๆ แล้วก็เกือบสิบใบ
“ชุดนี้สวยดี ลองอันนี้ด้วย นี่ด้วย อันนี้ก็สวยนะเหมาะกับเธอดี”
จากนั้นก็พาที่รักแวะมาซื้อชุดเพิ่มซึ่งอันนี้หนักสุด กฤษฎิ์รวบตึงชุดราคาแพงสำหรับวัยรุ่นใส่กว่ายี่สิบชุดมาให้ที่รักลองบางส่วน ก่อนที่จะตกลงซื้อทั้งหมดซึ่งที่รักคอยห้ามเท่าไหร่ก็ไม่ฟัง
“ขอบคุณมากนะคะที่วันนี้คุณกฤษฎิ์มาอุดหนุนทางร้าน”
ผู้จัดการร้านกระเป๋าชื่อดังยิ้มให้กฤษฎิ์เอ่ยขอบคุณที่กฤษฎิ์แวะมาช็อปที่ร้านของเธอพร้อมกับสาวน้อยหน้าตาน่ารักที่คอยยืนอยู่ข้างกฤษฎิ์ตลอดเวลาที่ชายหนุ่มเลือกกระเป๋าและรองเท้า
“ปะ เสร็จแล้วกลับกันดีกว่า”
ยิ้มให้ที่รักก่อนที่จะจูงมือกันออกจากร้านสุดท้ายที่กฤษฎิ์เข้ามา ช็อป
“คุณหมอซื้อไปทำไมเยอะจังเลยคะ”
ที่รักถามทันทีที่เดินออกมาพ้นร้านแล้ว กฤษฎิ์หยุดเท้าที่กำลังเดินอยู่แล้วหันมาบอกที่รัก
“ซื้อให้เธอไง ทำไม ไม่อยากได้เหรอ ฉันเห็นผู้หญิงที่ไปกับฉันมีแต่อยากให้ฉันเปย์ทั้งนั้นบางคนหนักกว่านี้ก็มี กระเป๋าใบละสิบล้านฉันยังเคยซื้อให้ผู้หญิงพวกนั้นเลย”
กฤษฎิ์บอกที่รักเสียงนุ่มแต่ที่รักส่ายหน้าพรืดทันที
“แต่ที่รักไม่อยากได้นี่คะ มันแพง ดูจากใบเสร็จแล้วทั้งหมดนั่นเกือบ สองล้านเลยนะคะ”
ที่รักท้วงหน้างอ เงินสองล้านมันเยอะมากเลยสำหรับเธอเยอะกว่าค่าจ้างที่เธอขอเขาไปอีก
“ถือว่าเป็นของสัมมนาคุณจากฉันแล้วกันนะห้ามปฏิเสธ”
พอที่รักกำลังจะอ้าปากท้วงอีกกฤษฎิ์ก็ดักคออย่างรู้ทัน จนหุบปากฉับอย่างไว
“เอ๊ะ พวกแกนั่นนังที่รักนี่ มากับใครน่ะ หล่อเชียว”
มิ้นท์ที่มากับเพื่อนอีกสองคนชี้ให้เพื่อนดูที่รักที่กำลังเดินจูงมือกับผู้ชายหน้าหล่อคนหนึ่งที่ใส่ชุดสูทดูภูมิฐานและดูดีมากทีเดียว
“เหมือนพวกคนรวยที่ชอบเลี้ยงอีหนูเลย เอ๊ะ หรือว่าจะใช่อะ เข้าไปทักดีกว่า หึ”
เกรซ ที่ไม่ถูกกับที่รักรีบลากเพื่อน ๆ เดินไปหาที่รักทันที
“ไงจ๊ะที่รัก มากับใครเหรอ”
แหวนเพื่อนอีกคนเป็นคนทักขึ้นนั่นเองเมื่อเดินมาถึงจุดที่ที่รักกับกฤษฎิ์กำลังยืนอยู่ ซึ่งเมื่อที่รักเห็นทั้งสามคนหน้าสวยก็ซีดเผือดลงทันที จนกฤษฎิ์ที่คอยสังเกตอยู่จับสังเกตได้
“จะไม่แนะนำให้เรารู้จักหน่อยเหรอ”
มิ้นท์ถามเสียงเย้ยหยันอย่างดูถูกทำให้กฤษฎิ์รู้สึกหัวร้อนขึ้นมานิด ๆ ทันทีเด็กสมัยนี้ปากดีขนาดนี้เลยเหรอ
“เอ่อ พอดีที่รักแวะมาซื้อของน่ะ”
ที่รักตอบอย่างขอไปทีเพราะเธอไม่อยากมีเรื่องกับกลุ่มเพื่อนพวกนี้พวกเธอเป็นกลุ่มคุณหนูไฮโซในโรงเรียนของเธอ ส่วนเธอแค่เด็กทุนที่บังเอิญเรียนเก่งและได้เรียนที่เดียวกันแค่นั้น
“แล้วนี่ใครอะ จะไม่แนะนำให้เรากับเกรซแล้วก็มิ้นท์รู้จักหน่อยเหรอ”
แหวนถามซ้ำอีกครั้งพลางกวาดตามองกฤษฎิ์ที่ใส่ชุดสูทแบรนด์เนมไปทั้งตัว ท่าจะรวยใช่เล่นเลยนะ
“หรือว่าจะเป็นคนเลี้ยงดูเธอจ้ะที่รัก คิก คิก คิก”
มิ้นท์เป็นเจ้าของประโยคสุดแสนดูถูกนั่นเองทำให้ที่รักมือสั่นจนกฤษฎิ์รู้สึกได้เพราะกำลังกุมมือน้อยของที่รักอยู่
“นี่นังหนู หน้าฉันแก่เหมือนพวกเสี่ยเลี้ยงเด็กขนาดนั้นเชียว ฉันเพิ่ง 29 เองนะ”
กฤษฎิ์ถามสามสาวออกไปด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ 29 นี่แก่ตรงไหน เขาเรียกกำลังหนุ่มกรุบ ๆ ได้ที่เลยต่างหากล่ะ
“ก็ไม่แก่หรอกค่ะพี่ แต่แก่กว่าพวกหนูตั้ง 11 ปี คิก คิก อืม ไม่ทราบว่าพี่เป็นอะไรกับที่รักเหรอคะ พี่ชาย คนรู้จัก หรือ...”
เกรซถามกฤษฎิ์ก่อนจะจงใจเว้นประโยคไว้อย่างต้องการกวนโมโหคนฟัง
“เป็นอะไรกันแล้วมันหนักส่วนไหนของพวกเธอ เอาเวลาที่พวกเธอมีไปตั้งใจสอบเข้ามหาลัยดี ๆ ก่อนไหมอีหนู ค่อยชวนกันมาแซะหรือบูลลี่เพื่อนเนี่ย นมเพิ่งตั้งเต้าอย่าเพิ่งมั่นให้มันมาก หึ”
กฤษฎิ์สวนทั้งสามคนออกไปด้วยความโมโห เด็กบ้ากวนตีนฉิบหาย
เฮ้อ นี่มันยุคสมัยไหนแล้วมันยังมีอยู่อีกเหรอวะพวกบูลลี่เพื่อนเนี่ย
“อ้าว คุณพี่ ทำไมปากดีแบบนี้ล่ะคะ”
แหวนถามขึ้นทันทีที่กฤษฎิ์พูดจบ ที่รักแอบยิ้มขำน้อย ๆ ที่สามสาว เจอกฤษฎิ์ที่อายุมากกว่าและเป็นมวยมากกว่า
“หึ ฉันไม่ดีแต่ปากแบบพวกเธอนะ ที่พอไม่ได้ดั่งใจก็วิ่งสี่ขา โอ๊ะ สองขากลับไปฟ้องพ่อแม่แบบนั้นเขาเรียกลูกแหง่”
ยักไหล่ให้สามสาวก่อนที่ตั้งท่าจะจูงมือที่รักออกมาจากตรงนั้นทันที
“หลงเสน่ห์มันเหรอคะปกป้องมันจัง”
มิ้นท์อดแขวะไม่ได้ที่เห็นกฤษฎิ์ออกตัวแทนที่รักขนาดนี้
“ทำไม ปกป้องแฟนมันผิดตรงไหน ผู้ชายที่ไหนเขายอมให้ผู้หญิงคนอื่นมายืนด่าแฟนตัวเองกันล่ะ”
หลุดปากออกไปด้วยความโมโหก่อนที่จะชะงักไปนิดหนึ่งแล้วจึงจับมือที่รักเดินออกมาจากตรงนั้นทันทีทิ้งให้สามสาวอ้าปากค้างด้วยความตกใจกับคำตอบที่ได้ยิน
เมื่อกลับมาถึงโรงแรมที่รักก็ขอโทษกฤษฎิ์ทันทีกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“ที่รักขอโทษนะคะคุณหมอ ไม่คิดว่าจะเจอเพื่อนที่โรงเรียน”
ขอโทษเสียงอ่อย ๆ อย่างรู้สึกผิดในขณะที่กฤษฎิ์ขมวดคิ้วมุ่นทันทีที่ได้ยินที่รักบอกว่าเพื่อน
“เขาว่าเธอขนาดนั้นเธอยังนับเป็นเพื่อนอยู่เหรอ ต้องโตมาในครอบครัวแบบไหนกันนะถึงแข็งกร้าว กระด้างเหมือนไม่เคยถูกสั่งสอนแบบนี้”
กฤษฎิ์ส่ายหน้าช้า ๆ เมื่อคิดไปถึงกิริยามารยาทของสามสาวที่มายืนว่าเพื่อนกลางห้างแบบนั้น
“พวกเขาก็เป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้วค่ะไม่ค่อยมีใครกล้าไปยุ่งกับพวกนั้นเท่าไหร่หรอกค่ะพ่อแม่เขารวย”
ที่รักพูดเสียงนิ่งก่อนจะยิ้มน้อย ๆ เมื่อคิดถึงเวลาที่สามสาวมาหาเรื่องเธอ
“แล้วโดนแบบนี้บ่อยไหมเวลาไปโรงเรียน”
กฤษฎิ์ถามขึ้นก่อนที่ที่รักจะพยักหน้ารับ
“ก็ไม่เชิงทุกวันค่ะ เลี่ยงได้ก็เลี่ยงที่รักไม่อยากมีปัญหากับพวกเขาอยากอยู่อย่างสงบ ๆ เรียนให้จบก็พอค่ะ”
ตอบออกไปทันทีก่อนจะชะงักเมื่อนึกได้ว่าเธอโกหกกฤษฎิ์ไปว่าเธออายุ 21 หญิงสาวยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจที่หลุดพูดออกไป
งื้อ ที่รักแกโป๊ะอะ
“หึ คิดว่าฉันไม่รู้เหรอว่าเธออายุ 18 เด็กน้อย ฉันไม่ได้โง่ขนาดนั้นหรอก”
กฤษฎิ์ยิ้มขำทันทีที่เห็นท่าทีตกใจแบบเลิ่กลั่กของที่รัก
“ที่รักขอโทษคุณหมอจริง ๆ นะคะ ที่รักไม่ได้ตั้งใจจะโกหกแต่มีเหตุจำเป็นที่ต้องทำแบบนั้น”
ยกมือไหว้ขอโทษกฤษฎิ์อย่างนอบน้อม ชายหนุ่มเอื้อมมาจับมือนุ่มนิ่มนั้นไว้
“งั้นไปไถ่โทษกันดีกว่า”
ไม่พูดเปล่ายังช้อนอุ้มที่รักขึ้นแนบอกทันทีก่อนที่จะพาเดินไปยังห้องน้ำ เริ่มบทรักที่กฤษฎิ์ซัดสาดใส่ที่รักด้วยความเร่าร้อนพร้อมกับประโยคที่เน้นย้ำเสมอว่า นี่คือบทลงโทษของคนโกหก