หนึ่งปีต่อมา
หลังจากจบประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) จากวิทยาลัยเดิม ทิชาก็ไปสอบติดคณะบริหารธุรกิจ สาขาวิชาอังกฤษธุรกิจที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานครฯ และปีนี้เธอก็จะขึ้นชั้นปีที่สี่ จะเรียนจบได้ทำงานในไม่ช้า
แต่จะว่าไปทิชาก็ทำงานพิเศษอยู่ตลอดเพราะอยากแบ่งเบาภาระของลาวรรณ ผู้เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวมาตั้งแต่เธอยังจำความไม่ได้เพราะเลิกรากับพ่อที่หนีหายไปไม่กลับมาดูดำดูดีอีกเลย แม่มีอาชีพเป็นพยาบาล แน่นอนว่างานหนักและเงินเดือนก็แค่พอใช้จ่าย แม่ต้องรับจ้างขึ้นเวรแทนเพื่อนร่วมงานเพื่อหาเงินให้ได้มากขึ้น
จนกระทั่งปิดเทอม ทิชาเองก็ยังไม่ได้กลับบ้านเพราะมีเวลาทำงานพิเศษมากขึ้น นั่นหมายถึงเธอจะมีเงินเก็บเพิ่มขึ้น แม่จะเหนื่อยน้อยลง วันนี้ก็เป็นอีกวันที่เธอได้แต่งตัวสวยมาออกงานอีเวนต์เพื่อทำหน้าที่แจกใบปลิวให้กับบริษัทรถยนต์แห่งหนึ่งเพื่อแลกกับเงินวันละสองพันบาทและอาหารสองมื้อ มันคุ้มแสนคุ้มเลยทีเดียว แม้ว่าจะต้องยืนขาแข็งทั้งวันแต่เธอก็อดทนได้
ขณะที่ถึงเวลาพักเบรกสิบนาทีสลับกับเพื่อนที่มารับจ็อบด้วย เธอจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูก็พบว่ามีสายไม่ได้รับจากแม่ จึงรีบโทรกลับทันที ดังอยู่ไม่นานแม่ก็กดรับสาย
“ว่าไงลูก ยุ่งงานอยู่หรือเปล่า”
“วันนี้มาออกงานโชว์รถน่ะแม่ ตอนนี้พักสิบนาทีค่ะ แต่ถ้าตอนทำงานอยู่เขาไม่ให้รับสาย”
“อ๋อ ถ้ายุ่งอยู่ไว้ค่อยคุยกันก็ได้”
“คุยได้ แม่เป็นไร มีอะไรหรือเปล่า”
“เอ่อ... คือ...” ปลายสายอึกอักเหมือนไม่กล้าพูด แต่สุดท้ายก็ต้องพูดมันออกมา
“ทิชาจะว่าแม่ไหมถ้าจะบอกว่าแม่กำลังคบหาดูใจกับผู้ชายคนหนึ่งมาสักพักแล้ว” คำบอกเล่านั้นทำให้ผู้เป็นลูกสาวเงียบไปเลย จนแม่ต้องส่งเสียงเรียก
“ทิชา ถ้าหนูไม่โอเคแม่ก็จะไม่คุยแล้ว”
“ไม่ ๆๆ หนูไม่ได้ไม่โอเคค่ะ แค่ตกใจนิดหน่อยเพราะตลอดมาไม่เคยเห็นแม่คุยกับผู้ชายคนไหนเลย แล้วชายผู้โชคดีคนนี้เป็นใครเอ่ย มีอะไรดีถึงสอยหัวใจคุณลาวรรณได้”
“สอยเสยอะไรล่ะลูก แก่ปูนนี้แล้ว” เสียงที่ตอบกลับมาคราวนี้ฟังดูรีแลกซ์กว่าเดิมมากทีเดียว
“เขาชื่อคุณมานิต เป็นเจ้าของร้านอาหารและก็พวกผับบาร์กลางคืนอะไรทำนองนี้แหละ เป็นคนที่อื่นแต่มาตั้งหลักปักฐานที่นี่ บังเอิญเจอกันตอนที่เขาปวดท้องเป็นไส้ติ่งอักเสบที่โรงพยาบาลตอนแม่ขึ้นเวรพอดี ซึ่งปกติแล้วเขาจะเข้าแต่เอกชน แต่บังเอิญวันนั้นมันปวดมาก คนขับรถเลยพามาโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดก่อนนั่นก็คือโรงพยาบาลอำเภอที่แม่ทำงานอยู่นั่นแหละ เขาบอกว่าแม่ดูแลเขาดีก็เลยขอคอนแท็กเอาไว้เพื่อจะส่งของมาขอบคุณอะไรทำนองนี้ แม่ก็ให้ไปโดยไม่คิดอะไร ไม่คิดว่าเขาจะชอบและจริงจังด้วย”
“เหรอคะ แล้วเขาอายุเท่าไหร่ ไม่มีครอบครัวเหรอ”
“อายุมากกว่าแม่สองปี เป็นหม้ายเหมือนแม่นี่แหละ เมียตายหลายปีแล้ว มีลูกติดคนนึงเป็นลูกชายอายุน้อยกว่าหนูน่าจะสามสี่ปีแหละ ปีนี้จะขึ้นปีหนึ่ง”
“ถ้าถามตัวหนูหนูโอเคนะแม่ เข้าใจแม่ทุกอย่าง เพราะเราก็มีกันแค่สองคนมาตลอด พอหนูมาเรียนแม่ก็คงจะเหงา ถ้าแม่ได้เจอคนดี ๆ หนูก็ดีใจ จะได้มีเพื่อนดูแลกันไป ว่าแต่ลูกชายเขาเถอะโอเคหรือเปล่า”
“โอเคมากเลย น้องน่ารักมากจริง ๆ ตัวโตแต่นิสัยดีขี้อ้อนอย่างกับลูกแมว น้องชื่อ... ”
“ทิชา พี่ซินดี้เรียก !” พลันนั้นก็มีเสียงเรียกขึ้นจากเพื่อนร่วมงานที่เดินมาตามเธอ ทิชาจึงต้องหยุดคุยกะทันหัน
“แม่คะ เดี๋ยวหนูต้องไปทำงานต่อแล้วนะ”
“ได้ ๆ แม่แค่จะบอกว่าลุงมานิตเขาชวนแม่ไปอยู่ที่บ้านด้วยและอยากให้แม่ลาออกจากงาน เขาบอกจะดูแลเอง จะให้เงินมาก้อนนึงเพื่อเป็นหลักประกันว่าเขาจริงจังกับเรา เขาบอกอยากจัดงานแต่งงานแต่แม่คิดว่าไม่จำเป็นหรอก แค่อยู่ดูแลกันไปก็พอ” แม่รีบพูดประเด็นสำคัญขึ้นทันที ทิชาพยักหน้าน้อย ๆ อย่างเข้าใจ
“โอเคค่ะ หนูเข้าใจแม่ทุกอย่างเลย ถ้าแม่เลือกแล้วแปลว่าผู้ชายคนนั้นต้องดีจริง ๆ หนูไม่ขัดข้อง”
“ขอบคุณมากจริง ๆ นะลูก ลุงเขาอยากชวนหนูมาเจอกันมาทานข้าว มาทำความรู้จักน่ะ เมื่อไหร่จะว่างล่ะลูก”
“เดี๋ยวหนูบอกไปในไลน์นะคะ หนูต้องไปก่อนค่ะเดี๋ยวโดนดุ บ๊ายบายค่ะแม่ รักแม่นะ”
“จ้ะ แม่ก็รักลูกที่สุด” ทิชาวางสายแม่แล้วเดินกลับเข้าไปในงาน
เธอต้องทำงานนี้ต่ออีกเป็นเวลาสิบวัน หลังจากนั้นเธอคิดว่าจะหยุดทำงานเพื่อให้เวลากับแม่และไปทำความรู้จักกับผู้ชายที่เข้ามาในชีวิตแม่ซึ่งจะกลายเป็นครอบครัวของเธอในอนาคต
และแล้ววันที่เธอต้องกลับบ้านก็มาถึง
ทิชานั่งรถตู้โดยสารจากสถานีตั้งแต่เจ็ดโมงและถึงบ้านประมาณสิบโมงครึ่งโดยมีแม่ขับรถมารอรับ เธอตั้งใจที่จะมาถึงก่อนเที่ยงเพราะนัดกินมื้อเที่ยงไว้กับลุงมานิตที่บ้านของเขา
หลังจากทักทายกันเรียบร้อยและเข้าไปนั่งในรถแล้ว ทิชาอดหันมามองแม่แล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่ได้
“อะไรยะ มาจ้อง ๆ แล้วยิ้มแบบนี้มันหมายความว่ายังไง ขำหน้าฉันเหรอ”
“ทำไม มองไม่ได้หรือไง”
“ไม่ได้”
“ใช่ซี้ เดี๋ยวนี้มีเจ้าของแล้วนี่” แม่หัวเราะเขิน ๆ
“แม่ดูสวยดูสดใสขึ้นนะคะ หนูพูดจริง ๆ”
“จริงเหรอ”
“จริงสิ ไม่โกหกหรอก ไม่ดูอิดโรยเหมือนเมื่อก่อน”
“อาจจะเป็นเพราะไม่ได้ขึ้นเวรอดหลับอดนอนบ่อย ๆ เหมือนเมื่อก่อน เข้าเวรตามปกติเท่านั้น ลุงมานิตเขาโอนเงินให้แม่สองล้านเพื่อเป็นหลักประกัน จะได้เลิกทำงานหนักเสียที”
“หูย ป๋ามาก ดีจังนะที่แม่ได้เจอผู้ชายดี ๆ”
“อะไรมันก็ไม่แน่ไม่นอนหรอกทิชาเอ๊ย ดูพ่อของลูกสิ ก่อนจะหนีไปก็ว่ารักแม่นักหนาแต่จู่ ๆ ก็หายไปเสียเฉย ๆ รักคราวนี้แม่ก็ทำใจได้มากแล้ว ไม่ได้หัวปักหัวปำเหมือนเมื่อก่อน”
“ไม่ได้หัวปักหัวปำแต่ย้ายไปอยู่กับเขาแล้ว” ทิชาแซว แม่หัวเราะเขิน ๆ
“แม่นี่ทำตัวใช้ไม่ได้เลยใช่ไหม ถ้ายายยังอยู่คงโดนด่าว่าเปิ๊ดสะก๊าด”
“ล้อเล่นน่า นี่มันยุคสมัยไหนแล้ว ย้ายไปอยู่ด้วยกันดูแลกันศึกษากันก็ดีค่ะจะได้รู้ว่าเข้ากันได้ไหม อีกอย่างหนูเองก็ไม่อยากให้แม่อยู่บ้านคนเดียว”
“ถ้าวันข้างหน้าเขาจะทิ้งแม่ อย่างน้อยก็มีเงินนอนในบัญชีไว้เลี้ยงตัว แถมนาฬิกา แหวน สร้อยข้อมือกับคออีกรวมมูลค่าเป็นล้านล่ะวะ”
“มันต้องอย่างนี้ค่ะคุณนาย” ลูกสาวว่าก่อนทั้งคู่จะหัวเราะร่วน
“ว่าแต่ลูกเถอะเมื่อไหร่จะมีแฟนสักที หรือว่าแอบมีแล้วไม่บอกแม่”
“มีเหตุผลอะไรที่หนูต้องไม่บอกแม่ด้วยล่ะ แม่เคยห้ามหนูมีแฟนด้วยเหรอ”
“ก็ไม่เคยน่ะสิ ถึงได้งงอยู่นี่ไงว่าทำไมลูกไม่ยอมมีแฟน”
“เบื่อน่ะแม่ ที่ผ่านมาไม่เคยแฮปปี้กับความรักเลย ตอนนี้อยากโฟกัสกับการเรียนกับหาเงินมากกว่า”
“โอ้โฮอะไรวะ ยังไม่แก่เลย ปลงขนาดนี้ซะแล้ว”
“ก็มันเบื่อนี่นา”
“ผู้ชายมันก็ไม่ได้เลวร้ายเหมือนกันทุกคนนะลูก มีดีมีเลว อย่าไปยึดติดกับคนเลวที่ผ่านมาเลย ถือว่าเป็นเจ้ากรรมนายเวร”
“มันก็มีคุย ๆ บ้างแหละแม่แต่ยังไม่โดนใจ ไว้โดนแล้วจะจับรวบหัวรวบหาง”
“เออ ลูกแม่มันต้องแบบนี้” สองแม่ลูกคุยไปพลาง หัวเราะไปพลางลั่นรถจนกระทั่งถึงจุดหมายปลายทางที่อยู่ห่างจากตัวอำเภอราวสิบกิโล
ทิชามองรั้วบ้านที่เป็นหินประดับโทนสีเทาสลับกับไม้ระแนงดูเก๋ไก๋แปลกตาไปอีกแบบที่ทอดยาวครอบคลุมพื้นที่ร่วมสองไร่ ก่อนที่แม่จะเลี้ยวรถที่ประตูบ้านที่เปิดกว้างรออยู่แล้ว
รถเลี้ยวเข้าสู่ถนนส่วนตัวภายในบ้านที่สองข้างทางประดับประดาไปด้วยไม้ดอกไม้ประดับตกแต่งสวยงาม มีน้ำพุตั้งอยู่อีกฝั่งของบ้านพร้อมด้วยรูปปั้นมังกรตัวเบ้อเริ่ม
ทิชาเบิกตากว้างอย่างตื่นตาตื่นใจก่อนที่แม่จะจอดลงที่โรงรถฝั่งซ้ายของบ้านสไตล์โมเดิร์นสองชั้นหลังใหญ่ เน้นโทนสีเทา ออกแบบด้วยลูกเล่นของทรงเรขาคณิตและกระจกสีชา
“บ้านเก๋มากเลยค่ะแม่ สวยมาก” ทิชาบอกหลังลงจากรถแล้วรีบกระพุ่มมือไหว้คนรับใช้ร่างตุ้ยนุ้ยที่วิ่งเข้ามารับ
“คุณวรรณมาแล้ว นี่คงเป็นคุณทิชา ลูกสาวที่คุณวรรณไปรับใช่ไหมคะ”
“ใช่แล้วจ้ะ นี่ทิชาลูกสาวของฉันเอง ส่วนนี่ก็น้ามาลัยนะ ทิชา เป็นแม่ครัวของที่นี่”
“สวัสดีค่ะน้ามาลัย” ทิชาเอ่ยคำทักทายด้วยรอยยิ้มแล้วค้อมศีรษะลงอย่างนอบน้อม
“สวัสดีค่ะคุณทิชา สวยมากเลยค่ะ สวยเหมือนคุณวรรณเลย”
“หูย ไม่ต้องเรียกหนูว่าคุณหรอกค่ะ เรียกทิชาเฉย ๆ เถอะ เดี๋ยวขี้กลากขึ้นหัว” มาลัยหัวเราะร่วนกับความน่ารักเป็นกันเองของหญิงสาวผู้ที่ขณะนี้ได้ชื่อว่าเป็นลูกสาวของนายหญิงคนใหม่ของบ้าน
“เชิญด้านในดีกว่าค่ะ คุณผู้ชายรออยู่ สั่งให้ตั้งโต๊ะไว้รอเรียบร้อยแล้ว”
ทิชากับแม่เดินตามน้ามาลัยเข้าไปด้านในตัวบ้านสู่ห้องรับแขกที่มีร่างสูงใหญ่หุ่นหมีของชายสูงวัยผิวขาวสวมแว่น ดูท่าทางใจดียืนยิ้มเผล่รออยู่ตรงนั้น และเขาเอ่ยทักทายขึ้นก่อนที่ทิชาเสียอีก
“สวัสดีจ้ะหนูทิชา ลุงมานิตยินดีต้อนรับเข้าสู่บ้านของเราครับผม” ทิชายิ้มกว้าง รู้สึกได้ถึงรังสีแห่งพลังบวกที่แผ่ออกมาจากฝ่ายตรงข้าม ถึงว่าสิ แม่ที่ใจแข็งมาตั้งนมตั้งนานถึงได้มาตกหลุมรักลุงมานิตคนนี้ เธอยกมือขึ้นไหว้และทักทายกลับทันที
“สวัสดีค่ะคุณลุง หนูทิชา ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ”
“ยินดีเป็นอย่างยิ่งครับ มา ๆ กินข้าวกัน แม่วรรณเขาบอกสั่งมาลัยให้ทำแต่ของโปรดของทิชาไว้รอเลยนะ มียำผักบุ้งกรอบน้ำพริกอ่อง ต้มยำทะเลน้ำข้น ทุกอย่างไม่เผ็ดมากเพราะแม่บอกหนูกินเผ็ดไม่เก่ง นี่ ลุงนำเสนอเมนูเด็ดของบ้านนี้ กุ้งคั่วพริกเกลือ นี่ลุงลงมือทำเองเลยนะ เป็นสูตรลับของอาม่าลุงเอง”
ลุงมานิตชวนคุยอย่างอารมณ์ดีพลางเชื้อเชิญสองแม่ลูกให้ไปนั่งรับประทานอาหารด้วยกันบนโต๊ะรับประทานอาหารหินอ่อนสีดำขนาดแปดที่นั่งข้างห้องรับแขก มาลัยยกน้ำใบเตยหอมหวานปะแล่มใส่น้ำแข็งเย็นชื่นใจมาเสิร์ฟ
“อ้าว แล้วนี่ไอ้ลูกชายฉันอยู่ไหนล่ะมาลัย ทำไมไม่ลงมารับแขก” นายของบ้านหันไปถามคนรับใช้
“คุณหนูขับรถออกไปซื้อไอศกรีมเฮมเมดที่ร้านกาแฟคุณแม็กกี้น่ะค่ะ เห็นว่าอยากให้พี่สาวได้ลองชิม”
“โห น้องวินนี่น่ารักจังเลย” ลาวรรณพูดพลางหันไปอธิบายกับคนเป็นลูกสาว
“ร้านกาแฟเขาทำไอศกรีมเองน่ะลูก อร่อยมากเลยล่ะ คิวเยอะจนต้องสั่งจองเลย ว่าแต่น้องวินได้จองไว้หรือเปล่าไม่รู้สิ”
“ไม่ได้จองหรอกค่ะคุณวรรณ แต่ขี้อ้อนอย่างคุณหนูน่ะ ร้อยทั้งร้อยเดี๋ยวต้องได้ของกลับมา” มาลัยพูดพลางยิ้มอย่างเอ็นดู ผู้เป็นพ่อหัวเราะร่วน
“ใครจะไปทนลูกอ้อนมันได้ ว่าแต่ว่าไอ้ลูกหมานี่มันเห่อพี่สาวน่าดูเลยนะมาลัย”
“นั่นสิคะคุณผู้ชาย”
“ต่อไปฉันคงตกกระป๋อง”
“ตายแล้ว หนูไม่ได้ซื้ออะไรมาให้น้องด้วยสิคะ ไม่รู้ว่าน้องโตแค่ไหนและชอบอะไร” ทิชาพูดขึ้นอย่างกังวล
“โอ๊ย ไม่ต้องหรอกลูก มันตัวโตเท่าควายแล้ว โน่นไง ขับรถเข้ามาแล้ว”
ทิชาและทุกคนหันไปมองนอกตัวบ้านที่กำลังมีรถสปอร์ตสีแดงคันหรูกำลังแล่นเข้ามาในตัวบ้านแล้วจอดลงที่ตรงโรงรถฝั่งซ้ายของตัวบ้าน แววตา คนรับใช้อีกคนรีบเดินออกไปเพื่อช่วยคุณหนูของบ้านถือของทันที
ไม่นานทิชาก็ได้ยินเสียงสนทนาและหัวเราะอย่างเป็นกันเองระหว่างว่าที่น้องชายคนใหม่กับคนรับใช้และคนสวน
“นี่ครับ วินซื้อมาฝากทุกคนด้วยน้า เอาไปแบ่งกันนะครับ น้ามิ่งอย่าเม้มของคนอื่นนะ แบ่งเท่า ๆ กัน”
“โธ่ คุณวินล่ะก็ใส่ร้ายผมอยู่เรื่อย”
เสียงพูดหยอกล้อและหัวเราะใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ทิชาหันไปมองพร้อมรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า เตรียมพร้อมที่จะทักทายน้องชายคนใหม่ทันที