ภาคภูมิกำลังยืนคุยกับพนักงานขายในร้านเรื่องการบริการลูกค้า และเรื่องความปลอดภัยของร้าน ถึงแม้ว่าจะมีตำรวจมาคอยคุ้มภัยให้ร้านตั้งสามคนก็ตาม แต่สมัยนี้โจรมันชุมจะมีตำรวจกี่คนต่อกี่คนก็ไม่กลัวถ้าโจรคิดจะมาปล้น ระหว่างที่คุยกับพนักงานขายนั้นชายวัยกลางคนก็เห็นภรรยากำลังเดินมาทางที่ตนอยู่
“พวกลื้อไปทำหน้าที่ของตัวเองได้แล้ว อย่าลืมบริการลูกค้าด้วยใจนะ อย่าบริการเพราะต้องการขายเท่านั้น ถึงลูกค้าจะซื้อไม่ซื้อเราก็ต้องดูแลบริการเขาให้ดีที่สุด เพราะลูกค้าคือพระเจ้า”
“ค่ะ/ครับ”
พนักงานทั้งแปดขานรับพร้อมกัน ก่อนจะแยกไปประจำที่ของตน
“อากิมฮวยลื้อทำไมไม่พักผ่อนในบ้าน ออกมาช่วยงานอั๊วทำไมฮึ”
เมื่อภรรยาเดินมาถึงภาคภูมิก็ไม่รอช้าที่จะตำหนิเอา ก็ดูสีหน้าของนางตอนนี้สิซีดไม่มีอะไรดีเลย เห็นแล้วอดเป็นห่วงไม่ได้
“อั๊วไม่อยากพัก อั๊วคิดถึงอาหงส์ อาเฮียให้อั๊วมาช่วยงานเถอะนะ ยิ่งอยู่ว่างๆ ยิ่งคิดถึง”
“ลื้อนี่น้า...ดื้อจริงๆ ไม่แปลกใจเลยทำไมอาหยกถึงได้ดื้อ”
เข้าใจภรรยาดี เพราะตัวเขาเองก็ไม่อยากอยู่ในบ้านเหมือนกัน ขนาดมาที่ทำงานมองไปยังโต๊ะบัญชีของร้านซึ่งเป็นที่ทำงานของหงสรถที่เคยนั่งทำงานเป็นประจำเมื่อเปิดร้านเขายังเศร้าเลย
“อั๊วเปล่าดื้อนะ อาหยกเหมือนเฮียต่างหาก” นางแย้งสามี
“เหมือนอั๊วก็เหมือนอั๊ว ลื้อไปนั่งพักเถอะ อย่ามายืนแบบนี้เลยปวดขาแย่” ด้วยความเป็นห่วงภรรยาเลยประคองไปนั่งยังมุมตอนรับแขกของร้าน
“อาเฮียก็เหมือนกันแก่แล้วพักบ้างนะ” นางก็เป็นห่วงสามีไม่ต่างกัน
“หวานกันจริงๆ นะม้า ป๊า สงสารคนโสดอย่างหยกบ้างสิคะ หรือถ้าไม่สงสารก็อายเด็กๆ ในร้านบ้างดูสิเขินไปกับป๊าและม้ากันใหญ่เลย” หยกรดาเดินมาทันได้ยินประโยคที่พ่อกับแม่หวานกันพอดีเลยเอ่ยแซวบ้าง
“เห็นไหมอาเฮียอายลูก อายเด็กๆ ในร้านไหมเฮีย”
กิมฮวยก้มหน้าเขินเอียงอายให้กับสายตาของพนักงานในร้านและสายตาล้อเลียนของลูกสาว แต่งงานอยู่กินกันมา 30 ปี ไม่เคยมีวันไหนที่นางและสามีจะไม่หวานกัน ความน่ารักหมั่นเติมความหวานให้กันนั้นเองทำให้เด็กๆ ในร้านอมยิ้มไปกับความรักของคนทั้งคู่ จนอดอิจฉาเสียไม่ได้
“โทษอั๊วคนเดียวไม่ได้นะอากิมฮวย ลื้ออยากน่ารักเองใช่ไหมเด็กๆ” ภาคภูมิหาแนวร่วม
“พอได้แล้วอาป๊า ดูสิม้าอายใหญ่แล้วใบหูแด๊งแดง คิกๆ”
บอกแต่คนอื่น แต่ตัวเองไม่เลิกแซวผู้เป็นแม่สักที
“อาหยกม้าจะไม่อายเลยนะถ้าลื้อไม่แซว ไปทำงานได้แล้ว โน่นที่ทำงานลื้อโต๊ะบัญชี และอย่าทำบัญชีผิดอีกล่ะ”
ลูกสาวคนนี้ตลอดเลย ไม่เคยที่จะไม่แซวแม่อย่างนาง ถูกของสามีที่บอกว่าหยกรดาดื้อเหมือนตน ก็เล่นถอดแบบพิมพ์นิสัยนางมาเป๊ะเว่อร์ขนาดนี้
“เจ้าค่ะม้า”
แล้วหญิงสาวก็เดินสะบัดตูดไปนั่งประจำที่ทำงานที่ประจำของหงสรถ แต่ตอนนี้เป็นที่ทำงานของเธอเสียแล้ว
“อากิมฮวยวันนี้อั๊วจะไปสมาคม ลื้อจะไปกับอั๊วไหม พอดีเพื่อนๆ ที่สมาคมจีนนัดพูดคุยกันตามประสาคนแก่ ลื้อไปกับอั๊วไหม” ภาคภูมิถามภรรยา
“อั๊วยังไม่แก่ ไม่ไปหรอกเฮีย” คนไม่ยอมแก่ปฏิเสธอย่างมั่นใจ
“ไม่แก่จริงนะ รอยอะไรน่ะบนใบหน้า เขาเรียกตีนการึเปล่า” ภาคภูมิเย้าหยอก
“เฮียก็ เขาไม่เรียกรอยตีนกา เขาเรียกรอยประสบการณ์ชีวิต ใช่ไหมอาหยก” หันไปขอความเห็นจากลูกสาว
“ฮะ...ใช่ก็ใช่ค่ะม้า”
หยกรดาที่กำลังวุ่นกับตัวเลขในบัญชีตอบเออออแบบงงๆ ก่อนจะก้มหน้าก้มตาตรวจดูบัญชี
“เห็นไหมเฮีย จำไว้นะเขาเรียกรอยประสบการณ์ชีวิต ยิ่งมีเยอะยิ่งมีประสบการณ์ชีวิตเยอะ เฮียไปเถอะ แต่ขากลับแวะซื้อเป็ดพะโล้เจ้าเก่ามาฝากอาหยกด้วยนะเฮีย เมื่อวานตอนเย็นเห็นบ่นว่าอยากกิน”
“รับทราบครับคุณแม่ของลูก งั้นอั๊วไปก่อนนะกิมฮวย อาหยกป๊าไปก่อนนะ”
หยกรดาผละจากหน้าบัญชีมาส่งยิ้มให้พ่อ ก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาศึกษาบัญชี โดยมีน้องๆ พนักงานในร้านช่วยสอนเธอ ก็คนไม่ชอบตัวเลขสอนให้ตายก็ไม่จำ สำหรับหยกรดาเลขคือสิ่งที่ไม่ประสงค์จะเจอ แต่ก็ต้องจำใจเจอและอดทนกับมัน
วันทั้งวันจนค่ำหญิงสาวก็วุ่นอยู่แต่กับบัญชี ไม่มีเวลาคิดอะไรเลย พอตกค่ำหลังอาหารเย็นสาวเจ้าก็มานั่งคิดนอนคิดว่าควรจะไปตามหาความจริงที่กาญจนบุรีหรือไม่ คิดทบทวนอยู่นานก็ได้คำตอบ ตัดสินใจแล้วว่าพรุ่งนี้เช้าเธอจะลาบุพการีทั้งสองไป ส่วนจะไปทำอะไรนั้นคนอย่างหยกรดาซะอย่างโกหกเป็นเรื่องปกติเสียแล้ว