ฉันมองความวุ่นวายตรงหน้าด้วยดวงตาลอยเคว้งคว้าง คนมากมายเข้ามารุมล้อม แต่ละคนเหมือนอยู่คนละโลกกับฉัน ทุกคนแต่งตัวดี ราศีความร่ำรวยจับทุกอณู คนเหล่านี้มีกลิ่นตัวหอมเหมือนนอนอยู่กลางทุ่งดอกไม้ ฉันกลืนน้ำลายลงคอฝืดๆ มองสบนัยน์ตาสีสนิมที่ก้มลงมามองใกล้ ชายผู้นั้นยิ้มให้ แต่ฉันกลัวจนตัวสั่น ฉันไม่เคยพูดกับฝรั่งสักที ฉันไม่น่าจะพูดกับเขารู้เรื่อง ฉันขยับตัวด้วยความอึดอัด ยัดนิ้วใส่ปากแม้มือของฉันจะเต็มไปด้วยคราบฝุ่นและแผลถลอก
“อย่าทำแบบนั้นสิ แผลจะสกปรก” ฉันถอนใจพรวด ฝรั่งร่างใหญ่ตรงหน้าพูดภาษาเดียวกับฉัน ฉันชักนิ้วออกจากปาก ยิ้มกร่อยๆ ให้เขาแทน
“ลองลุกขึ้นสิ บาดเจ็บตรงไหนบ้างหรือเปล่า” ท่าทางเขาไม่ได้น่ากลัวเหมือนคำลือ ฉันทรงตัวลุกขึ้นยืนช้าๆ “อูยยยย” มันเจ็บจี๊ดๆ ที่หัวเข่า คงกระแทกช่วงที่ฉันถลาล้มนั่นเอง
“คุณตกลงกับเด็กนั่นนะ อรจะพามิเลี่ยนไปโรงพยาบาล” สายตาขุ่นขวางตวัดมองผ่านฉันชั่วแว๊บ
“อืม...” ฉันเตรียมจะเดินหนี เมื่อรถยนต์คันใหญ่เคลื่อนที่ออกไปจากจุดนั้น ความวุ่นวายหายไป แต่ไม่ได้หมายความว่าจะสงบลง
“เด็กนี่มาจากไหน พวกคุณรู้จักบ้างไหม?” ชายผู้นั้นหันไปถามคนที่ยืนอยู่ด้านหลังเขา
“คงเด็กที่อาศัยอยู่ที่สลัมด้านข้างหมู่บ้านแหละครับ คงรอดสายตายามเข้ามา” มีเสียงถอนใจดังๆ “ท่านไม่ต้องสนใจหรอกครับ เดี๋ยวผมจัดการให้เอง”
“ฉันไม่อยากมีปัญหา ฉันจัดการเองดีกว่า”
เขามองฉันพร้อมกับสีหน้าที่อ่อนลง “ไงอยากไปหาหมอไหมล่ะ ฉันจะพาไป” เขาฉันแต่ฉันส่ายหน้า ฉันหายมานานแล้ว และหากฉันยังไม่ไปหาแม่ตอนนี้ วันนี้ฉันคงถูกแม่ตี
“แต่เราบาดเจ็บนะ”
เขาแย้ง “ไม่เป็นไรค่ะ หนูเดินไม่ดูทางเอง แผลถลอกแค่นี้หนูไม่เป็นไรเลย” ฉันพยายามฝืนยิ้มให้ ฉันคงต้องกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน หากแม่เห็นสภาพฉันตอนนี้คงถูกตีตั้งแต่ที่เพิงขายข้าวแกงแน่ๆ
“เอาสตางค์นี่ไปซื้อยาใส่แผลซะ ฉันจะได้สบายใจ”
ฉันอ้าปากค้าง แบงก์สีเทาในมือของชายคนนั้นทำให้ฉันตาโต กว่าแม่จะมีแบงก์สีนั้นได้ แม่ขายข้าวแกงหลายชั่วโมง ฉันส่ายหน้า ฉันบวกเลขเก่งและรู้มูลค่าแบงก์ในมือเขาดี ยาใส่แผลขวดไม่กี่สตางค์เอง
“รับไว้เถอะ เป็นเด็กห้ามปฏิเสธความหวังดีจากผู้ใหญ่สิ” เขายัดแบงก์ใส่มือฉัน แถมกำชับเสียงหนัก “มงคล พาเด็กไปซื้อยาแล้วส่งให้ถึงบ้านเลยนะ”
ฉันถอนใจ กลอกตามองบน เรื่องคงไม่จบแค่นี้แน่นอน แม่ฉันจะว่าอย่างไรนะ ความจริงวันนี้ ฉันไม่น่าแอบเข้ามาในนี้เลย หากฉันเลือกได้... ฉันสาบาน ฉันจะอยู่ให้ห่างบริเวณนี้ และจะไม่เฉียดเข้ามาใกล้แถวนี้แน่ๆ
เมเลี่ยน ชานนท์ บริโอ้
แม่คือจอมบงการตัวจริง หมอทั้งโรงพยาบาลวิ่งเข้าวิ่งออกห้องพักฟื้นของผม เพื่อคอยดูอาการของผมตามคำสั่งกึ่งบังคับของแม่ ผมไม่ได้เป็นอะไรเลยนอกจากแผลถลอกที่อุ้งมือ กับอาการเคล็ดตรงหลังต้นคอ แต่แม่ไม่ยอม ท่านสั่งให้หมอตรวจผมทั้งตัว และหากผมไม่อยากถูกกักบริเวณผมก็ต้องยอมรับการบังคับนั่นเสียด้วยดี
“ผมไม่ได้เป็นอะไรเลยนะครับ” ผมพยายามแย้งแล้ว
“ลูกไม่ได้เป็นหมอนะมิเลี่ยน รอให้หมอเช็กทุกอย่างเสร็จตอนนั้นค่อยมาเถียงแม่”
“ถ้าแม่วุ่นวายแบบนี้ผมจะกลับโรม” ผมไม่ได้ขู่ ผมอยู่ที่โรมผมมีอิสระมากกว่านี้
“เราสัญญากันแล้วนี่มิเลี่ยน เราจะไม่ถกกันเรื่องนี้อีก”
แม่จ้องหน้าผม และผมรู้ดีว่าทำไมแม่ถึงไม่อยากพาผมกลับอิตาลี ผมเกิดที่โรม โตที่นั่น แต่เพราะแม่รักบ้านเกิดมาก ผมเลยพูดภาษาไทยได้เหมือนผมโตที่นี่ แม่เคี่ยวเข็ญอย่างหนัก ผมอดขอบคุณแม่ไม่ได้ ผมสื่อสารกับคนที่นี่ได้ แต่ผมไม่สามารถไปไหนมาไหนคนเดียวได้ ผมพูดได้ แต่อ่านไม่ออกนั่นเอง
“ผมไม่สนหรอกว่าดานิก้าจะมีอิทธิพลมากที่โรม หล่อนบังคับให้ผมแต่งงานด้วยไม่ได้” ผมพยายามชี้แจง แต่แม่ไม่ฟัง
“แม่มีลูกคนเดียวนะมิเลี่ยน แม่ไม่อยากเสี่ยง” ถึงพ่อผมจะไม่มีอิทธิพลเท่าครอบครัวผู้หญิงที่ผมเคยมีความสัมพันธ์ด้วย แต่บริโอ้ก็ไม่ได้ด้อยจนต้องพากันหนี ทันทีที่ข่าวฉาวของผมดังกระฉ่อนเมือง
บิดาที่รักภรรยาจนสามารถทำตามความต้องการทุกอย่างของภรรยาเขามีหรือจะไม่เห็นด้วย มารินจัดการจองเครื่องเจ็ตส่วนตัวหอบทั้งลูกและภรรยากลับมาที่บ้านเกิดของภรรยาคนสวยทันที
“ทำอย่างกับว่าผมไม่เคยก่อเรื่องแบบนี้” ผมบ่น
“ดานิก้าไม่ใช่ผู้หญิงที่ลูกจะเขี่ยทิ้งได้ง่ายๆ นะมิเลี่ยน อังเดรคงไม่พอใจ หากลูกยังลอยนวลอยู่ที่โรม รอให้เรื่องฉาวนั่นสงบ เราค่อยกลับไปก็ได้ และ...จบแค่นี้ แม่ไม่อยากเถียงกับลูกอีกแล้ว”
ผมพยายามทำความเข้าใจแม่มาหลายปี พ่อผมกับแม่พบรักกันตอนที่แต่ละคนอายุมากแล้วทั้งคู่ ดังนั้นผมเลยเป็นทายาทคนเดียวเท่าที่แรงของท่านจะสามารถประคับประคองจนมีบุตรได้ บางทีผมก็อยากมีพี่น้อง แต่ร่างกายของแม่ไม่ไหวแล้ว ความรักของทั้งสองท่านเลยถาโถมเข้าใส่ผมจนแทบล้นทะลัก
เอาน่า...ยังไงเสีย พ่อ แม่ผมก็หวังดีแหละ
ถึงมันจะเยอะเกินไปจนบางครั้งจะทำให้ผมอึดอัดไปบ้าง...
“ไงมิเลี่ยน รู้สึกดีขึ้นหรือยัง” พ่อผมเดินเข้ามานั่งและถามด้วยความเป็นห่วง
“เรียบร้อยแล้วใช่ไหมคะ ฉันไม่อยากให้ลูกมีประวัติไม่ดี” เสียงแม่แทรกเข้ามา
“อืม...ไม่น่ามีปัญหานะ เด็กแถวนั้นนั่นแหละ”
“กลับไปนี้ฉันคงต้องกำชับพนักงานรักษาความปลอดภัยอีกที จะต้องไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก”
หมู่บ้านนั้นเป็นหนึ่งในโครงการที่อยู่ภายใต้บริษัทในเครือของบริโอ้ โครงการบ้านหรูมีระดับ ดังนั้นควรเข้มงวดกับระบบรักษาความปลอดภัยมากกว่านี้ หากวันนี้บุตรชายบาดเจ็บถึงขั้นเลือดตกยากออก นางคงไม่เก็บพนักงานที่หละหลวมเอาไว้ เมเลี่ยนสำคัญกว่าพนักงานระดับล่างพวกนั้นทั้งหมด
“แม่อย่าเว่อร์นักเลย...ก็แค่อุบัติเหตุ”
“ซึ่งมันไม่ควรเกิดขึ้น...” แม่ต่อคำพูดผม แล้วก็เดินไปจัดจานอาหารเงียบๆ มุมห้อง
พ่อผมไหวไหล่ กดมุมปากโค้งลงเหมือนจะบอกนัยๆ ถ้าอยากอยู่อย่างสงบอย่าพยายามเถียงกับแม่
“เด็กนั่นบาดเจ็บไหมครับ?” ผมไม่ได้ถามเพราะห่วง แค่ไม่อยากมีปัญหาภายหลัง
“นิดหน่อยให้มงคลไปส่ง จะได้ถามความคืบหน้า หากครอบครัวเด็กนั่นต้องการค่าปลอบขวัญแด๊ดก็คงต้องจ่าย”
ผมไม่ได้สนใจเด็กนั่นอีก พ่อกับแม่ผมคงจัดการได้เหมือนเคย ผมไม่ใคร่ชอบเมืองไทยเท่าไหร่ อากาศร้อนเสียเป็นส่วนมาก แต่การใช้ชีวิตโดยไม่ถูกดานิก้าป่วนมันง่ายกว่า ผมเลยสุขสบายอยู่ที่นี่
แม่พาฉันกลับมาที่หมู่บ้านคนรวยนั่นอีกครั้ง ไม่ว่าจะปฏิเสธยังไงคนที่เป็นตัวแทนของคู่กรณีของฉันก็ไม่ฟัง ‘ลุงมงคล’ ทำงานตามหน้าที่ได้อย่างไม่มีที่ติ ลุงยัดเยียดค่ารักษาพยาบาลให้แม่ฉัน ทั้งแม่ปฏิเสธทุกรอบ
“รับไปเถอะนะพลอย ท่านเต็มใจจ่าย ท่านมีมากจนใช้ไม่หมด แค่นี้ท่านไม่เดือดร้อนหรอก” ลุงพยายามอธิบายด้วยความใจเย็น
แม่ส่ายหน้าไม่ยอมยื่นมือออกไปรับ แถมยังถลึงตาใส่ปรามฉันอีกด้วย
“พลอยฉันไม่ได้ดูถูกนะ เงินนี่ช่วยให้ลูกของพลอยมีขนมอร่อยๆ กิน มีเสื้อผ้าที่สะอาดกว่านี้ใส่ รับไว้เถอะนะ ท่านจะได้สบายใจ”
ลุงมงคลพยายามอธิบาย แต่แม่ฉันหรือจะฟัง และนั่นเป็นที่มาที่แม่ลากฉันมายืนอยู่ตรงนี้
แม่กำลังเจรจากับพนักงานหน้าหมู่บ้าน ลุงยามยืนกรานไม่ให้ฉันกับแม่ผ่านเข้าไป ฉันยืนเตะยอดหญ้ารออยู่ด้านหลัง กวาดตามองไปรอบๆ ที่นี่ยังคงสวยสง่าเหมือนเดิม
“ฉันอยากเข้าไปหาท่านจริงๆ นะลุง”
“ไม่ได้หรอก ไม่มีคำสั่ง หากลุงปล่อยให้เข้าไป คนเดือดร้อนก็ไม่พ้นลุงหรอก”
“ฉันมีธุระสำคัญกับท่านทั้งสองคนนะจ๊ะ”