บทที่ 1 คนฉวยโอกาส

2688 Words
บทที่ 1 คนฉวยโอกาส “แกเป็นไรวะไอ้จูน ทำไมทำหน้างั้น” ติวเตอร์เพื่อนสนิทคนเดียวของฉันเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นว่าฉันยืนแข็งทื่อ ในขณะมือทั้งสองข้างสั่นเทาหลังจากก้าวเข้ามาในบริษัทพีเจสปอร์ต ก็ฉันตื่นเต้นนี่นามันเป็นงานแรกของฉันเลยนะ แล้วอีกอย่างมันก็เป็นงานที่ยากสุด ๆ เลยด้วย หลังจากที่ได้รับมอบหมายงานจากพี่จอยหัวหน้าที่บริษัท ฉันกับเตอร์ช่วยกันหาข้อมูลสองคืนเต็ม ๆ ตอนแรกพี่จอยให้สัมภาษณ์แค่นักแข่งรถที่ชื่อภาคินคนเดียวแต่อยู่ ๆ ก็กลับคำ บอกให้มาสัมภาษณ์ทั้งสามคนเลยทีเดียว แต่ขอเพิ่มบทสัมภาษณ์ของภาคินเป็นพิเศษเพราะช่วงเดือนหน้าเขาใกล้จะลงแข่งรอบชิงระดับประเทศเพื่อไปแข่งต่อในต่างประเทศ หลังจากที่สืบประวัติและข่าวมาคร่าวๆ ก็ขนลุกใช่เล่น สามคนนี้ธรรมดาซะที่ไหน แต่ละคนนิสัยแตกต่างโดยสิ้นเชิง! แล้วเด็กฝึกงานสองคนอย่างฉันกับเตอร์จะทำสำเร็จไหมเนี่ย TT “เชิญด้านในได้เลยค่ะ” เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งเอ่ยขึ้นทำให้ฉันหลุดจากภวังค์ความคิด ฉันสะบัดไล่ความกังวลออกไปเพราะตอนนี้มันถึงเวลาที่ฉันต้องจริงจังกับงานแล้ว ถ้าฉันทำงานนี้ให้สำเร็จ คนที่เคยดูถูกฉันกับเตอร์ว่าเป็นเด็กฝึกงานไร้ประสิทธิภาพคงต้องถอนคำพูดและมองพวกฉันใหม่ “ลุย!” เตอร์บอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ทำให้ฉันพยักหน้ารับพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าส่วนมืออีกข้างก็ค่อย ๆ หมุนลูกบิดประตูเข้าไป ฉันเดินนำเข้ามาในห้องรับรองก็พบว่ามีผู้ชายหน้าตาดีสามคนกำลังนั่งอยู่ตรงหน้าฉัน เขามองด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ทำให้ฉันเดินเข้าไปหาและโค้งศีรษะลงอย่างนอบน้อม เพราะพวกเขาอายุมากกว่าฉันสามปี แล้วอีกอย่างถ้าพวกเขาเอ็นดูฉันกับเตอร์พวกเขาก็อาจจะให้ความร่วมมือในงานต่อ ๆ ไปก็ได้ “สวัสดีค่ะ / สวัสดีครับ” ฉันกับเตอร์ยกมือไหว้ตามมารยาท ก่อนจะนั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามพวกเขา “เด็กใหม่เหรอ” ผู้ชายคนที่ชื่อภูผาเอ่ยถามฉันด้วยท่าทีเป็นมิตรทำให้ฉันยิ้มตอบกลับไป ฉันศึกษาประวัติของพวกเขามาค่อนข้างละเอียดเลยรู้ว่าแต่ละคนคือใครและมีนิสัยเช่นไร “ใช่ค่ะ พวกเราเป็นนักศึกษาฝึกงานค่ะ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ” ฉันบอกด้วยรอยยิ้ม แต่อีกสองคนกลับนั่งนิ่งมีสีหน้าเบื่อหน่ายอย่างกับอมทุกข์มาสิบปี สู้เว้ย! “ฉันขอบรีฟคร่าว ๆ กับพวกคุณก่อนนะคะ ไอ้เตอร์! บรีฟสิเว้ยนั่งนิ่งทำไม” ฉันหันไปแว้ดใส่เตอร์ที่เอาแต่นั่งตัวแข็งทื่อ มองทั้งสามคนด้วยความตื่นตระหนกโดยไม่พูดอะไรออกมา “อะเอ่อ...คำถามจะมีสามช่วงนะครับ ช่วงแรกจะเป็นการแนะนำตัวเองธรรมดา ช่วงสองจะเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัว ขอโทษนะครับอาจจะมีคำถามที่ถามถึงเรื่องครอบครัวพวกคุณสะดวกไหมครับ” “สะดวก” ภูผาตอบ “อืม” ภูริเอ่ยขึ้นอีกเสียง “ไม่” ฉันสะดุ้งเมื่ออยู่ ๆ คนที่ชื่อภาคินก็เอ่ยเสียงดังแถมยังจ้องหน้าฉันกับเตอร์ด้วยแววตาแข็งกร้าว “เอ่อ...ถ้าอย่างนั้น...” ฉันเอ่ยเสียงตะกุกตะกักเมื่อได้รับคำปฏิเสธ จะทำยังไงดีล่ะ นี่เป็นคำถามที่พี่จอยอยากได้มาก ๆ เลยนะ! “สะดวกหมดทั้งสามคนนี่แหละ ไอ้คินเฮียขอร้องมึงแล้วนะเว้ย” “ก็มันเป็นเรื่องส่วนตัวปะวะ” “ถ้าอย่างนั้นคำถามไหนที่ไม่สะดวกก็ไม่ต้องตอบก็ได้ครับ” “เอางั้นก็ได้ ให้ความร่วมมือหน่อยเหอะคินจะได้เสร็จไว ๆ” “ส่วนคำถามพาร์ทสุดท้ายจะเป็นความคาดหวังในอนาคตนะครับ มีการวางแผนใช้ชีวิตยังไงบ้าง ตอบได้ฟรีสไตล์เลยครับ” “อืม” “ถ้าอย่างนั้นก็ตามนี้นะครับ รบกวนพวกคุณช่วยติดอุปกรณ์กับไมค์ไว้ด้านหลังเสื้อด้วยนะครับ” เตอร์บอกอย่างใจเย็นและส่งอุปกรณ์ให้ทั้งสามคนติดไว้ที่ด้านหลังของเสื้อ ส่วนฉันเองก็ได้แต่บีบมือตัวเองแน่นเมื่อเจอสายตาของคุณภาคินที่จ้องมองฉันราวกับจะฆ่ากัน นี่ฉันทำอะไรให้เขาไม่พอใจรึเปล่าเนี่ย ฉันกับเตอร์ช่วยกันจัดการอุปกรณ์และตั้งกล้องก่อนจะเริ่มสัมภาษณ์ โดยที่ฉันจะเป็นคนถามคำตอบอยู่หลังกล้องเพื่อให้พวกเขาตอบ การสัมภาษณ์ครั้งนี้จะเป็นแนวสบาย ๆ ที่อยากให้ผู้ถูกสัมภาษณ์รู้สึกผ่อนคลายมากที่สุด แต่ทำไมฉันถึงได้รู้สึกอึดอัดจังเลยนะ… โอ๊ย! อยากกลับบ้านแล้วฮือออ “พร้อมนะครับ สาม สอง หนึ่ง เริ่ม!” เมื่อเตอร์นับเวลาถอยหลังฉันจึงเริ่มถามคำถามแรก ซึ่งเป็นคำถามการแนะนำตัวทั่วไป “ช่วยแนะนำตัวกันสักนิดหนึ่งนะคะ สามหนุ่มนักแข่งรถสุดฮอตตัว ภ.” ฉันเอ่ยอยู่หลังกล้อง แม้ว่าฉันจะไม่ได้ออกกล้อง แต่ยังไงแล้วน้ำเสียงและท่าทางของฉันก็ต้องทำให้พวกเขาผ่อนคลายตามไปด้วย “สวัสดีครับพวกเรา สามแสบตัว ภ. ครับ...ภาคินครับ ภูริครับ ภูผาคร้าบบ” ฉันยังคงดำเนินการสัมภาษณ์ต่อไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงคำถามพาร์ทสุดท้ายที่เป็นคำถามเกี่ยวกับความคาดหวังในอนาคตที่พวกเขาอยากจะทำมัน คำถามก่อนหน้านั้นพวกเขาทั้งสามคนก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีและตอบออกมาได้น่าประทับใจมาก ฉันไม่แปลกใจเลยนอกจากหน้าตาแล้วพวกเขายังมีความเป็นมืออาชีพมาก ๆ แม้ว่าในตอนแรกจะทุลักทุเลไปหน่อยอะนะ “มาถึงคำถามสุดท้ายแล้วนะคะ ในอนาคตวางแผนชีวิตกันยังไงบ้างคะ” เมื่อฉันเอ่ยจบกล้องก็แพลนไปที่ภาคินซึ่งเป็นคนแรกในการตอบคำถามนี้ “ผมยังไม่ได้วางแผนจริงจังเท่าไหร่นะครับ แค่คิดว่าอยากมีเงินเยอะ ๆ อยากสร้างครอบครัวที่อบอุ่น อีกประมาณสิบปีข้างหน้าผมอาจจะเลิกเป็นนักแข่งแล้วก็เลี้ยงลูกอยู่บ้านก็ได้ แต่มันก็ยังไม่แน่นอนผมขอแค่ทุกวันนี้ทำงานอย่างเต็มที่ก็พอแล้วครับ” ฉันชะงักไปกับประโยคที่เขาเอ่ย มันแสนจะเรียบง่ายแต่กลับลึกซึ้งคนอย่างเขาฉันไม่คิดเลยว่าจะมีมุมนี้กับเขาด้วย “แล้วคุณภูริล่ะคะได้วางแผนอนาคตไว้ยังไงบ้างคะ...” ฉันหันไปถามภูริหลังจากที่ภาคินเอ่ยจบและตามด้วยภูผา ซึ่งใช้เวลาไม่นานเพียงสิบนาทีการสัมภาษณ์ก็เสร็จเรียบร้อย “ฝากติดตามผลงานของพวกเราด้วยนะครับ” ทั้งสามคนเอ่ยปิดรายการก่อนที่เตอร์จะส่งสัญญาณมือนับถอยหลังและในที่สุดก็เสร็จสิ้น “คำถามที่จะสัมภาษณ์มีเพียงเท่านี้ครับ เอ่อแต่คุณภาคินครับผมขอรบกวนสัมภาษณ์คุณเพิ่มเติมหน่อยนะครับ เรื่องที่คุณจะลงแข่งแมตช์สำคัญในเดือนหน้า” “ไม่ว่าง” ฉันกับเตอร์มองหน้ากันพร้อมกับกะพริบตาปริบ ๆ แต่คำถามพาร์ทส่วนตัวของเรามันสำคัญมากเลยนะ... “ขอเวลาไม่นานเลยค่ะคุณภาคิน แค่สิบห้านาทีเท่านั้นค่ะ นะคะคุณภาคิน” “อยากสัมภาษณ์ก็ไปนัดวันอื่น วันนี้ฉันไม่ว่างแล้ว” เขาตอบเสียงนิ่งและลุกขึ้นหยิบเสื้อแจ็กเกตหนังสีดำขึ้นมาใส่ “ตะ...แต่...” “ไม่เป็นไรจูน เราส่งคลิปสัมภาษณ์นี้ให้พี่จอยไปก่อน แล้วก็ค่อยนัดอีกรอบก็ได้” “เอางั้นเหรอ...” “เอ่อ...ขอบคุณพวกคุณมากเลยนะคะที่สละเวลาให้สัมภาษณ์กับแองเจลเบลนิวส์” ฉันหันไปขอบคุณกับทั้งสามคนซึ่งพวกเขาเองก็พยักหน้ารับ ยกเว้นแต่นายภาคิน! นี่เขาจะหยิ่งไปถึงไหนเนี่ย! “ปีสี่แล้วใช่ไหมเนี่ย” ภูผาเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มเมื่อเห็นว่าฉันกับเตอร์กำลังช่วยกันเก็บของ “ใช่ค่ะ^^” “ฝึกงานก็สู้ ๆ นะ ได้ข่าวว่าฝึกงานกับบริษัทนี้โหดใช้ได้” “เหนื่อยงานไม่เคยท้อ มีแต่เหนื่อยคนนี่แหละค่ะ” ฉันตอบออกไปตามตรง ตั้งแต่ฉันเข้ามาฝึกงานก็เจอกับคำดูถูกสารพัด ความโหดที่ว่าก็คือคนไม่ใช่งาน คนที่บริษัทไม่รู้ว่าเป็นอะไรกันทำไมถึงชอบดูถูกเด็กฝึกงานกันนะ “หิวข้าวว่ะ ไปหาไรกินกัน” เตอร์บอกเมื่อเก็บของเสร็จเรียบร้อย “ไป~ หิวแล้วเหมือนกัน” ฉันบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนลงพร้อมกับเข้าไปกอดแขนเตอร์อย่างที่เคยทำ เราสองคนเป็นเพื่อนที่สนิทกันมากสนิทกันมาตั้งแต่สมัยเรียนประถมแล้ว ฉันกับเตอร์บ้านอยู่ใกล้กัน ไปโรงเรียนพร้อมกัน แถมเข้ามหา’ ลัยก็ยังเข้าคณะเดียวกันอีกจนคนรอบข้างมองว่าฉันเป็นแฟนมันไปแล้ว แต่ว่าเตอร์น่ะมีแฟนแล้วสวยมากซะด้วยเรียนอยู่คณะบริหารแฟนเตอร์ก็ฝึกงานเหมือนกันเลยทำให้ช่วงนี้ไม่ค่อยได้เจอกันสักเท่าไหร่ ส่วนฉันน่ะเหรอ โสดวนไปจ้าาาา “ขอตัวก่อนนะคะ” ฉันบอกอย่างนอบน้อมก่อนจะเดินออกจากห้องรับรอง ในที่สุดงานวันนี้ก็เสร็จสักที งานแรกของฉันผ่านไปได้ด้วยดี พรุ่งนี้ต้องเอาไปอวดพี่จอยสักหน่อยแล้วสิ >< “แกอยากกินไร” เตอร์ถามฉันหลังจากที่เราเดินออกมาได้สักพัก “อยากกินก๋วยเตี๋ยวอะ แต่ขอเข้าห้องน้ำก่อนนะอั้นมาตั้งแต่แรกละ” “เออ งั้นฉันไปรอที่รถนะ” “เออเดี๋ยวตามออกไป” ฉันบอกพร้อมกับหมุนตัวเดินไปยังห้องน้ำซึ่งอยู่ด้านในขวาสุด ฉันอั้นมันมาตั้งแต่ก่อนจะเริ่มถ่ายงานก็เพราะว่าตื่นเต้นยังไงล่ะ นี่มันงานชิ้นแรกของฉันนี่นา ฉันเข้าไปในห้องน้ำเพื่อจัดการทำธุระส่วนตัวของตัวเองให้เสร็จสรรพในหัวก็คิดถึงเรื่องงานไปพลาง ๆ คำถามพาร์ทพิเศษของนายภาคินฉันก็ไม่รู้ว่าจะจองคิวถ่ายได้วันไหน ก็เขาน่ะคิวทองซะขนาดนั้น ฉันสะบัดไล่ความคิดออกและเดินออกจากห้องน้ำเพื่อจะไปล้างมือแต่กลับต้องชะงักเมื่อสายตาของฉันหันไปเป็นสัตว์ตัวใหญ่ที่เกาะอยู่บนผนังซึ่งห่างจากฉันเพียงแค่หนึ่งเมตร โอ้! มาย! ก๊อต! “กรี๊ด!” ฉันร้องออกมาสุดเสียงเมื่อเห็นตุ๊กแกตัวใหญ่อยู่ตรงหน้า มันเป็นสัตว์ที่ฉันเกลียดและขยะแขยงที่สุดในโลก บริษัทใหญ่โตออกขนาดนี้ทำไมถึงปล่อยให้มีตุ๊กแกเข้ามาได้เนี่ย! พลั่ก! ประตูห้องน้ำหญิงถูกเปิดออกพร้อมกับร่างสูงของใครคนหนึ่งรีบวิ่งเข้ามา ซึ่งเขาก็คือภาคินคนที่ฉันเพิ่งนึกถึงไปเมื่อครู่ “เกิดอะไรขึ้น!” เขาถามสีหน้าจริงจังหลังจากวิ่งเข้ามาหาฉัน พรึ่บ! ฉันตรงเข้าไปสวมกอดเขาพร้อมกับซบใบหน้าที่อกของเขาทันที ในตอนนี้ฉันทำอะไรไม่ถูกรู้แค่ว่าไม่อยากจะเห็นไอ้ตัวนั้น มันทั้งน่าเกลียดน่ากลัวและน่าขยะแขยงเป็นที่สุด “ฮึก...ฮืออ ตุ๊กแก มันอยู่ตรงนั้นฮือออ” ฉันร้องไห้ออกมาอย่างหนักเมื่อหาที่พักพิงได้ ซึ่งเขาเองก็ยอมให้ฉันกอดอยู่อย่างนั้น แม้ว่าในตอนแรกจะตกใจกับการกระทำของฉันก็ตาม “แม่ง! ก็นึกว่าอะไร” “อื้อ อย่าเพิ่ง ฮืออ จูนกลัวจูนไม่อยากเห็น” ฉันรีบกอดเขาแน่นเมื่อเขาทำท่าจะผลักตัวฉันออก “ยัยบ้านี่ งั้นก็หลับตาเอาไว้” เขาพ่นลมหายใจออกมาอย่างหงุดหงิดแต่ฉันก็ยังคงกอดเขาเอาไว้ดังเดิม ในตอนนี้เขาเป็นที่พึ่งสุดท้ายของฉันแล้วแขนขาก็สั่นกลัวไปหมด “หลับตาไว้และเดินตามฉันออกมา” เสียงเข้มเอ่ยอย่างอ่อนโยนพร้อมกับลูบที่เรือนผมของฉันเบา ๆ เขาค่อย ๆ เดินนำออกจากห้องน้ำโดยที่ฉันก็เดินตามเขาไปด้วย และในที่สุด... “ลืมตาได้แล้ว” ฉันลืมตาขึ้นช้า ๆ ก็พบว่าในตอนนี้ฉันออกมาจากห้องน้ำนั้นเรียบร้อย ฉันเงยหน้ามองคนตัวโตที่จ้องมองฉันด้วยสายตาแข็งกร้าว ทำให้ฉันรีบผละออกจากอ้อมกอดของเขาทันที “เอ่อ...ขะ...ขอบคุณค่ะคุณภาคิน” ฉันเอ่ยเสียงแผ่วเมื่อได้สติ “แค่คำขอบคุณคงไม่พอมั้ง” เขาเลิกคิ้วขึ้นซึ่งนั้นทำให้ฉันมองเขาด้วยความสงสัย แล้วเขาต้องการอะไรล่ะ? “คุณต้องการอะไรคะ” เขาไม่ตอบแต่เดินเข้ามาใกล้ฉัน มือหนาปาดน้ำตาของฉันออกจากพวงแก้มและเคลื่อนใบหน้าหล่อเหลาเข้ามาจนฉันแทบหยุดหายใจ เขาจะทำอะไร... “เลิกร้องไห้ได้แล้ว” เขาเอ่ยแนบชิดที่แก้มของฉันเบา ๆ จนกระทั่ง… “คะ...คุณจะทำ...อื้อ!!!” ฉันเบิกตากว้างเมื่ออยู่เขาก็กดริมฝีปากลงมาประกบที่ริมฝีปากของฉันโดยไม่ทันตั้งตัว พรึ่บ! เมื่อฉันจะผลักเขาออกเจ้าตัวก็ล็อกตัวของฉันไว้และดันให้ติดกำลังพร้อมกับลงน้ำหนักอย่างหนักหน่วง “อื้อ!!!” มือของฉันทุบที่อกแกร่งเพื่อประท้วงขอให้เขาหยุดการกระทำน่ารังเกียจแบบนี้สักที พลั่ก! ฉันรวบรวมแรงทั้งหมดที่มีผลักคนตัวโตออกไปอีกฝั่งพร้อมกับขยับตันหนีให้ห่างจากเขาได้มากที่สุด “คุณทำบ้าอะไร!” “ก็ไม่อยากได้คำขอบคุณ” เขาตอบกลับหน้านิ่งอย่างไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด “คุณมัน...คนฉวยโอกาส โรคจิต!” หมับ! “อ๊ะ!” คนตัวโตตรงเข้ามาบีบแขนทั้งสองข้างของฉันไว้ด้วยความโกรธจัด “จะตกใจอะไรนักหนาวะ!” “ปล่อยฉันนะ! ไอ้คนทุเรศ! โรคจิต!” ฉันตะคอกกลับไปสุดเสียงอย่างไม่ยอมแพ้ คนอย่างเขามันน่ารังเกียจกว่าตุ๊กแกที่ฉันเห็นเมื่อกี้เสียอีก! “ไอ้คิน มึงทำอะไร” ราวกับเสียงสวรรค์ที่ช่วยชีวิตของฉันไว้เมื่อภูริเดินเข้ามา ทำให้นายภาคินยอมปล่อยตัวฉันให้เป็นอิสระ ฉันรีบไปยืนอยู่ด้านหลังของนายภูริด้วยความหวาดกลัว ซึ่งก็พบกับสายตาดุของภาคินที่จ้องฉันอย่างกับจะฆ่ากันให้ตายไปข้าง ฉันไม่สามารถร่วมงานกับเขาได้อีกแล้ว! ผู้ชายคนนี้...เขามันชอบฉวยโอกาส! “ไอ้คินกูถาม” “เปล่า” เขาตอบหน้าตาย “เธอเป็นอะไรไหม” เขาหันมาถามฉันด้วยสีหน้าเป็นห่วง ซึ่งฉันก็ส่ายหน้าตอบกลับไปแทนคำพูด “ขะ...ขอตัวก่อนนะคะ” ฉันเอ่ยก่อนจะรีบวิ่งหนีออกไปในที่สุด ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่แล้วแค่เห็นใบหน้าและแววตาร้ายกาจของนายภาคินฉันก็รังเกียจเต็มทน ฉันวิ่งออกมานอกตึกก็พบว่ารถของเตอร์นั้นจอดรออยู่แล้วฉันจึงรีบขึ้นรถไปในทันที “ทำไมช้าจังวะ” “มะ...ไม่มีอะไร คนเยอะน่ะ” ฉันเลือกที่จะโกหกเพราะไม่อยากจะพูดถึงเรื่องนั้นอีก “สรุปกินเตี๋ยวใช่ไหม เอาร้านเดิมนะใกล้ดี” “อืม เอาร้านนั้นแหละ” ฉันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แถมก็ยังตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่หาย ฉันไม่เข้าใจว่าเขาทำแบบนี้ทำไมทั้ง ๆ ที่ในตอนแรกฉันเกือบจะเปลี่ยนความคิดว่าเขานั้นเป็นคนอ่อนโยนแล้วแท้ ๆ ที่เขามาช่วยฉันไว้คงเพราะหวังจะฉวยโอกาสจากฉันอยู่สินะ ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ! รู้แบบนี้น่าจะหยิบไม้มาฟาดเขาสักที ฮึ่ย!
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD