การซ่อนตัวของเงาดำ

3695 Words
ช่วงเวลาแห่งรุ่งอรุณกลับมาเยือนท้องฟ้าประเทศไทยอีกครั้ง มันยังคงเป็นอีกวันของการเรียนและการทำงานอันน่าเบื่อหน่าย ไม่ว่ากับทั้งมนุษย์ธรรมดาเดินดินหรือนาฬิกาปลุกบนหัวเตียง ซึ่งต้องปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างเคร่งครัด ตราบใดที่ถ่านพลังงานยังไม่หมดลง “วันนี้ไม่ไปเรียนหรือไง ?” พล.ต.ต.เกรียงไกรถามลูกชายระหว่างมื้อเช้า เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายสวมชุดอยู่บ้าน เสื้อยืด - กางเกงขา 3 ส่วน “มีเรียนแค่ 2 คาบครับ ผมเลยกะจะเช็คข้อมูลให้เรียบร้อย” คนเป็นลูกยักท่าไม่ยอมปริปากเรื่องข้อมูลสำคัญที่ได้มา มือทาแยมบนขนมปังแผ่น พร้อมกับปั้นหน้าไม่รู้ไม่ชี้ จนคนเป็นพ่อนึกหมั่นไส้ “ถึงงานจะผ่าน แต่ถ้าแกสอบตก ก็อย่าหวังว่าจะรอด” “รับประกัน 3.5 ขึ้นครับ” “ไม่ได้ ! ต้อง 3.8 เท่านั้น” คราวนี้ธนูนิ่งอึ้งไปกับประกาศิตของพ่อ ปากเคี้ยวขนมปังค้าง แต่สักพักก็กลับเป็นปกติ หลังผ่านการคิดคำนวณและประมวลผลอย่างหนัก “โอเคครับ... เอาเป็นว่า 4.00 เลยแล้วกัน” คำตอบของลูกชายทำเอาคนเป็นพ่อนั่งอึ้งไปบ้าง มือที่กำลังทาเนยบนขนมปังค้างอยู่อย่างนั้น แต่ก็เพียงแค่ชั่วเวลานกกาบินผ่าน “ให้มันแน่เถอะ !” เสียงเข้มรักษาฟอร์ม ถึงอย่างนั้นก็ยังอดต่อท้ายแสดงความเป็นห่วงไม่ได้ “อย่าโหมจนเข้าโรงพยาบาลก็แล้วกัน” “พ่อเองก็อย่าโหมจนผู้กองต้องโทรมาตามผมนะครับ ผมเหมาซีดีมาลงเพลงเก่าๆ ที่พ่อชอบไว้ให้เต็มเครื่องแล้ว แค่เปิดฟังเบาๆ แก้เครียด ลูกน้องไม่เอาไปนินทาหรอกครับ” คำพูดที่อัดแน่นไปด้วยความห่วงใยของธนู ทำให้คนเป็นพ่ออย่างพล.ต.ต.เกรียงไกร อดที่จะแอบอมยิ้มไม่ได้เหมือนกัน เป็นการเริ่มต้นวันใหม่ที่ดีสำหรับความสัมพันธ์ระหว่างพ่อ - ลูก ซึ่งต่างคนต่างแอบซ่อนความห่วงใยไว้ และธนูเองก็หวังว่ามันจะเป็นวันที่ดีสำหรับงานพิเศษของเขาด้วยเช่นกัน    ปังๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ หลัง พล.ต.ต.เกรียงไกรคล้อยหลังออกจากบ้านไปไม่นาน เสียงรัวปืนก็ดังก้องห้องนอนอันเคยเงียบสนิทของธนู มันไม่ใช่เกมคอมพิวเตอร์ ไม่ใช่การก่อการร้าย ไม่ใช่การลอบสังหาร แต่มัน... คือเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ของเขา “นี่ ! จะโดดเรียนหรือไงยะ วันนี้อาจารย์จะติวข้อสอบให้ จำไม่ได้หรือไง” เสียงเขียวๆ ของใครคนหนึ่งดังขึ้นทันทีที่เสียงรัวปืนกลสงบลง หลังการกดรับโทรศัพท์มือถือของธนู “ โทษที วันนี้ฉันมีธุระด่วน เดี๋ยวฉันไปลอกที่เธอจดไว้ก็แล้วกัน” ธนูตอบเสียงเนือยๆ มือรัวคีย์บอร์ดโน้ตบุ๊กส่วนตัวไปด้วย จนเสียงดังลอดเข้าไปในโทรศัพท์ “นี่เหรอยะธุระของนาย พิมพ์คอมฯดังซะขนาดนี้ แชทคุยกับสาวๆ ติดลมมากกว่ามั้ง” อีกฝ่ายทำเสียงขึ้นจมูกจับผิดเต็มที่ “ฉันไม่มีเวลาทำเรื่องไร้สาระแบบนั้นตอนนี้หรอกนะ !” ธนูขึ้นเสียงดุ ทำเอาปลายสายสะดุ้งและเงียบไปนาน จนเขาต้องเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน “อ้อ... เธอยังถือสายอยู่หรือเปล่าน่ะ ?” “อยู่...” อริศรา หรือ อ้อ เพื่อนสาวร่วมคณะของธนูตอบรับจ๋อยๆ “ขอถามอะไรหน่อย เธอรู้จักพวกลูกหลานไฮโซบ้างไหม ?” น้ำเสียงจริงจังเป็นการเป็นงาน กับคำถามไร้สาระของธนูดูจะไม่เข้ากันนัก หากว่านั่นเป็นเพียงแค่คำถามไร้สาระจริงๆ “หา ! ? หมายความว่ายังไงยะ นี่เหรองานของนายน่ะ ?” เธอถามกลับ เสียงสูงปานกระดิ่ง “เอาน่า ! พวกลูกหลานไฮโซที่ดังๆ น่ะ สูงประมาณฉัน อายุก็ไม่น่าจะมากกว่าฉันเท่าไหร่ แล้วก็ขับเก๋งเปิดประทุนสีดำรุ่นเล็กของญี่ปุ่น ข้อมูลมีแค่นี้” ธนูแจกแจงรายละเอียด “ถ้าขับรถเก๋งเปิดประทุนสีดำของญี่ปุ่นล่ะก็ พอจะรู้อยู่คนนึง แต่เขาอายุมากกว่านายนะ สัก 5 ปีเห็นจะได้” คำตอบของอีกฝ่าย ทำให้ธนูถึงกับชะงักมือที่กำลังรัวแป้นโน้ตบุ๊ก “ว่ามา ! รู้ข้อมูลแค่ไหนบอกมาให้หมดเลย” เขาสั่งเสียงเครียดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และนั่นทำให้อริศราไม่กล้าซักไซ้อะไรต่อ นอกจากพยายามค้นหาข้อมูลในสมองมาให้เขา “เขาเป็นทายาทนักธุรกิจรายใหญ่ของเมืองไทยเลยล่ะ ครอบครัวมีกิจการแฟรนไชส์หลายอย่าง แล้วก็ยังเป็นตัวแทนนำเข้าสินค้าดังๆ หลายยี่ห้อด้วย ตัวเขาเองก็จบปริญญาโทจากอเมริกากลับมาช่วยงานที่บริษัท รู้สึกจะเรียนที่นั่นตั้งแต่ไฮสคูล ขนาดพูดไทยยังไม่ชัดเลย...” หญิงสาวสาธยายอัตชีวประวัติของเป้าหมายชนิดเกือบละเอียด “พูดไทยไม่ชัดงั้นเหรอ ! ?” ธนูถามย้ำพลางนิ่วหน้า “เขามีน้องชายหรือเปล่า ?” “มีน้องชาย แก่กว่านายประมาณ 2 ปี แต่เรียนมหาวิทยาลัยปี 2 เพราะเคยเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนไทย - ญี่ปุ่นตอน ม.ปลาย นายไม่รู้จักเหรอ ตระกูลเกียรติพิทักษ์วรกุลน่ะ... เอ่อ แต่ที่ฉันรู้ประวัติพวกเขาดี ก็เพราะน้ำหวานชอบหรอกนะ” อริศราชำเลืองมองเพื่อนสาวคนสนิท ผู้คลั่งไคล้คุณหนูคนเล็กของไฮโซตระกูลนี้ และกำลังนั่งหาวอยู่ข้างๆ โดยไม่รู้ว่าธนูไม่ได้สนใจฟังประโยคเหล่านั้นเลย ในเมื่อจิตใจของเขาจดจ่ออยู่แต่กับข้อมูลที่ได้ยินเท่านั้น “เอารถพี่ชายมาใช้สินะ... ขอบใจมากอ้อ แค่นี้แหละ” เขาพึมพำ แล้วบอกขอบใจเป็นการตัดบท จนอีกฝ่ายงง กว่าจะรู้ตัวธนูก็วางสายไปเสียแล้ว “ทีนี้ก็เหลืออีก 4 คน” ธนูมองข้อมูลที่ค้นเพิ่มได้จากอินเตอร์เน็ต ก่อนจะปิดเครื่อง ลุกไปเปลี่ยนเสื้อผ้า และหลังจากนั้นไม่นานก็ขี่มอเตอร์ไซค์ออกไป พร้อมข้อมูลของพาหนะอีก 3 คันที่เหลือ ! !   เปลวแดดกลางกรุงยามสายอาจร้อน และระคายผิวหนังของใครหลายคน ตามอุณหภูมิโลกซึ่งเพิ่มขึ้นทุกวัน หากแต่ยังมีใครอีกคนที่ดูเหมือนจะโลดแล่นไปบนท้องถนนด้วยความรู้สึกเย็นสบาย ภายใต้อิทธิพลของดวงอาทิตย์ รวมไปถึงสารก่อมะเร็งนานาชนิด ในเมื่อปริศนาต่างๆ ล้วนค่อยๆ คลี่คลายไปทีละเปลาะ และเชื่อมโยงกันจนเกือบจะกลายเป็นจิ๊กซอว์ที่ครบถ้วนสมบูรณ์แบบ “ขอโทษครับ ผมมาขอพบคุณวิจิตรครับ” ธนูใช้เวลาไม่นานก็เดินทางมาถึงกองทะเบียน ชายหนุ่มเข้าไปถามหาบุคคลที่ภูผาเคยแนะนำไว้ แรกๆ อีกฝ่ายก็ออกมาพบเขาด้วยอาการงุนงง แต่พอธนูยื่นจดหมายของความร่วมมือจากภูผาให้ วิจิตรก็ต้อนรับเขาเป็นการใหญ่ “เป็น... เอ่อ... สายของผู้กองภูผาสินะ เชิญนั่งก่อนครับ มาร้อนๆ ดื่มน้ำเย็นๆ ก่อนดีกว่า จะรับน้ำอะไรดีครับ น้ำเปล่าใส่น้ำแข็ง หรือว่ากาแฟดี ชาเราก็มีนะครับ ชานมเย็น ชาดำเย็น ชาไข่มุก ชาไทย กาแฟเย็น กาแฟร้อน คาปูชิโน่ มอคค่า ลาเต้ เอสเปรสโซ โกโก้ หรือถ้ารักษาสุขภาพเราก็มีน้ำผลไม้ 100% ไว้บริการครับ น้ำส้ม น้ำองุ่น น้ำแครอท น้ำเก๊กฮวย ใบบัวบก จับเลี้ยง...” หัวหน้ากองทะเบียนสาธยายสารพัดเครื่องดื่ม จนธนูหลงคิดว่าหลุดเข้ามาในร้านน้ำปั่น “เอ่อ... ขอน้ำเปล่าก็ได้ครับ แค่น้ำเปล่าก็พอ” “น้ำเปล่าหรือครับ น้ำเปล่า ได้ครับ ! น้ำเปล่านะครับ... ได้ยินใช่ไหม น้ำเปล่า” วิจิตรรับออเดอร์แล้วหันไปบุ้ยใบ้สั่งแม่บ้านอีกที ขณะที่ธนูดึงกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อแจ็คเก็ต และคลี่ออกทบทวนตัวเลขมากมายในนั้นอีกครั้ง “ผมอยากให้คุณวิจิตรช่วยค้นชื่อเจ้าของรถ จากเลขเครื่องพวกนี้ให้หน่อยครับ” เขาส่งกระดาษแผ่นนั้นให้อีกฝ่าย หลังจากจิบน้ำตามมารยาทแล้ว “มีเลขเครื่องอย่างเดียวหรือครับ ?” วิจิตรรับกระดาษมาดู สีหน้าท่าทางเป็นการเป็นงานขึ้น “เปล่าครับ มีทั้งเลขเครื่อง เลขตัวถัง ยี่ห้อง สี รุ่นรถ ทุกอย่างยกเว้นเลขทะเบียนครับ” ธนูแจกแจงรายละเอียดอันเพียบพร้อมอย่างคนรู้งาน “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีปัญหาครับ รอสักครู่นะครับ” หัวหน้ากองทะเบียนยิ้มกว้าง ก่อนจะหมุนเก้าอี้ไปจัดการค้นข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ส่วนตัวภายในห้อง ในใจนึกชื่นชมธนูที่มีความสามารถเป็นถึงสายสืบให้กองปราบปราม แม้จะอายุยังน้อย ...ไม่มีใครรู้ว่าเขาได้ข้อมูลสำคัญที่ต้องใช้กุญแจรถไขเหล่านี้มาได้อย่างไร แม้แต่บรรดาสมาชิกแก๊งองค์กรลับใต้ดิน ซึ่งกำลังจะถูกเขารู้โฉมหน้าที่แท้จริงในอีกไม่กี่นาทีนี้ ไม่มีใครสักคนที่ระแคะระคายว่าตัวเองถูกสายสืบจากกองปราบฯล้วงความลับไปได้อย่างไร้ร่องรอย ยิ่งกว่าหัวขโมยชั้นเซียน “เรียบร้อยครับ ตามที่ปริ๊นท์ออกมาในนี้เลย ครบถ้วนทุกคันครับ” วิจิตรดึงกระดาษจากเครื่องปริ๊นท์ แนบไปกับกระดาษของธนูส่งคืนให้เขา “ขอบคุณมากนะครับ ขอบคุณแทนผู้กองแล้วก็กองปราบฯด้วยครับ” ธนูยกมือไหวผู้อาวุโสกว่า “ไม่เป็นไรครับ ไม่เป็นไร มีอะไรให้ช่วยก็มาได้ทุกเมื่อนะ” หัวหน้ากองทะเบียนวัย 50 รับไหว้ แล้วนั่งมองธนูเดินออกไป ด้วยใบหน้าที่ยังคงเปื้อนยิ้มอยู่ตลอดเวลา   ไม่กี่นาทีต่อมาธนูก็ออกมาโลดแล่นบนถนนอีกครั้ง เพียงแต่คราวนี้จุดหมายปลายทางคือร้านอาหารสำหรับมื้อเที่ยง เพื่อเติมพลังสำหรับภารกิจต่อไป และแล้วเขาก็สะดุดตาเข้ากับร้านอาหารตามสั่งในย่านชุมชนร้านหนึ่งซึ่งมีลูกค้ารุ่นเล็กรุ่นใหญ่ทั้งชายหญิงเดินเข้า - ออกตลอดเวลา “ข้าวผัดกระเพรา ไข่ดาว 1 จาน แล้วก็น้ำแข็งเปล่า 1 แก้วครับ” ชายหนุ่มสั่งอาหารกับแม่ครัวด้านหน้าร้านแบบอาคารพาณิชย์ หลังจากจอดมอเตอร์ไซค์ไว้ริมฟุตบาทเรียบร้อยแล้ว “ค่ะ รอสักครู่นะคะ” เจ้าของร้านควบตำแหน่งแม่ครัวยิ้มแย้มบอก ทั้งที่ยังก้มหน้าก้มตาผัดข้าวผัดกระเพรา กับทอดไข่ดาวให้ลูกค้าที่ยืนรออยู่ใกล้ๆ อย่างเอาเป็นเอาตาย ...ลูกค้าที่ว่าเป็นสาวน้อยร่างบาง ผมยาวถึงกลางหลังแต่รวบไว้ด้วยยางรัดผมสีดำ ผิวขาวเหลือง นัยน์ตากลมโตมีแววระแวดระวังและเด็ดเดี่ยวอยู่ในที ช่วยเสริมให้ใบหน้าหวานๆ ดูคมคายขึ้น เธออยู่ในชุดเสื้อยืดแขนยาว - กางเกงวอร์ม รองเท้าแตะ และกำลังรอข้าวกล่อง 5 กล่องอยู่ข้างเตาแบบไม่กลัวควันพริกรมหน้า ...เห 5 กล่องเชียวเหรอ ? ธนูมองกล่องโฟมที่ถูกบรรจุข้าวสวยร้อนๆ ตั้งรอไว้ นั่งคิดไปเรื่อยเปื่อยระหว่างรอข้าวเที่ยงของตัวเอง เธอคงไม่ได้กินคนเดียวหมด 5 กล่องนั่นหรอก แน่นอน ! 1 กล่องที่ไม่มีไข่ดาวนั่นต้องเป็นของเธอแน่ๆ ว่าแต่ผัดกระเพรากระทะต่อไปจะใช่ของเขาหรือเปล่านะ “ไงจ๊ะน้องสาว ได้เสบียงชูกำลังให้แฟนคลับแล้วเหรอจ๊ะ ตัวแค่เนี้ยมีเด็กในคอนโทรลตั้ง 4 คนเชียวเหรอ รับสมัครเพิ่มไหมเอ่ย พวกพี่ขอสมัครเป็นว่าที่สามีตัวจริงเลย สนไหมจ๊ะ ?” จิ๊กโก๋หน้าร้านที่รอท่าอยู่นานแล้ว ตรงรี่เข้ามาขนาบข้างทันทีที่เธอเดินหิ้วถุงข้าวกล่องใบใหญ่ออกมา “ไอ้หนุ่มไฮโซรถหรูนั่น มีหรือจะมาสู้พวกพี่ได้ หรือถ้าน้องสาวชอบแบบโฟร์วีล พี่ก็จัดให้ได้เหมือนกันนะจ๊ะ” จิ๊กโก๋กางเกงเข่าขาดอีกคนยื่นหน้าเข้าไปทำกะลิ้มกะเหลี่ย แต่เธอก็ยังเฉย “เอ๊... หรือว่าจะโปรดปรานแบบไอ้หมูอ้วนนั่น ชอบขี่มอเตอร์ไซค์เหรอ รถแบบนั้นมันไม่เท่หรอกขอบอก มาขี่รถกับพวกพี่ดีกว่า” มันถือโอกาสจับข้อมือเธอ ทำท่าจะฉุดไปต่อหน้าต่อตาคนทั้งร้าน จนธนูอดรนทนไม่ได้ที่จะนั่งอยู่เฉยๆ เขาลุกพรวดขึ้น สมองคิดหาวิธีจัดการ 2 จิ๊กโก๋แบบม้วนเดียวจบ แต่แล้วตอนนั้นเอง... “โอ๊ยยย ! !” กลับกลายเป็นจิ๊กโก๋มือไวที่เป็นฝ่ายร้องลั่น เมื่อถูกสาวน้อยเจ้าของมือที่ตัวเองจับอยู่ บิดแขนกลับหลังแบบไม่ปรานี ซ้ำยังถีบส่งจนมันถลาผวาไปกอดมอเตอร์ไซค์ริมฟุตบาท ล้มเป็นโดมิโนไปเสีย 3 คัน ปิดท้ายด้วยการตวัดเท้าเตะเสยปลายคางจิ๊กโก๋ที่เหลืออีกคน กระเด็นไปลงเข่งขยะ ท่ามกลางอาการอ้าปากค้างของทุกคนในร้าน หมายรวมถึงธนูซึ่งยืนค้างอยู่อย่างนั้นกระทั่งอีกฝ่ายขี่มอเตอร์ไซค์ออกไป “เฮ้ย !” ชายหนุ่มได้สติ วิ่งออกไปที่หน้าร้านทันได้เห็นว่าเธอเลี้ยวไปทางไหน แต่ครั้นจะตามไป... “เอ่อ... คุณคะ ขอโทษนะคะ เดี๋ยวจะทอดให้ใหม่นะคะ” แม่ครัวเจ้าของร้านยิ้มเจื่อนๆ ให้เขา ในกระทะมีไข่ดาวสภาพเกรียมสุดๆ ส่งกลิ่นเหม็นไหม้ อวดความดำแบบไม่เกรงใจใคร อันเป็นผลจากการชมฉากบู๊เด็ดเมื่อครู่จนลืมสนิทว่ากำลังประกอบกิจการงานอันใดอยู่ “ครับๆ ไม่เป็นไรครับ” ธนูยิ้มฝืดพอกัน และจำต้องกลับไปนั่งที่โต๊ะ สีหน้าครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา ไฮโซ... โฟร์วีล... ไอ้หมูอ้วน... แล้วก็ทะเบียนมอเตอร์ไซค์ที่เธอคนนั้นขี่ออกไปเมื่อกี๊ “ตรงกับทะเบียนที่คุณวิจิตรค้นได้” เขาพึมพำระหว่างที่อ่านทบทวนข้อมูลซึ่งพึ่งได้มาสดๆ ร้อนๆ เทียบกับตัวเลขและตัวอักษรในป้ายทะเบียนที่เขาเห็น “ภูมิลำเนาไม่ใช่ที่นี่ คงเช่าหอพักหรือไม่ก็อพาร์ตเมนท์อยู่ ต้องรีบหาให้เจอ !” ธนูบอกตัวเองหลังผูกข้อมูลทั้งหมดเข้าด้วยกัน แล้วมั่นใจว่าคนทั้งหมดคือสมาชิกแก๊งองค์กรลับใต้ดินที่เขากำลังตามหาอยู่ ! !   ณ หอพักเปี่ยมสุข หอพัก 3 ชั้นขนาดกลางในย่านชุมชน ซึ่งมีจำนวนผู้พักอาศัยเต็มแน่นทุกห้อง จากค่าเช่าแสนถูก อัธยาศัยไมตรีอันดีของเจ้าของ ระบบสาธารณูปโภคครบครัน และการคมนาคมที่สะดวกสบายไปเสียรอบด้าน ตึก... ตึก... ตึก... บัวบกหิ้วถุงข้าวกล่องขึ้นบันไดมาหยุดที่หน้าห้องห้องหนึ่งบนชั้นสอง ก่อนจะหมุนลูกบิดเปิดประตูเข้าไป เรียกเจ้าของสายตา 4 คู่ภายในนั้นให้หันมามอง ประหนึ่งกำลังรอคอยเธออยู่อย่างใจจดใจจ่อ “ช้าจัง คิดว่าแอบกินข้าวหมดแล้วซะอีก” ชายหนุ่มในชุดนักศึกษาแซวขำๆ ...เขาเป็นเจ้าของรูปร่างสูงโปร่ง ความสูงเกือบ 180 ซ.ม.พอๆ กับธนู ผมรองทรงปล่อยยาวถึงต้นคอ ผิวขาวและค่อนข้างได้รับการดูแลอย่างดี ตามแบบฉบับลูกคุณหนูเจ้าสำอาง จมูกโด่ง กับรอยยิ้มที่เหมือนจะเย้ยหยันคนทั้งโลก อันเป็นความเคยชินอย่างช่วยไม่ได้ รวมไปถึงนัยน์ตาฉายแววทีเล่นทีจริง เยือกเย็นระคนกล้าแข็งคู่นั้นด้วย และแน่นอน ! รถเปิดประทุนสีดำหน้าหอพักนั่นเป็นของพี่ชายซึ่งเขาหยิบยืมมา “เห็นฉันเป็นคนแบบนั้นหรือไง ! ถ้าคิดว่าฉันตะกละนักทีหลังก็ไปซื้อเองสิ !” บัวบกตอบฉุนๆ หน้าตาบอกบุญไม่รับ “บูดมาเชียวนะ เจอใครหาเรื่องมาหรือไง ?” หนุ่มร่างอ้วนเจ้าของห้องถามยิ้มๆ ด้วยใบหน้าที่บ่งบอกถึงความเป็นคนอารมณ์ดีอยู่ตลอดเวลา “ก็นิดหน่อย... ช่างเถอะ ! จัดการแล้ว” บัวบกเสียงอ่อนลง แต่นั่นทำให้ใครคนหนึ่งรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาทันที “รู้ใจกันดีเหลือเกินนะ” ทั้งคำพูดและน้ำเสียงแกมประชด ทำให้ทุกคนหันมามองไฮโซหนุ่มเจ้าของคำพูดอย่างชวิน ขณะที่ตัวเขาเองกลับทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ เหมือนไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ไม่ทันที่บัวบกจะได้ถามอะไร “นี่ ! ฉันสั่งผัดซีอิ๊ว ทำไมถึงกลายเป็นผัดกระเพรา แบบนี้ฉันจะกินไงได้ยังไง บอกแล้วไงว่าฉันไม่กินข้าว” หนุ่มแว่นนักศึกษาสมาชิกแก๊งอีกคนโวยวาย “ก็เส้นมันหมดจะให้ฉันทำยังไง กินไม่ได้ก็ไม่ต้องกินสิ กินยากนักก็” บัวบกอารมณ์เสียขึ้นมาอีกรอบ “เอาน่าๆ ชลมันไม่ได้กินยากหรอก มันกินข้าวแล้วปวดท้อง ชีวิตนี้เลยต้องกินแต่ก๋วยเตี๋ยว” ชวินแทรกขึ้นพลางหัวเราะขบขัน เปลี่ยนอารมณ์รวดเร็วเสียจนทุกคนพากันงุนงง “กล่องนี้ก็ให้ยุทธ์หรือไม่ก็จรกินก็แล้วกัน เดี๋ยวฉันพาไปเลี้ยงสุกี้” “ถ้าสั่งข้าวมาให้ฉันเห็นเหมือนคราวที่แล้ว ฉันจะจัดการโอนเงินบัญชีนายเข้ามูลนิธิยัยบัวบกให้หมดเลย” ลิชลขู่ สีหน้าเหี้ยมโหดบ่งบอกว่าพูดจริงทำจริง ...เขาเป็นเพื่อนมหาวิทยาลัยเดียวกับชวิน แต่เรียนคนละคณะ ชวินเรียนรัฐศาสตร์ ส่วนเขาเรียนวิศวคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้ยังเรียนนำหน้าหมอนั่น ซึ่งมัวไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ญี่ปุ่น 2 ปี ด้วย ใช่แล้ว ! มือแฮกเกอร์ประจำแก๊งก็คือเขาเอง “พูดแบบนี้ เกิดบัวโทรไปสั่งข้าวให้โต๊ะเรา ฉันก็เจ๊งคนเดียวสิเนี่ย” ชวินยังไม่เลิกแหย่หญิงสาว “ฉันจะไปรู้ได้ไงว่าพวกคุณจะไปกินสุกี้กันที่ไหน !” บัวบกตอบคำแซวของชวินแบบฉุนๆ เพราะยังไม่หายโมโหสองหนุ่ม “แสดงว่าถ้ารู้จะโทรไปสั่งว่างั้นเถอะ” ชวินแซวต่อ ทำเอาบัวบกค้อนหน้าคว่ำ “คุณชวินก็ชอบไปล้อให้เขาโกรธ เกิดเขาโมโหไล่โปะยานอนหลับ หรือคิดผงอะไรแปลกๆ ให้เรากิน มีลุ้นตายหมู่เลยนะครับ” ประยุทธ์หนุ่มร่างอ้วนเจ้าของห้อง และมือสะเดาะกุญแจประจำแก๊ง ร่วมด้วยช่วยแซวต่อ มีเพียงขจรหนุ่มนักมวยผิวคล้ำล่ำบึ้กเท่านั้นที่ยังคงนั่งเคี้ยวข้าวเงียบๆ “ตกลงที่ให้ฉันลางานมูลนิธิมานี่ เพื่อจะให้มาฟังเรื่องไร้สาระพวกนี้ใช่ไหม !” บัวบกเท้าเอวตั้งท่าจะเอาเรื่อง ในฐานะที่เธอเป็นทั้งเจ้าหน้าที่มูลนิธิบ้านเด็กกำพร้า อดีตเด็กกำพร้าของมูลนิธิ และนักปรุงผงยานอนหลับประจำแก๊ง “เปล่า... แค่เห็นว่าเหนื่อยกันมาทั้งเดือน ไม่มีวันหยุด เลยจะให้พักร้อนสัก 3 - 4 วัน” ชวินตอบยิ้มๆ แต่นั่นกลับทำให้ทุกคนหันมาจ้องหน้าเขา ด้วยความแปลกใจระคนเคลือบแคลงใจ “คิดยังไง ร้อยวันพันปีไม่เห็นเคยคิดอยากพัก ไม่ได้ทำงานอดิเรกพวกนี้แล้วนอนไม่หลับ แกเคยพูดไว้ อย่าบอกนะว่าจำไม่ได้” ลิชลจ้องหน้าเพื่อนราวกับจะจับผิด “ช่างฉันเถอะน่า ! ทำไม ! ไม่ดีหรือไง” หัวหน้าแก๊งหนุ่มยังคงนั่งละเลียดข้าวกลางวันของตัวเอง เป็นทองไม่รู้ร้อน “ไม่ใช่ว่านายระแวงเรื่องหมอนั่น เลยคิดจะให้ทิ้งช่วงสักระยะ แล้วเอาเรื่องพักร้อนมาบังหน้าหรือไง นายเองก็คิดเหมือนกันใช่ไหมล่ะว่า หมอนั่นไม่ใช่คนไม่เต็มบาท แต่เป็นพวกไม่ธรรมดา” หนุ่มแว่นแฮกเกอร์ประจำแก๊งยังคงสงสัยในพฤติกรรมแปลกๆ ของคนเป็นหัวหน้า “ฉันบอกว่าพักร้อนก็คือพักร้อนสิ !” ชวินเสียงเข้มสวน บ่งบอกว่าไม่ต้องการให้ใครออกความเห็นอะไรอีก ซึ่งทุกคนต่างรู้จักนิสัยส่วนตัวข้อนี้ของเขาดี จึงไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมาอีก นอกจากปล่อยให้เขานั่งจัดการกับมื้อเที่ยงของตัวเองจนพอใจ และนึกอยากกลับ “คนอื่นเอาไว้เสร็จงานใหญ่ครั้งหน้า ฉันจะพาไปเลี้ยงบุฟเฟ่ต์... ไป ! โทษทีที่ให้นายนั่งรอ” ...และในที่สุดเวลานั้นก็มาถึง “นั่งรอไม่ว่า ดันมาเคี้ยวข้าวตุ้ยๆ ให้ดูนี่สิ !” ลิชลบ่นอุบ แล้วลุกตามชวินออกไป “ฉันก็ต้องกลับก่อนนะ ป่านนี้แม่ครูคงวุ่นวายใหญ่แล้ว ไม่น่าลางานมาฟังเรื่องไร้สาระเลย ให้ตายเถอะ !” บัวบกตั้งท่าจะเดินออกไปอีกคน “อ้าว ! แล้วข้าวกล่องนี่ล่ะ” ประยุทธ์ชูถุงข้าวกล่องที่บัวบกวางทิ้งไว้บนโต๊ะ “แล้วแต่นายสิ ให้จรไปก็ได้” ชวินหันมาตอบคำถามแทนบัวบกที่ดูจะสนใจการกลับไปยังมูลนิธิเหนือสิ่งอื่นใด  “ฉันไม่เอา ขอบใจ” ขจรปฏิเสธสั้นๆ พร้อมกับลุกเดินนำหน้าบัวบกออกไป “เฮ้ย ! นี่จะกลับกันหมดเลยเหรอ ฉันอุตส่าห์หยุดงานทั้งวัน อยู่เป็นเพื่อนกันก่อนสิ” ประยุทธ์โอดครวญระหว่างที่เดินตามทุกคนออกไปหน้าห้อง “โทษว่าที่รองประธานท่านสิ นัดมาทำไม ไม่เห็นจะเป็นเรื่องเลย” บัวบกมิวายค้อนให้ชวิน “โอเคๆ ฉันยอมรับผิดก็ได้ เดี๋ยวจะชดใช้ให้มื้อหน้าก็แล้วกัน” หัวหน้าแก๊งหนุ่มหัวเราะรับอย่างอารมณ์ดี แต่แล้วความรู้สึกแปลกๆ เหมือนกำลังถูกใครบางคนจ้องมอง ก็ทำให้เขาต้องเบนสายตาลงไปเบื้องล่าง บริเวณที่จอดรถหน้าหอพัก ...ใครคนหนึ่งกำลังมองขึ้นมาเช่นกัน ผู้ชายสวมแจ็คเก็ต ขี่มอเตอร์ไซค์ และสวมหมวกกันน็อคปิดบังใบหน้า ซึ่งกำลังเลื่อนกระจกหน้าหมวกลง “ดูอะไรของนายน่ะ ?” ลิชลมองลงไปข้างล่างบ้าง เช่นเดียวกับสมาชิกแก๊งคนอื่นที่มองตามสายตาดุๆของชวินลงไป ทันได้เห็นเขาคนนั้นขี่มอเตอร์ไซค์ออกไป “ผู้ชายคนนั้น...” บัวบกพึมพำ คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นเขาที่ร้านอาหารตามสั่ง ขณะที่ชวินนึกไปถึงบุรุษปริศนาเมื่อคืน และเริ่มเป็นกังวลมากขึ้น ถึงแม้จะเชื่อมั่นว่ามนุษย์ร้อยหน้าพันอาชีพอย่างประยุทธ์จะสามารถเอาตัวรอดได้ก็ตามที
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD