บัวบกกรีดร้องลั่น เมื่อกระสุน 2 นัดตัดเชือกบันไดลิงขาดสะบั้น มือที่เอื้อมไปจับมือชวินหลุดออกจากกัน ขณะที่ตัวเธอร่วงตกลงไปในสระว่ายน้ำพร้อมๆ กับบันไดลิงส่วนที่ขาด
“บัววว !!” ชวินร้องเรียกเธอเสียงลั่นปานจะขาดใจ ตรงข้ามกับธนูที่ลอบยิ้มกับตัวเองอยู่ในเงามืด
“ทีนี้รู้หรือยังล่ะครับคุณชวิน ว่าคนเดียวก็ใช่ว่าจะทำอะไรไม่ได้”
“แก !!”
สองหนุ่มจ้องหน้ากันอีกครั้ง หากแต่คราวนี้รอยยิ้มอย่างผู้มีชัยปรากฏอยู่บนใบหน้าของธนู
“ต่อไปผมจะเล็งที่ใบพัดเลยนะครับ ขอบอกว่าไมได้ขู่” ธนูยกปืนขึ้นเล็งไปที่ใบพัดของเฮลิคอปเตอร์ตามที่พูด ทำเอาทุกคนสะดุ้ง เพราะเห็นฝีมือแล้วว่าความแม่นยำของเขาเหนือชั้นขนาดไหน แน่นอน ! ธนูเองก็รู้ว่าอีกฝ่ายคิดเช่นนั้น แม้ว่าความจริงแล้ว เขาจะมีตัวช่วยเป็นแว่นขาเดียวที่มีคุณสมบัติอีกอย่างก็คือ ระบบการคำนวณวิถีกระสุน
“รีบไปสิ ยังจะมัวรออะไรอีก !” ลิชลหันไปขึ้นเสียงใส่นักบิน ที่ยังรีๆ รอๆ คำสั่ง ไม่กล้าตัดสินใจโดยพลการ
“จะบ้าหรือไง บัวยังอยู่ข้างล่างนะ หรือแกจะบอกว่าให้ทิ้งบัวไว้ที่นี่ หัวใจแกทำด้วยอะไร !” ชวินกระชากคอเสื้อลิชลด้วยความโมโห
“แกน่ะสิบ้า ทำตัวไม่สมกับเป็นหัวหน้า ขนาดแกมันยังรู้ตัวจริง มีเหรอพวกเราทุกคนจะเหลือ ยัยนั่นน่ะกลับมาช่วยเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ถ้าแกยังดันทุรังจะอยู่ตรงนี้ เราจะจบเห่กันหมด !” ลิชลผลักชวินไปกระแทกขอบประตู จนอีกฝ่ายเสียหลักเกือบร่วงตกลงไป หนำซ้ำกระสุนที่ธนูยิงขึ้นมา ยังปลิวเฉี่ยวหัวไปเสียหลายลูก นั่นเองที่ทำให้นักบินประจำเครื่องต้องตัดสินใจบังคับเฮลิคอปเตอร์ออกไปจากตรงนั้น
“บัว !!” ชวินร้องเรียกเธออีกครั้ง น้ำเสียงปวดร้าว “ฉันสัญญาว่าจะกลับมาช่วยเธอ รอฉันนะบัว !!” เขาตะโกนก้องแข่งกับเสียงเฮลิคอปเตอร์ที่ค่อยๆ บินห่างออกไป ไกลออกไปจนลับสายตา
“เป็นฉากที่ประทับใจจริงๆ ว่าไหม ?” ธนูลูบหัวสุนัขตัวโปรดบ่งบอกว่ากำลังพูดกับมัน ทำเอาบัวบกที่กำลังจะอ้าปากตอบโต้ กัดปากอย่างแค้นๆ โดยไม่รู้ตัวว่าถูกอีกฝ่ายจับตามองอยู่ตลอด
“เอ้า ! ขึ้นมาสิ หรือคิดจะยืนรอคุณชวินอยู่อย่างนี้ เธอคงเปื่อยตายซะก่อนแน่ๆ” คราวนี้ชายหนุ่มยื่นมือให้บัวบกที่ยังคงยืนตัวเปียกโชกอยู่ในน้ำ
“นายจงใจให้พวกนั้นทิ้งฉันไว้ใช่ไหม ! หึ ! ถ้าคิดจะจับฉันไว้เป็นตัวล่อล่ะก็ ขอเตือนไว้ก่อนว่าพวกฉันไม่ได้หมูอย่างที่คิดหรอกนะ” เธอจ้องหน้าเขา แววตากร้าว และยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่คล้ายเป็นการประท้วง แต่นั่นเองที่ทำให้ธนูหัวเราะออกมาอย่างขบขัน
“ขำอะไร !?” บัวบกถามเสียงเขียว ตาเขียว บ่งบอกถึงอารมณ์เดือดปุดๆ
“ก็ขำเธอนะสิ ฉันรู้ว่าเธอเก่ง แต่ถ้าเธอใช้ผงพวกนั้นตอนนี้ คนที่มันจะออกฤทธิ์ด้วยน่ะ ไม่ใช่คนที่อยู่เหนือลมอย่างฉันหรอกนะ”
คำตอบของธนูทำเอาบัวบกชะงัก มือที่ค่อยๆดึงหลอดบรรจุผงยานอนหลับออกมาจากเอว ถูกทิ้งลงข้างตัวทันทีราวกับจะกลบเกลื่อน... เธอเกลียดพวกหูไวตาไว รู้ทันคนอื่นไปซะทุกเรื่องจริงๆ !
“ต่อให้อยู่ในสระ เธอก็หนีไปไหนไม่ได้หรอก ขึ้นมาซะเถอะ ก่อนที่จะเป็นปอดบวมตาย เสื้อผ้าตั้งกี่ชั้น อมน้ำเข้าไปตั้งเท่าไหร่” ธนูดักคอไปเรื่อยๆ และยังคงยื่นมือให้บัวบกจับเพื่อจะช่วยดึงเธอขึ้นจากน้ำ
“ไม่ต้องมาทำเป็นรู้มากหรอก !” เธอปัดมือเขาออก แล้วเดินลุยน้ำขึ้นมาด้วยตัวเอง แต่กลับเสียฟอร์มสะดุดล้ม ซ้ำยังผวาเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของธนูอย่างพอดิบพอดีเสียด้วย
“ว้าย !... นี่ ! ตาบ้า ปล่อยฉันนะ” บัวบกผลักธนูออกจนเขาแทบล้มก้นจ้ำเบ้า
“อ้าวๆ คุณเองนะที่เป็นฝ่ายมาเกาะผมน่ะ คุณเจ้าหน้าที่มูลนิธิ”
คำพูดของธนูทำให้บัวบกที่กำลังก้าวขาขึ้นจากสระ ถึงกับชะงักไปอีกครั้ง... ผู้ชายคนนี้เป็นใครกันแน่ ทำไมเขาถึงรู้ตัวจริงของชวิน และรู้ว่าเธอเป็นใคร หรือจะเป็นอย่างที่ลิชลบอก เขาอาจจะรู้ตัวจริงของทุกคนในแก๊งแล้วก็ได้ บัวบกครุ่นคิดอย่างวิตก และกว่าจะรู้สึกตัว เธอก็ถูกธนูใส่กุญแจมือเรียบร้อยเสียแล้ว
“นี่นายทำอะไรน่ะ !?” หญิงสาวร้องถามด้วยความตกใจ พร้อมกับพยายามขยับมือทั้งสองข้างที่ถูกกุญแจมือล็อคไพล่หลังอยู่
“ก็... ปลอดภัยไว้ก่อนไง” ธนูกอดอกยิ้มๆ เป็นเวลาเดียวกับที่ภูผาและลูกน้องตำรวจอีกคนช่วยกันตะกายบันไดขึ้นมาได้สำเร็จ
“คุณธนูอยู่ตรงนั้นครับ” พงศ์นายสิบจบใหม่ เจ้าของหุ่นมะขามข้อเดียวเป็นเอกลักษณ์หันไปบอกภูผา ทันทีที่เห็นธนูในชุดสูทขาวเป็นสัญลักษณ์ และนั่นก็เป็นเสมือนเสียงเรียกให้ธนูกับบัวบกหันไปมองด้วย
“อ้าว ! ผู้กอง ไหวไหมครับนั่น ?” ธนูดึงแขนบัวบกพาเดินเข้าไปหาภูผา ซึ่งอยู่ในสภาพที่ยาชายังไม่หมดฤทธิ์ โดยมีพงศ์จากหน่วยเสริมที่ 3 ช่วยพยุงหิ้วปีกไว้ข้างหนึ่ง
“ต้องไหวสิ ! แล้วนี่... พวกที่เหลือหนีไปได้หรือครับ ?” ภูผาถาม ตาชำเลืองมองบัวบกที่ยืนสีหน้าบูดบึ้งอยู่ข้างๆ ธนู
“ครับ นายชวินคงโทรให้เฮลิคอปเตอร์มารับ ต้องขอโทษจริงๆ นะครับที่ผมปล่อยให้อีก 4 คนหนีไปได้” ธนูมองสภาพของภูผา พลางนิ่วหน้าเครียดเล็กน้อย
“ไม่หรอก ถ้าไม่ได้น้องธนู... งานนี้คงเหลวทั้งหมดแน่ ตำรวจ 2 หน่วย... โดนยาชาขยับไมได้ ลิฟต์ก็ถูกตัดไฟ พี่ยังคิดว่า... แผนพังหมดแล้ว พอดีได้ยินเสียงปืน... เลยรีบขึ้นมา นึกไม่ถึงว่าน้องธนู... จะมาดักรอพวกนั้นบนนี้” ภูผาขยับปากออกเสียงพูดอย่างยากลำบากเต็มที กว่าจะครบถ้วนทั้งประโยค
“คุณธนูเก่งจริงๆ เลยนะครับ ผมล่ะยกให้เป็นไอดอลเลย” พงศ์มองชายหนุ่มในชุดสูทขาวตรงหน้าอย่างชื่นชม
“ไม่หรอกครับ ผมก็แค่จะปิดทางหนีทั้งหมดก็เท่านั้นเอง” ธนูตอบยิ้มๆ โดยที่มือข้างหนึ่งยังคงจับแขนบัวบกไว้ไม่ยอมปล่อย
“จริงๆ นะครับ ผมนับถือความสามารถของคุณธนูจริงๆ เลย ขนาดพวกผมเฝ้ากันอยู่หน้าคอนโด ถ้าผู้กองภูผาไม่วิทยุมาตาม ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าข้างในเกิดอะไรขึ้น” นายสิบพงศ์สาธยายวีรกรรมของตัวเองและพวกพ้อง ชนิดฟ้าดินยังอายแทน
“นี่ ! ให้มัน... น้อยๆ หน่อย พูดแบบนี้... ไม่อาย... เขาหรือไง” ภูผาปรามอย่างระอาๆ
...สามหนุ่มยืนคุยกันภายใต้การจับตามองของบัวบก จากบทสนทนาที่ได้ยินทำให้เธอยิ่งสงสัยในสถานะของธนู เขาคงไม่ใช่แค่สายสืบธรรมดาแน่ แต่แค่นี้ไม่ทำให้เธอนึกกลัวหรอก หญิงสาววางแผนหนีไว้ในใจ ทั้งวิธีทำให้หลุดจากการจับกุม และทางหนีลงไปข้างล่าง โดยลืมนึกถึงบางสิ่งบางอย่างข้างๆ ตัวไปเสียสนิท
“แฮร่...” เจ้าลัคกี้สุนัขตำรวจของธนูคำรามอยู่ในลำคอ เมื่อเท้าของเธอเบี่ยงไปถูกเท้าของมันเข้า
“ถ้าไม่อยากโดนยิ่งกว่าที่คุณชวินของเธอโดน ก็อย่าคิดหนีดีกว่า อย่างน้อยลัคกี้มันก็ไม่ปล่อยเธอไปง่ายๆ หรอก” ธนูหันไปยิ้มให้สุนัขตัวโปรด ส่วนมันก็กระดิกหางรับด้วยความดีใจที่เจ้านายเรียกชื่อ
“คุณชวินไม่ได้เป็นอะไรกับฉัน !” บัวบกสวนขึ้นทันควันอย่างโกรธๆ ทำเอาผู้กองภูผากับนายสิบตำรวจพงศ์ซึ่งไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรกับเขาได้แต่ยืนงง
“เรื่องนั้นมันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับฉันหรอกนะ แต่อยากจะบอกให้เธอรู้ไว้ว่า ฉันซึ่งเป็นผู้ชายก็ย่อมจะต้องรู้ความคิดของผู้ชายด้วยกัน รับรองได้เลยว่าไม่เกิน 3 วัน 7 วัน หมอนั่นต้องรีบแจ้นมาช่วยเธอแน่ แต่ก็อย่าหวังว่าจะรอดออกไปได้ล่ะ” ธนูดักคอ แทงใจดำบัวบกอีกครั้ง
“คิดว่าขู่แค่นี้ฉันจะกลัวหรือไง พวกตำรวจไร้น้ำยา วันๆ เอาแต่สรวลเสเฮฮา รับเงินจากพวกนักการเมืองเลวๆ มาใช้จ่ายสบายใจ ไม่สนทุกข์สุขประชาชน โจรขโมยมันถึงได้เต็มถนน”
คำพูดตอบโต้ของบัวบก ทำให้สามหนุ่มหันมาจ้องหน้าเธอแบบอึ้งๆ
“เธอก็เลยแก้แค้นพวกนักการเมือง กับปั่นหัวตำรวจด้วยการตั้งแก๊งขึ้นมาทำตามอำเภอใจแบบนี้น่ะเหรอ ?” ธนูพูดขึ้นแทนตำรวจทั้งสองนาย
“ประชาชนคนเดินดินเขาก็ชื่นชอบกันดีนี่ นายไม่ได้ดูข่าวหรือไง หรือดูแต่อิจฉาที่พวกฉันทำงานได้ดีกว่า ไม่สิ ! พวกนายไม่คิดจะยืนอยู่ข้างประชาชนอยู่แล้วมากกว่า” บัวบกยิ้มเหยียด นัยน์ตาแข็งกร้าวขึ้นราวกับกำลังโกรธแค้นอะไรอยู่
“คิดว่าสิ่งที่พวกเธอทำมันถูกสินะ แล้ววันนี้ล่ะ การที่พวกเธอทำร้ายเจ้าพนักงานให้ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ การที่พวกเธอจงใจทำให้ของส่วนรวมของคนในคอนโดนี้ใช้การไม่ได้ นั่นคือสิ่งที่ถูกต้องแล้วงั้นเหรอ เธอรู้หรือเปล่าว่าถ้าพวกเขาเอาเรื่อง พวกเธอจะโดนข้อหากี่กระทง ! สิ่งที่พวกเธอทำในวันนี้ มันทำเพื่อตัวเองหรือเพื่อคนเดินดินทั้งประเทศ !”
คราวนี้คำพูดของธนูทำให้บัวบกกลายเป็นฝ่ายยืนอึ้งไปบ้าง
“เธอไม่จำเป็นต้องตอบฉันหรอก อยากพูดอะไรไปพูดที่กองปราบฯ ดีกว่า” ธนูพูดพร้อมกับดึงแขนบัวบกไปที่บันได
“นี่เราต้องตะกายบันไดหนีไฟลงไป อีกแล้วใช่ไหมครับเนี่ย ?” พงศ์ยิ้มฝืด เพราะยังไม่หายเหนื่อยจากขาขึ้นที่ต้องรับภาระหิ้วปีกภูผาขึ้นมาด้วย
“ไม่หรอกครับ ลิฟต์ซ่อมเสร็จแล้ว ผมได้ยินเสียง” ธนูตอบขรึมๆ แล้วก็เป็นไปตามที่เขาพูด เพราะทันทีที่ทั้งหมดลงบันไดมาจนถึงหน้าลิฟต์
“อ้าว ! คุณธนู” จ่าอาวุโสซึ่งได้รับคำสั่งให้ขึ้นมาดูสถานการณ์ร้องทักชายหนุ่มด้วยความดีใจ ซึ่งธนูก็ยิ้มรับ ยิ่งสร้างความสงสัยให้บัวบกมากขึ้น
“เดี๋ยวแจ้งทางกองปราบฯด้วยนะว่าเราจับกุมได้แค่คนเดียว กำลังจะนำตัวผู้ต้องหากลับไป” ภูผาสั่งลูกน้องระหว่างที่ก้าวเข้าไปในลิฟต์
“เดี๋ยวผมตามลงไปแล้วกันนะครับ ขอสำรวจอะไรนิดหน่อย” ธนูบอกภูผา แล้วย่อตัวลงลูบหัวลัคกี้ “รู้หน้าที่ใช่ไหมลัคกี้ ?”
“ดูมันเชื่องกับคุณธนูมากนะครับ” พงศ์มองลัคกี้ที่ยืนกระดิกหางเป็นเชิงรับคำ โดยไม่เห่าส่งเสียงรบกวนผู้คนในคอนโด
“ครับ ถึงจะฝึกมันแบบสุนัขตำรวจ แต่เราก็ไม่ได้เลี้ยงมันแบบนั้นตลอดเวลา มันจะรู้ของมันเองว่าเวลาไหนควรทำอะไร” ธนูตอบพงศ์ แต่ตามองบัวบกคล้ายเป็นการย้ำว่าอย่าคิดหนี ขณะที่บัวบกจ้องตอบเขาแววตากร้าว กระทั่งประตูลิฟต์ปิดลง
“ท่าทางจะแค้นฝังหุ่นน่าดู” ชายหนุ่มพึมพำ แล้วเดินลงบันไดหนีไฟต่อไป พลางสอดส่ายสายตาสำรวจหาสิ่งต้องสงสัย จนถึงสถานที่อันเป็นจุดหมายที่แท้จริง มันคือ ห้องพักของ ส.ส.ณวัฒน์ !!
“คุณธนู มาด้วยหรือครับเนี่ย ?”
“แล้วเจอผู้กองหรือยังครับ ?”
บรรดาจ่าทั้งหลายภายในห้องพากันร้องทักชายหนุ่มด้วยความยินดี ทันทีที่หันไปเห็นเจ้าของสูทขาวกับชุดอันเป็นเอกลักษณ์
“ผู้กองลงไปข้างล่างแล้วครับ พร้อมผู้ต้องหาที่จับกุมได้ หนีไปได้ 4 คน แต่ก็คงลอยนวลไปได้อีกไม่นานหรอกครับ”
คำตอบของธนูทำให้ทุกคนค่อยใจชื้น อย่างน้อยก็ดีกว่ากลับกองปราบฯ มือเปล่าให้ถูกผู้บังคับบัญชาเล่นงานยกทีม
“แล้ว... ได้เก็บผงพวกนั้นกลับไปให้ฝ่ายพิสูจน์หลักฐานหรือยังครับ ?” ธนูวกเข้าคำถามอันเป็นที่มาของการมาเยือนที่นี่
“ยังเลยครับ ผู้กองก็สั่งอยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่รู้จะใช้อะไรเก็บดี กลัวมันจะฟุ้งขึ้นมาทำพิษอีก นี่ก็ยังไม่ค่อยจะหายดีสักเท่าไหร่ มันเป็นผงยาชาน่ะครับ แค่ถูกผิวหนังส่วนใดส่วนหนึ่งก็ออกฤทธิ์แล้ว” จ่าคนหนึ่งตอบ และพยายามขยับแขนขาไปมา คล้ายเป็นการขับไล่อิทธิฤทธิ์ของยาชาที่ยังไม่หมดไป
“อย่างนั้นหรือครับ” ชายหนุ่มนิ่วหน้าครุ่นคิด ตามองไปรอบๆ ห้อง ก่อนจะไปสะดุดเข้ากับบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้เขายิ้มออกมาได้
“คุณธนูนี่เข้าใจคิดนะครับ ใช้เครื่องดูดฝุ่นดูดผงพวกนั้นใส่ถุงกลับซะ เราก็ปลอดภัยหายห่วง”
“ถ้าขืนใช้วิธีเดิมๆ พวกเราคงต้องลงไปนอนตาค้าง ตัวแข็งทื่ออีกรอบแน่ๆ”
จ่ากลุ่มเดิมเอ่ยชมความคิดเฉียบแหลมของธนู ระหว่างลงลิฟต์มาที่ชั้นล่างของคอนโดมิเนียมหรู เพื่อเตรียมเดินทางกลับกองปราบปราม
“ผมหันไปเห็นพอดีน่ะครับ ถ้าในห้องไม่มีเครื่องดูดฝุ่น ผมก็คงคิดไม่ออกเหมือนกันว่าจะทำยังไง” ธนูซึ่งถอดผ้าคลุมออก และเปลี่ยนเสื้อสูทเป็นแจ็คเก็ตแล้วตอบอย่างถ่อมตัว
“แล้วคุณธนูขอซื้อผ้าขนหนู จากฟิตเนสคอนโดไปทำไมล่ะครับนั่น ?” จ่าอาวุโสคนหนึ่งถามขึ้นด้วยความสงสัย... เป็นความสงสัยของทุกคน ตั้งแต่เห็นธนูแวะเข้าไปในฟิตเนสและกลับออกมาพร้อมผ้าขนหนูแล้ว
“ผมทำให้ผู้ต้องหาตกน้ำน่ะครับ เปียกทั้งตัวเลย ดีที่ส.ส.ณวัฒน์ให้เจ้าหน้าที่คอนโดฯ มาอยู่เฝ้าห้องฟิตเนส ไม่งั้นผมคงไม่รู้จะไปหาผ้าขนหนูที่ไหน ปล่อยให้กลับทั้งอย่างนั้นอาจจะเป็นปอดบวมได้”
คำตอบของธนูยิ่งทำให้ทุกคนพากันชื่นชมน้ำใจ และความมีมนุษยธรรมของชายหนุ่ม ยกเว้นก็แต่ใครคนหนึ่งที่มีความคิดตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง
“คุณธนูใจดี แล้วก็เป็นคนดีมากเลยนะครับเนี่ย ผมยกให้เป็นไอดอลในดวงใจเลย ทั้งเก่งทั้งแสนดี” พงศ์ซึ่งนั่งคุมตัวบัวบกอยู่หลังรถกระบะ มองธนูด้วยความปลาบปลื้มชื่นชมยิ่งกว่าเดิม ตรงข้ามกับบัวบกที่เห็นว่ามันเป็นแค่การเสแสร้งแกล้งทำเป็นคนดีของเขา
“ผมไม่ได้ดีเลิศอะไรขนาดนั้นหรอกครับ” ธนูตอบยิ้มๆ แล้วหันไปทางบัวบก “เอ้า ! ผ้าขนหนู ผืนนี้เช็ดผม เช็ดตัว ผืนนี้เอาไว้ห่มกันลม เอ้อ ! ลืมไปว่าทำเองไม่ได้นี่นะ งั้นเดี๋ยวฉันทำให้แล้วกัน” ชายหนุ่มเก็บผ้าขนหนูคืนมา และตั้งท่าจะกระโดดขึ้นไปบนรถกระบะ แต่แล้ว...
“ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน !” บัวบกตวาดเสียงขุ่นจนเขาชะงัก
“คุณธนูอุตส่าห์หวังดี ไปขึ้นเสียงใส่แบบนั้นได้ยังไง รู้หรือเปล่าว่า...” พงศ์อ้าปากเตรียมเทศนาสั่งสอน
“ทำไม ! เขาเป็นลูกเจ้าใหญ่นายโตคนไหนเหรอ จะใช้อำนาจมาข่มขู่ฉันหรือไง ก็เพราะแบบนี้แหละประเทศไทยมันถึงได้ตกต่ำลงเรื่อยๆ ทำยังไงมันก็ไม่มีทางเจริญขึ้นมาได้หรอก” หญิงสาวเสียงเขียวใส่พงศ์ จนอีกฝ่ายพูดไม่ออกไปอีกคน
“ผมเป็นแค่ประชาชนธรรมดาครับพี่พงศ์ สิ่งที่ผมทำอยู่ทุกวันนี้ ผมทำในฐานะประชาชนคนหนึ่งที่หวังดีกับประเทศชาติ แต่กับเรื่องเมื่อกี๊...” ธนูบอกพงศ์ที่ได้แต่นั่งตาปริบๆ แบบอึ้งๆ น้ำเสียงยังคงเต็มไปด้วยความเยือกเย็น ยกเว้นประโยคสุดท้าย “ผมคงจะต้องขอจัดการเรื่องส่วนตัวกับผู้ต้องหาคนนี้สักหน่อย !” เขาหันขวับไปหาบัวบก ทำเอาเธอเริ่มใจคอไม่ดี เพราะไม่รู้จักนิสัยที่แท้จริงของเขา และไม่ทันที่ใครจะได้ตั้งตัว ธนูก็กระโดดขึ้นไปบนกระบะรถ พร้อมผ้าขนหนูที่คลี่ออกมาพาดบ่าไว้
“นี่ ! นายจะทำอะไรน่ะ !?” บัวบกโวยวายลั่นพร้อมกับพยายามลุกหนีธนู แต่ก็กลับถูกเขาล็อคตัวและดึงหมวกไอ้โม่งของเธอออก จนผมที่ขมวดอยู่คลายออกและยาวสยายลงมา
“ฉันไม่ปล่อยให้เธอปอดบวมตาย ให้ตำรวจถูกประณามหรอกจะบอกให้ !” เขาคลี่ผ้าขนหนูออกมาเช็ดผมให้บัวบก โดยที่มือข้างหนึ่งยังล็อคตัวเธอเอาไว้แน่น
“ปล่อยนะ ! บอกว่าอย่ามายุ่งไง” บัวบกชะงักไปนิดหนึ่ง ก่อนจะเริ่มต้นโวยวายอีก
“ร้องไปเถอะ ไม่มีใครช่วยเธอหรอก ไร้สาระ !” ธนูถกแขนเสื้อสีดำเปียกชุ่มของเธอขึ้น แล้วเช็ดน้ำที่ไหลออกมาจากเสื้อผ้าที่อมน้ำให้ “อ้อ ! แล้วก็อย่าคิดลอบกัดฉันเด็ดขาด ลัคกี้มันรู้หน้าที่ของมันดี อย่าหาว่าฉันไม่เตือน” ชายหนุ่มดักคอ จนบัวบกต้องลดขาข้างที่ยกขึ้นเตรียมพร้อมทำอย่างที่เขาว่าลง พลางชำเลืองมองไปที่สุนัขของเขาซึ่งนั่งจ้องเธออย่างไม่วางตา เตรียมพร้อมทำหน้าที่แบบสแตนด์บาย
“เดี๋ยวผมขี่มอเตอร์ไซค์กลับนะครับ ลัคกี้ให้มันอยู่ทำหน้าที่ของมัน เกิดผู้ต้องหากระโดดรถหนี จะได้มีมันช่วยตามหา" เขาหันไปบอกพงศ์อีกครั้ง ระหว่างที่กดไหล่เจ้าของนัยน์ตาขวางๆ ให้นั่งลง และคลี่ผ้าขนหนูอีกผืนห่มให้เธอ
“ครับคุณธนู รอบคอบจังเลยนะครับ” พงศ์ยิ้มปลื้ม แล้วนั่งมองธนูที่กระโดดลงจากรถเดินออกไป
รถกระบะตราโล่แล่นเข้ามาจอดด้านหน้าอาคารสำนักงานกองปราบปราม ในตอนที่เข็มสั้นและเข็มยาวของนาฬิกาแขวนผนังชี้บอกเวลาตี 1 ยามที่ผู้คนกำลังหลับสบายอยู่บนเตียงนอนภายในบ้านของตัวเอง ราวกับจะทำหน้าที่มินิมาร์ท ที่เปิดให้บริการแก่โจร ขโมย ย่องเบา ฆาตกรมือสมัครเล่น นักฆ่ามืออาชีพ ยันผู้ก่อการร้ายทั้งหลายตลอด 24 ชั่วโมง
“จับได้แค่คนเดียวอย่างนั้นเหรอ !?” พล.ต.ต.เกรียงไกรเปิดประตูห้องสอบสวนเข้ามา สีหน้าท่าทางเคร่งเครียด จนเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาที่เผลอสบสายตาด้วย อยากกลายร่างเป็นเต่า แล้วหดหัวเข้าไปอยู่ข้างในกระดองเสียให้รู้แล้วรู้รอด
“ครับท่าน อีก 4 คนหนีไปด้วยเฮลิคอปเตอร์ครับ” ภูผาลุกขึ้นทำความเคารพพร้อมกล่าวรายงาน
“แล้วแกทำไมไม่กลับไปนอน พรุ่งนี้มีเรียนไม่ใช่หรือไง จะมานั่งรออะไรอีก !” ท่านนายพลพยักหน้า แล้วหันไปดุลูกชาย ซึ่งนั่งทำหน้าปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่ภายในห้องด้วย นั่นเองที่ทำให้บัวบกรู้ว่าธนูอยู่ในฐานะอะไรสำหรับตำรวจชั้นประทวนเหล่านั้น
“ชิ ! ที่แท้ก็ใช้อำนาจบาตรใหญ่ของพ่อเล่นบทสายสืบ” เธอเหยียดปากพึมพำอย่างดูถูก โดยไม่รู้ว่าข้อมูลทั้งหมดทั้งปวงที่ธนูได้มา ล้วนมาจากความสามารถของเขาทั้งสิ้น
“กะจะอยู่ฟังการสอบสวนซะหน่อยนี่ครับ” ธนูโอดครวญ แต่ก็จำยอมลุกขึ้นเดินออกจากห้อง เพราะตัวเองก็รู้สึกง่วงเหมือนกัน
“เดี๋ยวก่อน !” เสียงเรียกเข้มๆ ของคนเป็นพ่อดังขึ้นอีก “แกเอาปืนนั่นมาจากไหน อย่าบอกนะว่า... ?”
“ครับ ก็ของพ่อที่วางอยู่บ้านไง” คนเป็นลูกยิ้มทะเล้น พลางตบปืนพกที่เหน็บอยู่ที่เอวกางเกง
“เจ้าบ้า ! เกิดไปลั่นถูกใครเข้าจะทำยังไง แกจะหาเรื่องเดือดร้อนให้ฉันไปถึงไหน เอากลับไปเก็บเดี๋ยวนี้ แล้วห้ามเอาออกมาอีกเด็ดขาด เข้าใจไหม !?” ท่านนายพลออกคำสั่ง สีหน้าเคร่งเครียดหนักกว่าเดิม
“คร้าบบบ” ชายหนุ่มรับคำยิ้มๆ แล้วเปิดประตูออกไป
...หลังจากนั้นการสอบสวนชุดใหญ่ก็เริ่มต้นขึ้น !!