...โครม!...
เพียงก้าวลงจากเกี้ยวเจ้าสาวเด็กน้อยในชุดยาวรุ่มร่ามก็ลงไปวัดความกว้างและแข็งของพื้นหน้าตำหนักชินหวางเสียแล้ว แต่หากนางจะคาดหวังให้เจ้าบ่าวตัวเท่ายักษ์มีน้ำใจมาช่วย เห็นทีจะยากเพราะเขานั้นเลือกจะเดินข้ามกายที่นอนจุกอยู่ที่พื้นจนน้ำตาปริ่มดวงตาแล้วไปอุ้มพี่สาวคนงามที่อยู่อีกเกี้ยวด้านหลังก้าวเข้าประตูตำหนักไปไกลลับตาเสียแล้ว เด็กน้อยทำได้เพียงมองตามแล้วระบายลมหายใจ แสนเจ็บปวดที่พี่ชายช่างใจร้ายใจดำต่อตนเองยิ่งนัก
“หวางเฟย...ให้กระหม่อมช่วยนะพ่ะย่ะค่ะ”
...ท่านเซียนใจดี...
มือขาวสะอาดที่ยื่นมาตรงหน้าเหมือนมือของเทพเซียนที่ส่งมาช่วยเหลือเด็กน้อยไกลบ้านพลัดเมืองเช่นเฉียวปิงเซียวเหลือเกินเด็กน้อยไม่รีรอที่จะเร่งส่งมือสั้นป้อมของตนเองให้แก่อีกฝ่ายด้วยความเต็มใจอย่างยิ่ง เพราะพี่ชายใจดีตรงหน้าดูมีรอยยิ้มทั้งหวังดีและจริงใจ ดีกว่าพี่ชายที่ไทเฮาบอกแกนางว่าเขาคือสามีและเขาคือเจ้าชีวิตของนางนั้นคนต่อไปหาใช่บิดาหรือเปล่าพี่ชายต่างมารดาอีกต่อไป
“เกอเก่อมีนามว่าอันใดเจ้าค่ะ”
นางจะจดจำมิตรคนแรกในเทียนคงเฉิงแห่งนี้เช่นบุรุษตรงหน้าเอาไว้ให้ขึ้นใจเลยทีเดียว ต่อให้นางสมองไม่ดีจดจำคนไม่เก่งแต่พี่ชายใจดีผู้นี้นางจะไม่ยอมลืมเขาเด็ดขาด เพราะเขาคือเทพเซียนใจดีของนางไปเสียแล้วนั่นเอง อันที่จริงในวูบหนึ่งของเด็กน้อยวัยหกหนาวอยากให้พี่ชายผู้นี้คือคนที่จะเป็นเจ้าชีวิตและเป็นโลกทั้งใบเป็นท้องฟ้าเป็นปฐพีมิใช่คนใจดำที่สนใจแต่สาวงามเช่นหานไท่หมิง...
“กระหม่อมแซ่เฉินนามว่าเซินพ่ะย่ะค่ะชินหวางเฟย”
บุรุษผู้อยู่ในชุดเครื่องแบบองครักษ์หลวงประจำหนานสุ่ยเอ่ยตอบเจ้าสาวตัวน้อยด้วยน้ำเสียงแสนจะอบอุ่นผสานไปกับดวงตาที่ดูเมตตาล้ำลึก ซึ่งมันอบอุ่นดังเฉียวปิงเซียวนางถูกสายตาคู่นั้นโอบกอดปลอบขวัญเลยทีเดียว
“แซ่เฉินนามว่าเซิน...แซ่เฉินนามว่าเซิน...ได้เสี่ยวปิงจดจำเฉินเกอเก่อได้แล้ว ลำบากเฉินเกอเก่อต้องช่วยเหลือเด็กโง่เขลาเช่นเสี่ยวปิงเสียแล้ว”
เจ้าสาวตัวน้อยที่ยังสูงไม่เท่าช่วงเอวขององครักษ์เฉินถึงกับโค้งให้อีกฝ่ายอย่างที่เด็กวัยเพียงหกขวบจะเข้าใจวิธีขอบคุณในแบบที่มารดาเคยสั่งสอนมาของชาวจงหยวน ส่วนฐานะอันใดเด็กน้อยเช่นเฉียวปิงเซียวนางย่อมยังไม่ค่อยแจ้งใจ เท่าใดนักว่าที่แท้บัดนี้นางคือนายคนที่สองซึ่งมีอำนาจรองก็เพียงชินหวางผู้เป็นพระสวามีเท่านั้น มิสมควรจะก้มศีรษะโค้งกายขอบคุณเพียงองครักษ์ผู้หนึ่งของวังหลวงเช่นนี้
“ชินหวางเฟยเกรงใจไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเซินเร่งคุกเข่าลงกับพื้นแล้วก้มศีรษะต่ำไม่กล้าแหงนเงยใบหน้าขึ้นสบดวงตาทองอร่ามสว่างไสวงดงามตรงหน้าทั้งที่กายน้อยนั้นพอท่านองครักษ์เฉินคุกเข่าลงเลยทำให้กายเจ้าสาวชุดงดงามเจิดจรัสเลยพอจะสูงขึ้นมาเท่ากับหัวไหล่ท่านองครักษ์หนุ่มเล็กน้อย เฉียวปิงเซียวเลยถอยห่างเพราะตกใจที่บุรุษตัวโตมาก้มศีรษะให้ตนเองเช่นนี้
“เอ่อ ท่านองครักษ์เฉิน ท่านอย่าคิดมากเลย ท่านหญิงหกของข้านั้นนางอายุก็เพียงเท่านี้จึงยังไม่อาจแจ้งใจต่อฐานะตนเอง จึงแสดงกิริยาไม่ระวัง เช่นไรต่อไป เสี่ยวเตี๋ยนั้นจะพยายามสั่งสอนนางให้รู้ความขึ้นในภายหน้าอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
เสี่ยวเตี๋ยผู้รู้เรื่องราวทุกสิ่งดีเร่งห้ามทัพไม่ให้ทั้งนายน้อยของนางและท่านองครักษ์ผู้เป็นหัวหน้าขบวนรับตัวเจ้าสาวมาจากแคว้นต้านโจวได้ผลัดกันขอบคุณไม่เลิกเสียทีหาไม่จะไม่ทันฤกษ์มงคลเป็นแน่ที่สำคัญแม่นมซางเหนียงจือนางกำลังหันกลับมามองด้วยดวงตาเรืองแสงสีเขียวขุ่นส่งกลับมาเร่งนางและนายน้อยของตนเองแล้ว
“มาเถิดเจ้าค่ะท่านหญิงหก ใกล้ฤกษ์เต็มทนมาจัดอาภรณ์ให้ดีอีกหน่อยนะเจ้าค่ะ”
เสี่ยวเตี๋ยจัดการงานตรงหน้าอย่างคล่องแคล่ว เพียงครู่นางก็จัดการจนเจ้าสาวตัวน้อยงดงามดังเทพธิดาในชุดเครื่องทรงเต็มพิธีการของชินหวางเฟยแห่งหนานสุ่ยมิขาดตกไปสักเพียงหนึ่งชิน
แต่เพียงแค่เท้าแสนสั้นก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างองอาจนางเป็นลูกสาวของท่านหญิงผู้เป็นแม่ทัพใหญ่แห่งเผ่าเชียวนาจะมาอ่อนแอให้ชาวจงหยวนขบขันนั้นไม่สมควรอย่างยิ่ง!
"เสี่ยวเตี๋ยเจ่เจ๊...เตาไฟมันใหญ่ไปหรือไม่"
ผู้ที่เพิ่งบอกตนเองให้เข้มแข็งแต่พอเห็นขนาดของเตาไฟกลับถอยหลังมาตั้งหลักเสียหกก้าวแล้วกวักมือให้สาวใช้คนสนิทก้มศีรษะลงมาให้นางกระซิบสักหน่อย ซึ่งเสี่ยวเตี๋ยนั้นมองไปก็เห็นจริง ชินหวางผู้นี้คิดจะให้ตกแต่งท่านหญิงหกหรือจะเผาท่านหญิงตัวน้อยของนางตั้งแต่พิธีข้ามเตาไฟกันเล่า?
เด็กน้อยมองเตาซึ่งนางคิดว่าหากนำแพะสักตัวมาอย่างคงสุกได้ในเวลาไม่นานแล้วก็ท้อ สายตาเลยไปที่กงกงผู้ยืนวางสีหน้าเหี้ยมโหดลำคอสั้น ๆ เลยหดสั้นเพิ่มขึ้นไปอีกสองส่วนเห็นแล้วก็ช่างน่าสงสารแต่พอนางนึกถึงคำสั่งของไทเฮาว่านอกบ้านชินหวางคือบุรุษผู้เป็นใหญ่และมากอำนาจที่สุด ทว่าในยามในตำหนักส่วนหลัง นับจากวันนี้เป็นนางที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เด็กน้อยจึงดึงเปลือกตาแคบลงสองส่วน
"เราจะดับไฟถ่านในเตานับว่าผิดประเพณีใช่หรือไม่"
ท่านหญิงน้อยจากต้านโจวทบทวนสิ่งที่เพิ่งเรียนรู้มาจากตำหนักไทเฮา แล้วคิดทบทวนว่าจะผ่านด่านเตาไฟนี้ไปได้เช่นไรไม่ให้ตนเองกลายเป็นชินหวางเฟย อย่างไฟสุกหอมชวนชิมก่อนเข้าหอตามธรรมเนียมของชาวหนานสุ่ยไปเสียก่อน
"เฉินเกอเก่อ...มาทางนี้"
นิ้วกลมสั้นกระดิกเรียกท่านองครักษ์ที่ไทเฮาทรงประทานมาให้ดูแลนางอีกคน แล้วรอยยิ้มมากเล่ห์เฉิดฉายจนเสี่ยวเตี๋ยเริ่มหายใจไม่เต็มท้อง...ของท่านหญิงหกก็ปรากฏเห็นแล้วนางจึงยกชายเสื้อขึ้นซับเหงื่อในทันทีก็...ท่านหญิงน้อยของนางนั้นธรรมดาที่ใดกัน...ปั่นป่วนจนเหล่าอนุภรรยาของจวินกั๋วกงร่ำไห้มาล้วนบ่อยครั้งเหล่าพี่ชายพี่สาวร่วมบิดาหรือก็ขยาดไม่กล้ารังแก ไปจนถึงคนทางกระโจมของท่านข่านฉู่เล่อตูผู้เป็นตาก็ล้วนปั่นป่วนมาแล้วทั้งหมดกับรอยยิ้มนี้
"อุ้มหน่อย...น๊า...เฉินเกอเก่ออุ้มเสี่ยวปิงหน่อย เตาไฟก็ใหญ่ เมล็ดถั่วเมล็ดงานั่นก็มาก เสี่ยวปิงเดินเองคงได้ล้มขายหน้าอีกเป็นแน่"
ดวงตาสีทองสวยแวววาวออดอ้อน มาพร้อมรอยยิ้มแสนหวานเห็นเขี้ยวข้างซ้ายโผล่ออกมาอวดโฉม พัดลายหงส์ถูกกำแน่นที่มือข้างขวาแล้วนางก็ชูแขนทั้งสองข้างรอคอยการถูกอุ้มเต็มที่...ก็จำได้ในกฎที่ได้อ่านไม่ได้ห้ามให้นางถูกอุ้มข้ามเตาไฟสักหน่อย...
...นางไม่ได้ทำผิดธรรมเนียมและแหวกม่านประเพณีใดสักนิด...ก็เพียงให้พี่ชายใจดีช่วยอุ้มนางก้าวข้ามเตาไฟเท่านั้นจะผิดที่ใดกัน ยิ่งมองเห็นอานม้า กับเมล็ดธัญพืชทั้งหลายเด็กน้อยจึงคิดว่านางอาศัยขาแข็งแรงของพี่ชายใจดีนี่แหละงดงามเหมาะสม!
ขนาดเสี่ยวเตี๋ยผู้คุ้นเคยกับนายน้อยของนางมานับตั้งแต่ยังแบเบาะเจอรอยยิ้มและสายตาออดอ้อนยังไม่เคยต้านทานพลังทำลายล้างสูงนี้ไปได้แล้วองครักษ์หนุ่มมีหรือจะทานทนใจแข็งไม่ช่วยอุ้มนางไปได้ดังนั้น ใบหน้าของเจ้าบ่าวที่แต่เดิมก็บึ้งตึงอยู่แล้วพอเห็นว่าแผนแกล้งไม่ได้ผลที่คิดว่ายายเด็กน่าชิงชังจากชายแดนข้ามเตาไฟไม่ผ่านล้มเหลวพิธีตกแต่งนางก็ไม่ต้องมีขึ้นถล่มลงจนไม่เหลือชิ้นดีจึงมีสีดำทะมึนแตะแต้มใบหน้าเพิ่มขึ้นไปอีกสามส่วน!
แต่เฉียวปิงเซียวนอกจากหนูน้อยจะไม่สะทกสะท้านต่อสายตาอยากฆ่านางให้ตายแล้วยังมีแก่ใจส่งยิ้มหวานเผื่อแผ่ไปให้คนตัวโตหน้ายักษ์อีกด้วย
...ก็เพียงสายตาในยามที่ข้าอยู่จวนท่านพ่อถูกบรรดาแม่ๆ ทั้งหลายลงมือฆ่าออกบ่อยข้ายังไม่กลัวเลย...