ตั้งแต่เกิดมากระทั่งอายุสิบเจ็ดปีนอกจากบิดาที่นางพบหน้าบ่อยครั้งแล้วบุรุษอื่นอันซูเซี่ยก็แทบไม่เคยเห็น ในขณะที่คนที่รายล้อมรอบเกี้ยวของนางในยามนี้ก็ล้วนแต่เป็นองครักษ์หญิงที่เก่งกาจ
เพราะขบวนใหญ่จำเป็นต้องใช้เวลาถึงสองเดือนจึงจะถึงเมืองหลวงแคว้นเหมิง อันซูเซี่ยไม่เคยเดินทางไกลทั้งขณะเดินทางนางยังต้องอยู่ในรถม้าที่โคลงเคลงจึงทำให้นางรู้สึกวิงเวียนตลอดเส้นทางสองเดือนมานี้จึงกินได้น้อยและเอาแต่อาเจียน
ดังนั้นจึงทำให้น้ำหนักของนางลดและร่างกายผ่ายผอมจนแม่นมเผิงเป็นกังวลคิดว่าหากเข้าสู่เมืองหลวงแคว้นเหมิงเมื่อใดคงต้องบำรุงร่างกายกันยกใหญ่เพื่อไม่ให้ผู้ใดดูถูกว่าองค์หญิงแดนสู่ไยจึงได้ผ่ายผอมเพียงนี้
หลังจากล้างหน้าถูฟันเปลี่ยนเสื่อผ้าแล้ว อันซูเซี่ยก็รับประทานอาหารเช้าง่าย ๆ ซึ่งก็คือโจ้กผักที่นางชื่นชอบนั่นเอง
นางเป็นสตรีเรียบง่ายทั้งยังอ่อนน้อม นั่นก็เพราะได้รับการฝึกฝนนิสัยมาจากสำนักชีตั้งแต่เด็ก เพราะอันซูเซี่ยเป็นเช่นนี้แม่นมเผิงจึงเป็นกังวลยิ่งนัก
ที่แคว้นเหมิงนั้นแม้อันซูเซี่ยจะแต่งเข้าในฐานะฮองเฮา ทว่าเพราะนางอ่อนแอบอบบางเพียงนี้กลัวว่าพระสนมพวกนั้นจะทำร้ายนางเอาได้
จึงได้แต่หวังว่านางจะได้รับความเอ็นดูจากฝ่าบาทเพื่อให้คนผู้นั้นคอยปกป้องคุ้มครองไม่ให้นางถูกรังแก
และสิ่งที่แม่นมเผิงเป็นกังวลก็เริ่มต้นขึ้นเมื่ออันซูเซี่ยเดินทางเข้าวังหลวง
ฮ่องเต้ต้าหลงกลับเมินเฉย มิได้ออกมาต้อนรับนาง เขาเพียงแต่ส่งอำมาตย์ผู้หนึ่งเข้ามาคารวะและต้อนรับนางแทน
มหาอำมาตย์ผู้นั้นแม้ว่าภายนอกจะดูนอบน้อมแต่แววตานั้นช่างเย่อหยิ่งและเย็นชายิ่งนัก เขาไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริงของอันซูเซี่ยนั่นเป็นเพราะว่านางใช้ผ้าคาดหน้าปกปิดเอาไว้ตามธรรมเนียมของสตรีสูงศักดิ์ที่ยังมิได้ออกเรือน
แม่นมเผิงรู้สึกโกรธและขุ่นเคืองแต่ก็ไม่อาจแสดงออกได้ยังคิดจะส่งรายงานเรื่องนี้กลับไปที่แดนสู่คอยดูเถิดว่านายเหนือหัวของนางจะจัดการฝ่าบาทแคว้นเหมิงเช่นไรที่ไม่ไว้หน้าคนเช่นนี้
ทว่าอันซูเซี่ยกลับรู้ทันแม่นมของตนเอง นางไม่ต้องการให้บิดามารดาต้องมาห่วงใย แค่เสียหน้าเล็กน้อยเท่านี้นางย่อมทนได้จึงได้เอ่ยปากห้ามปรามเอาไว้เสียก่อน
“ทูลองค์หญิงบัดนี้ฝ่าบาทติดราชกิจสำคัญจึงไม่อาจมาต้อนรับได้ กระหม่อมในฐานะหนึ่งคือผู้สำเร็จราชการจึงมาต้อนรับองค์หญิงแทน หวังว่าองค์หญิงคงไม่ถือสาพ่ะย่ะค่ะ”
อันซูเซี่ยยามนี้ยังไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็นฮองเฮาทั้งยังไม่ได้เข้าพิธีอภิเษกสมรสจึงต้องอยู่ที่ตำหนักรับรองชั่วคราวเสียก่อน
ทว่าตำหนักรับรองนี้กลับทำให้แม่นมเผิงรู้สึกขุ่นเคืองยิ่งนัก แม้ว่าจะได้รับการทำความสะอาดอย่างดีแต่เห็นได้ชัดว่าเป็นตำหนักรับรองที่เก่าทั้งยังคับแคบยิ่งหากเทียบกับฐานะอันสูงส่งขององค์หญิงมิหนำซ้ำยังเป็นตำหนักที่ห่างไกลผู้คนตั้งอยู่บริเวณท้ายวังหลวงอันกว้างใหญ่
นี่มิเท่าว่านำองค์หญิงของนางมาขังเอาไว้หรือ ถูกลบหลู่ดูหมิ่นเช่นนี้แม่นมเผิงรู้สึกโกรธยิ่งนักอย่างไรก็จะพาองค์หญิงกลับแดนสู่ให้ได้
อันซูเซี่ยกลับแสนดียิ่ง นางเกรงว่าด้วยเรื่องนี้จะทำให้เสด็จพ่อของนางไม่พอใจ และอาจเกิดปัญหายิ่งใหญ่ตามมา
“อย่าถือเอาความเลย ที่นี่ถึงจะเล็กแต่ก็ไม่ได้แย่เท่าใดมิใช่หรือ ตอนที่ข้าอยู่สำนักชียังต้องนอนห้องเล็กแคบเก่า ๆ เพื่อฝึกฝนจิตใจอยู่หลายปี หากเทียบกันแล้วที่นี่ประดุจแดนสวรรค์เลยก็ว่าได้”
“องค์หญิงเพคะ ไม่อาจเปรียบเทียบกันได้นะเพคะ ยามนั้นเพราะองค์หญิงต้องบำเพ็ญธรรมจึงต้องปฏิบัติเช่นนั้น ทว่ายามนี้องค์หญิงมาที่นี่ในฐานะฮองเฮา ฝ่าบาทไม่มาต้อนรับด้วยตนเอง อำมาตย์ผู้นั้นยังให้องค์หญิงมาอยู่ที่นี่จึงนับว่าดูแคลนกันยิ่งนัก หม่อมฉันอย่างไรก็ต้องส่งจดหมายถึงท่านอ๋องแล้ว”
แต่อย่างไรองค์หญิงน้อยก็เด็ดเดี่ยวยิ่งนัก
“เอาเถิด ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ยังไม่ได้แต่งเป็นฮองเฮาทั้งยังไม่อยากให้ท่านพ่อท่านแม่เป็นห่วง ท่านก็อย่าส่งจดหมายแจ้งข่าวเลยนะข้าไม่อยากให้ท่านพ่อกับท่านแม่เป็นกังวล ท่านอาจารย์สอนว่าเราไม่อาจตัดสินสิ่งใดเพียงเพราะได้เห็นเพียงครั้งเดียว ข้ายังไม่ได้พบฝ่าบาทเลยด้วยซ้ำ หากพบแล้วพระองค์ไม่ดีต่อข้าจริง ๆ ยามนั้นข้าจะฟังความแม่นมได้หรือไม่”
ใจหนึ่งนั่นเป็นเพราะว่าองค์หญิงน้อยเกรงว่าตนเองจะเป็นตัวก่อหายนะระหว่างสองแคว้นทำให้ประชาชนเดือดร้อน
อีกใจหนึ่งหากฝ่าบาทเมินเฉยต่อนางก็นับเป็นเรื่องดี นั่นเป็นเพราะว่านางยังไม่พร้อมที่จะแต่งงานกับผู้ใดจริง ๆ ขอเพียงเขาปล่อยนางเอาไว้เช่นนี้ไปอีกสักหน่อยนางก็รู้สึกดียิ่งแล้ว
แม่นมเผิงรู้สึกอึดอัดใจยิ่งนักแต่ในเมื่อองค์หญิงของนางเป็นคนดื้อรั้นเช่นนี้ก็ได้แต่อดทนเอาไว้ให้ได้มากที่สุด
หลังจากนั้นไม่นานกูกูผู้หนึ่งก็ได้นำนางกำนัลมาถวายการปรนนิบัติว่าที่ฮองเฮาอีกสองคน ทั้งหมดล้วนเป็นนางกำนัลคนใหม่ไร้ประสบการณ์การทำงานในวังหลวง
อันซูเซี่ยที่นั่งอยู่หลังฉากกั้นเอ่ยเบา ๆ กับแม่นมของตนเอง
“เห็นหรือไม่ว่าอย่างไรฝ่าบาทก็มิได้ทอดทิ้งข้าเสียหน่อย”
แม่นมเผิงกลับยิ่งไม่พอใจ กล่าวเสียงดังขึ้นว่า
“องค์หญิงของข้ามาที่นี่ในฐานะพระคู่หมั้น อีกไม่นานก็จะอภิเษกเป็นฮองเฮา ทว่ากลับส่งนางกำนัลไร้ประสบการณ์มาถวายการรับใช้ มิใช่ว่าเป็นการดูหมิ่นหรือ”
กูกูผู้นั้นกลับเชิดใบหน้าขึ้นมาพยายามส่งสายตามององค์หญิงที่อยู่หลังฉากกั้นทว่ามองอย่างไรก็มองไม่เห็น
ด้วยธรรมเนียมแดนสู่เคร่งครัดนัก ก่อนที่จะอภิเษกกับฝ่าบาทองค์หญิงไม่สามารถเปิดเผยใบหน้าของตนเองได้
กูกูคิดเยาะหยันในใจ องค์หญิงคงมีรูปโฉมอัปลักษณ์เฉกเช่นข่าวลือกระมัง ฝ่าบาทคงเห็นเช่นนั้นจึงได้ละเลยองค์หญิงและส่งมาไว้ที่ตำหนักร้างท้ายวังหลวง
ถึงจะคิดดูถูกคนในใจแต่วาจาของกูกูก็ยังเอ่ยอย่างสุภาพ
“ท่านแม่นม ข้าน้อยเป็นเพียงบ่าวผู้หนึ่ง ทำหน้าที่เพียงส่งนางกำนัลให้องค์หญิง เรื่องนี้ท่านเอ่ยกับข้าก็เปล่าประโยชน์แล้วเจ้าค่ะ เมื่อไม่มีสิ่งใดแล้วข้าน้อยขอตัว”
กูกูผู้นั้นจากไปแล้ว เหลือทิ้งนางกำนัลทั้งสองคนเอาไว้ อันซูเซี่ยสั่งให้ทุกคนลุกขึ้นแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงร่าเริง
“พวกเจ้ามีนามว่าอันใด”
นางกำนัลทั้งสองจึงเอ่ยว่า
“บ่าวซานหลิงเพคะ”
“บ่าวซานหลันเพคะ”
อันซูเซี่ยถูกแม่นมประคองออกมาจากหลังฉากกั้น ใบหน้าของนางยังคงมีผ้าปกปิดเอาไว้ครึ่งหน้า ทว่าดวงตากระจ่างใสคู่นั้นเห็นได้ชัดว่ากลมโตงดงามชวนมองเพียงใด
“เช่นนั้นเล่าให้ข้าฟังว่าพวกเจ้าก่อนหน้าที่จะมาเป็นนางกำนัลทำสิ่งใดมาบ้าง”
นางกำนัลทั้งสองประหลาดใจ แต่ก็เล่าให้อันซูเซี่ยฟังแต่โดยดี
“ที่แท้บ้านเดิมพวกเจ้าก็ลำบากเพียงนี้ เช่นนี้มาเป็นคนของข้าแล้วนับเป็นพี่น้องกัน ซานหลิง ซานหลัน ในเมื่อพวกเจ้าปลูกผัก เลี้ยงไก่เป็น เช่นนั้นก็สอนข้าเถิด ข้าอยู่ที่นี่ว่างเหลือเกินแล้ว”
ด้วยอุปนิสัยไม่ถือตนเช่นนี้ของอันซูเซี่ย ทำให้นางกำนัลที่แต่เดิมถูกมหาอำมาตย์ซูส่งมาเป็นสายลับ เริ่มจะมีใจเอนเอียงแล้ว
องค์หญิงอันซูเซี่ยเป็นองค์หญิงที่ดียิ่ง ผู้ใดจะทำร้ายนางลงกันเล่า
อันซูเซี่ยไม่เคยรู้มาก่อนว่า เดิมทีตำแหน่งฮองเฮานี้มหาอำมาตย์ซูนั้นผลักดันให้บุตรสาวของตนเองโดยตลอด ด้วยบุตรสาวของเขาคือซูเฟยพระสนมอันดับหนึ่งของฝ่าบาท
คาดไม่ถึงว่าก่อนที่ไทเฮาจะสวรรคตได้เอ่ยถึง คำสัญญาหมั้นหมายระหว่างแคว้นเหมิงกับแดนสู่ ทั้งยังนำแผ่นสัญญาซึ่งทำจากหนังสัตว์สลักลายมือชื่อของทั้งสองแคว้นเอาไว้มาให้ฝ่าบาททอดพระเนตร
คำมั่นสัญญานี้เสด็จปู่ของฝ่าบาทได้ทำไว้กับเสด็จปู่ขององค์หญิงอันซูเซี่ย อย่างไรก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ทำให้ฝ่าบาทถูกบีบบังคับให้รับองค์หญิงแดนสู่มาเป็นฮองเฮา
ด้วยแผ่นหนังสัญญานี้จึงทำให้เรื่องราวพลิกผัน ตำแหน่งฮองเฮาจึงได้เปลี่ยนมือไปอยู่กับอันซูเซี่ยธิดาคนเล็กของท่านอ๋องแคว้นสู่อย่างที่เขาไม่คาดคิดมาก่อน
ด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้มหาอำมาตย์ซูคิดวางแผนกำจัดองค์หญิงอันซูเซี่ยให้พ้นทางจึงได้ส่งนางกำนัลทั้งสองมาจับตาดูองค์หญิงเอาไว้
สี่เดือนต่อมา
ด้วยภารกิจของฝ่าบาทที่จำเป็นต้องเดินทางไปคลายทุกข์ให้กับพสกนิกรที่ประสบภัยน้ำท่วมที่มณฑลเจิ้นจึงทำให้พระองค์ยังไม่จัดงานอภิเษกสมรสขึ้นมาเสียทีอีกทั้งยังมีคำทำนายที่เกิดขึ้นกระทันหันเรื่องฝ่าบาทไม่อาจจัดงานอภิเษกสมรสได้จนกว่าจะพ้นเดือนสิบไปแล้ว
คนที่สบายใจก็คืออันซูเซี่ย แต่คนที่เป็นกังวลแทบจะกินไม่ได้นอนไม่หลับก็คือแม่นมเผิง
“บ่าวทราบมาว่าอำมาตย์ผู้นั้นคือบิดาของซูเฟยเพคะ ในวันที่ให้โหรหลวงทายดวงชะตาผูกดวงเพื่อกำหนดวันสมรสจู่ ๆ โหรหลวงผู้นั้นก็กล่าวอ้างเรื่องนี้ขึ้นมา แคว้นเหมิงเชื่อในคำทำนายยิ่งนักดังนั้นยามนี้ฤกษ์สมรสก็ไม่อาจกำหนดได้จนกว่าจะพ้นเดือนที่สิบไปก่อน ทำแบบนี้ไม่เรียกว่าร่วมมือกับโหรหลวงกลั่นแกล้งจะเรียกอะไรได้อีกเพคะ”
อันซูเซี่ยกำลังตั้งใจเย็บปักเสื้อด้วยตนเอง นางอยู่ที่นี่รู้สึกดียิ่งนักด้วยยามนี้เข้าสู่หน้าร้อนแล้ว เดิมทีแคว้นสู่มีอากาศหนาวตลอดปีทำให้นางไม่ค่อยได้สัมผัสกับแสงแดด ทว่าแคว้นเหมิงนั้นกลับมีแสงแดดที่อบอุ่นยิ่งนักพลอยทำให้อารมณ์ของนางดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ
“อยู่ที่นี่พวกเราได้กินอาหารอร่อยทั้งแกงร้อน ข้ายังได้ปลูกผักเลี้ยงไก่จนเติบโตสนุกยิ่ง ไม่มีผู้ใดก้าวเข้าตำหนักมารังแก ด้านหลังตำหนักยังมีน้ำตกอันรื่นรม อากาศที่นี่ก็อบอุ่นสบายแม่นมเผิง พวกเราแค่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปอย่างมีความสุขได้หรือไม่ ข้ายังไม่อยากแต่งงานจริง ๆ”
ที่สำคัญก็คือซานหลิงกับซานหลันยังรู้ทางลับหรือจะเรียกว่าทางสุนัขลอดพานางไปเที่ยวนอกวังหลวงอยู่บ่อยครั้ง ยิ่งทำให้นางมีความสุขและรู้สึกเป็นอิสระมากกว่ายามที่อยู่ที่แดนสู่เสียอีก
“แต่หากปล่อยไปเนิ่นนานยิ่งกว่านี้ฝ่าบาทอาจลืมองค์หญิงไปก็ได้นะเพคะ”
อันซูเซี่ยแย้มยิ้มงดงาม
“เช่นนั้นก็ดี ข้าจะหนีกลับแดนสู่แล้วไปหลบที่สำนักชี สักหลายเดือนค่อยโผล่ออกมาเล่าเรื่องให้ท่านพ่อ ท่านแม่รู้ดีหรือไม่”
แม่นมเผิงโกรธจนควันแทบจะออกจากหู ไม่รู้ว่าตนเองรู้สึกโกรธผู้ใดมากกว่ากัน ระหว่างฝ่าบาทแคว้นเหมิงที่หลงลืมว่าที่ฮองเฮาไปแล้วหรือว่าองค์หญิงน้อยที่แสนจะจิตใจดีที่ตนเองเลี้ยงมากับมือผู้นี้
ยามนี้เป็นฤดูร้อนของแคว้นเหมิง ถึงความจริงอากาศมิได้ร้อนมากทว่าคนที่เคยชินกับความหนาวเช่นอันซูเซี่ยกลับรู้สึกร้อนจนทนไม่ไหวแล้ว
ดังนั้นน้ำตกหลังตำหนักจึงกลายเป็นที่พำนักประจำของนาง
คืนนี้อันซูเซี่ยรู้สึกร้อนจนนอนไม่ได้ เพราะอยู่ในตำหนักที่ไม่มีผู้ใดสนใจจึงไม่มีใครนำน้ำแข็งมาวางไว้ในห้องเพื่อดับร้อนให้นาง อันซูเซี่ยตื่นขึ้นมากลางดึก รู้สึกว่าเหงื่อโทรมกายจนอาภรณ์เปียกชุ่มนางจึงค่อย ๆ ย่องออกมาจากตำหนัก
คงเพราะที่นี่แทบจะกลายเป็นตำหนักร้างท้ายวังที่ไม่มีผู้ใดสนใจ นางจึงคว้าผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่พร้อมทั้งเสื้อคลุมตัวหนึ่งออกมานางคิดจะไปอาบน้ำที่น้ำตกหลังตำหนักเพียงลำพังโดยไม่รบกวนแม่นมเผิง
อันซูเซี่ยย่อมไว้ใจว่าจะไม่มีใครโผล่มาพบ เพราะก่อนที่จะเดินมาถึงตำหนักของนางเวรยามล้วนแน่นหนากระทั่งแมลงวันสักตัวยังไม่สามารถผ่านเข้ามาได้
เพราะอยู่ที่นี่มาหลายเดือน นางยังเดินผ่านเส้นทางเล็ก ๆ นี่ทุกวันแม้ไม่มีคบเพลิงในมือ ท่ามกลางแสงจันทร์กระจ่างอันซูเซี่ยจึงสามารถมองเห็นเส้นทางได้อย่างชัดเจน
เสียงน้ำตกดังขึ้นทุกทีเมื่อนางเดินมาใกล้และแน่นอนว่าอากาศก็เย็นลงภายในพริบตา
อันซูเซี่ยมองไปรอบ ๆ อย่างไรก็ต้องรอบคอบเอาไว้ก่อนนางมองกระทั่งพบว่าปลอดคนจึงได้หลบอยู่ที่ก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่งแล้วถอดอาภรณ์ของตนเองออกจนเหลือเพียงร่างกายเปล่าเปลือย
ในตอนที่นางแอบย่องไปหยิบผ้าเช็ดตัวในห้องอาบน้ำนั้น อันซูเซี่ยยังไม่ลืมหยิบสบู่มันแพะก้อนใหญ่ติดมือมาด้วย
ร่างกายเปล่าเปลือยขาวผ่องบัดนี้กำลังอวดความงามท้าแสงจันทร์กระจ่าง
ใบหน้างดงามประดุจเทพเซียนบนสวรรค์ เรือนผมดำขลับแผ่สยาย เต้านมใหญ่และเต่งตึง สะโพกผายอิ่ม ช่วงเอวคอดกิ่วผิวพรรณผุดผ่องไร้ราคีประดุจเต้าหู้ขาวที่นุ่มนิ่มและชวนให้ลิ้มลอง
อันซูเซี่ยไม่เคยรู้มาก่อนว่าตนเองมีรูปร่างที่ยั่วเย้าตันหาบุรุษเพียงใด นั่นเป็นเพราะนางเติบโตในสำนักชียามอาบน้ำที่น้ำตกบนหุบเขาพวกนางล้วนเปลือยกายจนเคยชินเป็นนิสัย
สตรีมีมากมายเพียงนั้นทุกคนล้วนตั้งใจอาบน้ำอย่างเงียบเชียบตามกฎจึงไม่มีผู้ใดมีเวลามาพิจารณาร่างกายของกันและกัน
นางค่อย ๆ ก้าวเท้าลงไปในแอ่งน้ำใสเย็นฉับพลันนั้นความรู้สึกร้อนได้หายไปในพริบตา อันซูเซี่ยเดินไปนั่งที่โขดหินที่นางใช้นั่งอาบน้ำในทุกวันแล้วเริ่มต้นถูกายสระผมอย่างสบายอารมณ์
หลังจากนางสระผมเสร็จอันซูเซี่ยก็ยืนขึ้นอวดร่างงดงามเย้ายวนให้แสงจันทร์ลูบไล้เนื้อนวลขาวราวหยก
นางค่อย ๆ ใช้สบู่ถูกายอย่างช้า ๆ กระทั่งมาวนอยู่รอบถันตนเองและเมื่อสบู่สัมผัสกับยอดอกสีชมพูความรู้สึกประหลาดพลันเกิดขึ้นกับอันซูเซี่ย
ความเสียวสยิวเล็ก ๆ อันแปลกประหลาด
ตั้งแต่นางออกจากสำนักชีและเข้ามาอยู่ในวังของตนเอง แม่นมเผิงมักจะปรนนิบัตินางอาบน้ำอยู่เสมอ นางยิ่งรู้สึกสงสัยว่าไยยามที่มืออันเหี่ยวชราสัมผัสยอดอกของนางนั้นไม่ทำให้อันซูเซี่ยรู้สึกอันใด
ทว่ายามนี้กลับแตกต่างยิ่งนัก
อันซูเซี่ยลองใช้สบู่เขี่ยหัวนมของตนเองอีกครั้ง นางถูวนไปทั้งสองเต้าและเช่นเดียวกันครานี้ถึงกับรู้สึกเสียวซ่านมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
“อา เสียวยิ่งนัก รู้สึกดียิ่ง”
นางครางออกมาด้วยไม่อาจหักห้ามตนเองได้ หัวนมของนางแข็งชัน เต้าอันใหญ่ล้นตั้งตรงยั่วเย้า นางมองมือเรียวของตนเองแล้วถูไปมา
ความอยากรู้อยากเห็นพลันเกิดขึ้น แม้ว่านางจะเป็นว่าที่เจ้าสาว แต่ด้วยธรรมเนียมอันเคร่งครัดของแดนสู่ที่ว่าเจ้าสาวต้องบริสุทธิ์ทั้งหัวใจและร่างกายเพื่อให้สามีเป็นผู้สั่งสอนและนำพา อันซูเซี่ยจึงไม่เคยรู้เรื่องของบุรุษและสตรีมาก่อนในชีวิต
นางยังคงเข้าใจดั่งเด็กน้อยว่า เด็กที่เกิดจากครรภ์มารดานั้นเป็นเพราะเทพเซียนต้องการกำเนิดใหม่จึงพุ่งเข้าสู่ท้องของสตรีที่แต่งงานแล้ว
ด้วยความสงสัยอันซูเซี่ยจึงค่อย ๆ ไต่นิ้วไปสัมผัสทั่วร่างกายของตนเองจากบนลงล่าง ทั้งยังเอ่ยว่า
“จะมีตรงไหนที่ทำให้ข้ารู้สึกดีมากกว่านี้อีกนะ”
มือของนางลูบลงไปช้า ๆ กระทั่งถึงส่วนกึ่งกลางร่างกาย บริเวณนั้นมีกลีบอวบใหญ่เกินสตรีใดซ่อนอยู่
นางอ้าขาออกแล้วยกขาข้างหนึ่งไว้บนโขดหิน นิ้วมือไต่ไปสัมผัสกลีบนั้นเบา ๆ และนั่นทำให้นางถึงกับครางซี้ดออกมา
“ซี้ด อา ตรงนี้นี่เอง ไยข้ารู้สึกเช่นนี้ อืม ลองขยี้เบา ๆ จะเป็นเช่นไรนะ อ้า เสียวยิ่งนัก อืม อ้ะ หากขยี้แรงขึ้นเล่า ซี้ด ความรู้สึกนี้คือสิ่งใดกันนะ อ้า นี่อะไรหรือ อืม ข้าเหมือนมีน้ำลื่น ๆ ออกมาจากตรงนี้”
นางเอ่ยถามตนเองด้วยความสงสัย นิ้วเรียวค่อย ๆ ยัดเข้าไปในรูสวาทที่กำลังคายน้ำหวานออกมาเป็นสาย ยามนั้นนางรู้สึกเจ็บและเสียวอย่างแปลกประหลาดทว่าความสงสัยทำให้ความเจ็บปวดคลายลงไปไม่น้อย นางจึงค่อย ๆ ดันนิ้วเข้าไปมากขึ้นจนถึงหนึ่งข้อนิ้ว
“ซี้ด อ้า อืม แหย่นิ้วตรงนี้รู้สึกดียิ่งนัก ไยข้าไม่เคยรู้มาก่อน ซี้ด อ้า”
ยามนั้นนางกลับได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้น
ตุ่บ!
อันซูเซี่ยตกใจกับเสียงที่ได้ยิน นางดึงมือของตนเองออกมาทันทีจากนั้นจึงมองไปรอบ ๆ กรอกตาไปมาท่าทางระมัดระวังยิ่ง
“เสียงอะไรหรือ”
ด้วยความตกใจนางลุกพรวดขึ้นจากสายน้ำแล้ววิ่งมาคว้าเสื้อคลุมที่อยู่บนโขดหินมาคลุมกายอย่างรวดเร็ว
“หรือว่าจะเป็น....ผี”
เพียงคิดได้ดังนั้นอันซูเซี่ยก็ออกแรงวิ่งเตลิดกลับตำหนักอย่างรวดเร็ว