ภายในหอนางโลมบัดนี้เพื่อรักษาหนานอิงท่านหมอจำเป็นต้องฝังเข็มให้นาง ผู้ช่วยของท่านหมอจับให้หนานอิงนอนหันหลัง หญิงสาวไม่ได้เมื่อถูกผู้ช่วยทำแผลตรงศีรษะที่แตกให้ โชคดีที่บนศีรษะเป็นแผลเพียงเล็กน้อยไม่นับว่าหนักหนามาก
ท่านหมอเริ่มลงมือฝังเข็มเปิดชีพจรที่ติดขัดรวมทั้งขับเลือดลมให้เดินไปทั้งร่าง กระตุ้นการทำงานของหัวใจของนางให้กลับมาเดินเป็นปกติ
ผ่านไปราวหนึ่งชั่วยามแผ่นหลังของหนานอิงเลยไปจนถึงก้นและขาต่างเต็มไปด้วยเข็มทองนับไม่ถ้วน หลังจากนั้นท่านหมอสั่งให้คนรีบไปต้มยารออีกราวหนึ่งก้านธูปท่านหมอก็เริ่มดึงเข็มออกจากร่างของนาง
หลังการรักษาอย่างสุดความสามารถดูเหมือนว่าอาการตัวร้อนของหนานอิงจะค่อย ๆ ลดลงแล้ว ยาที่ถูกเคี่ยวจนได้ที่ถูกยกมาให้นาง
หนานอิงถูกจับกรอกยาไปหม้อใหญ่เนื่องจากนางไม่ได้สติกว่าจะจับให้นางกินได้ตามปริมาณที่ต้องการทั้งคนป้อนและคนต้มยาต่างเหงื่อไหลไคลย้อยไปตามกัน
"ท่านหมอเป็นเช่นไรบ้างเจ้าคะ"
แม่เล้าสั่งให้คนเช็ดตัวให้หนานอิงเมื่อหลังจากฝังเข็มแล้วเหงื่อของนางออกมามากจนเปียกชื้นแล้วเปลี่ยนอาภรณ์อีกครั้ง ท่านหมอยังมีสีหน้าลำบากใจ
"ชีพจรดีขึ้น นางตอบสนองต่อการฝังเข็มได้ดีหากพ้นคืนนี้ไปได้ก็คงจะเห็นหนทางรอดแล้ว"
แม่เล้าที่เพิ่งปาดเหงื่อออกจนหมด พลันเหงื่อไหลออกมาอีก เอาล่ะสิคืนนี้นางคงเปิดหอรับแขกอย่างไม่สบายใจเป็นแน่ เหตุใดจึงยังต้องรอให้ผ่านพ้นคืนนี้ไปด้วย
"ข้ายังมีคนไข้ต้องไปดูหากนางอาการแย่ลงกว่านี้ให้คนไปตามข้าที่สกุลกู้ก็แล้วกัน"
"เจ้าค่ะ ขอบคุณท่านหมอเจ้าค่ะ"
เมื่อท่านหมอกลับไปแล้วแม่เล้าผู้นี้ถึงกับหมดแรงที่จะยืน ไม่รู้ว่าสตรีนางนี้เป็นตัวนำโชคหรือตัวซวยกันแน่เมื่อคนของนางวิ่งเข้ามารายงานด้วยหน้าตาตื่นตระหนก
"นายหญิงคนของท่านแม่ทัพมาขอพบนางแล้วขอรับ ทำเช่นไรดีพวกเขามากันหลายคนท่าทางน่ากลัวเป็นอย่างยิ่งถืออาวุธมาครบมือเลยขอรับ"
สติของแม่เล้าแทบกระเจิง ไม่กี่ชั่วยามก่อนพวกเขาโยนนางในกระสอบลงบนพื้นดูท่าทางไม่ไยดี แต่บัดนี้กลับยกโขยงจะมารับคืนแล้วหรือ มากันว่องไวเพียงนี้หรือคิดจะโยนความผิดให้นาง
แล้วหากพวกเขาพบว่านางกำลังปางตายอยู่ที่นี่จะไม่ใส่ความนางต่อท่านแม่ทัพหรอกหรือว่าเป็นหอนางโลมที่ทำให้สตรีผู้นั้นเป็นเช่นนี้
"ข้า..จะเป็นลมแล้วใครก็ได้ช่วยประคองข้าที"
แม่เล้าตัวสั่นด้วยความกลัวจนจับจิต นางเป็นเพียงสตรีตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งหากนางผู้นั้นตายจะปฏิเสธความรับผิดชอบได้หรือ?
"ใต้เท้าข้าน้อยนามเหมยเซียงเป็นผู้ดูแลหอนางโลมแห่งนี้เจ้าค่ะ"
อ้ายเจิงสะบัดพัดในมือแล้วโบกเล็กน้อย เขามองสตรีผู้แต่งหน้าจัดและสวมอาภรณ์สีฉูดฉาดผู้นี้ด้วยสายตาของกุนซือผู้ปราดเปรื่อง
ไว้ใจได้หรือไม่
เพียงสายตาเย็นเยียบนั้นก็ทำให้หญิงชราตัวสั่นแล้ว นางคุกเข่าลงไม่กล้ากระทั่งจะยืนให้เสมอเขา
เห็นท่าทางของนางเช่นนั้นอ้ายเจิงจึงปรับสีหน้าให้อ่อนลง เขาจะขู่คนชราผู้หนึ่งด้วยเหตุใดกัน
"ข้าน้อยรักษานางอย่างเต็มที่ แต่หากนางไม่รอดได้โปรดอย่าใส่ความข้าน้อยเลยนะเจ้าคะ ข้าน้อยไม่รู้เรื่องจริง ๆ ข้าน้อยไม่รู้เรื่อง"
ด้วยความหวาดกลัวทำให้น้ำตาของนางผู้นี้พรั่งพรูออกมา คิดว่าหากสตรีผู้นั้นไม่รอดตนต้องมีความผิดแล้ว
อ้ายเจิงตีพัดเข้ากับฝ่ามือเบา ๆ ท่าทางคล้ายบัณฑิตเจ้าสำราญผู้หนึ่งแล้วถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง
"เจ้าหมายความว่าอย่างไร เหตุใดข้าต้องใส่ความเจ้าด้วย"
"หามิได้เจ้าค่ะ ข้าน้อยไม่ได้กล่าวเช่นนั้นเพียงแต่จะอธิบายว่าข้าน้อยรักษานางอย่างเต็มที่แล้ว หากท่านใต้เท้าไม่เชื่อข้าน้อยจะพาไปดูนางเจ้าค่ะ"
อ้ายเจิงเข้าใจแล้ว
"อ้อ นางไม่สบายหรอกหรือ ป่วยมากหรือไม่?"
อ้ายเจิงหันไปถามทหารแต่หาได้มีผู้ใดรู้เรื่อง นางเหมยเซียงเงยหน้าเช็ดน้ำตาแล้วเอ่ยว่า
"นางมาถึงที่นี่เลือดท่วมกายตัวร้อนราวกับไฟและลมหายใจรวยรินแล้วเจ้าค่ะ"
อ้ายเจิงขมวดคิ้ว เหตุใดเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นเล่า เพียงเขาไม่อยู่ชั่วข้ามคืนสองพี่น้องนั่นทำร้ายสตรีสาหัสเช่นนั้นได้อย่างไร เรื่องนี้เขาต้องสอบถามให้กระจ่าง
และคนที่ต้องถามนอกจากคนสองคนที่ร่วมมือกันนั่นก็คงจะไม่มีผู้ใดอีก
"เอาล่ะ เจ้าพาข้าไปดูนางเสียหน่อย ว่าแต่ว่านางผู้นั้นมีชื่อเสียงเรียงนามว่าอย่างไรและเป็นนางโลมลำดับชั้นเท่าไหร่ในหอนางโลมแห่งนี้"
อ้ายเจิงลุกขึ้นในขณะที่นางเหมยเซียงเองก็ถูกบ่าวรับใช้ของนางให้พยุงให้ลุกตามเช่นกัน นางเหมยเซียงได้ยินดังนั้นพลันสงสัยยิ่ง
"ข้าน้อยยังไม่ได้ซักถามชื่อแซ่ของนางเจ้าค่ะ ตั้งแต่มาถึงนางก็ยังไม่ฟื้นอีกทั้งนางหาใช่คนของหอนางโลมแห่งนี้"
"ไม่ใช่หรือ?"
อ้ายเจิงคิ้วตีกันยุ่ง
"ไม่ใช่แล้วเจ้ารับนางไว้ด้วยเหตุใดกัน"
ตายแล้ว นางเหมยเซียงตัวสั่นอีก หรือพวกเขาส่งสตรีผู้นั้นมาผิดที่ ส่วนนางก็เห็นแก่เงินจึงรับไว้ เช่นนี้พวกเขาจะไม่คิดว่านางสวมรอยหรือ
เมื่อเห็นว่านางเหมยเซียงอึกอัก อ้ายเจิงจึงเอ่ยเสียงเบา
"เจ้าไม่ต้องกลัวบอกความจริงมาเถิด ข้ารับรองได้เจ้าไม่มีความผิดอันใดที่ช่วยคน"
นางเหมยเซียงถอนหายใจอย่างโล่งอก ใต้เท้าผู้นี้เห็นทีจะไม่กลั่นแกล้งผู้น้อยจริง ๆ ท่าทางก็น่าเชื่อถือพึ่งพิงได้
"ข้าน้อยมิได้กล่าวเท็จเจ้าค่ะ ใต้เท้าทหารผู้นั้นนำนางมาพร้อมกับทองสองถุงใหญ่ ข้าน้อยจึงเข้าใจว่าท่านแม่ทัพต้องการให้หอนางโลมของข้าสั่งสอนนางให้ดีเพื่อปรนนิบัติท่านแม่ทัพ ทั้งหมดนี้เป็นข้าน้อยที่เข้าใจผิดเองเจ้าค่ะ"
เอาล่ะสิ อ้ายเจิงเข้าใจอย่างกระจ่าง แท้จริงแล้วเป็นความเข้าใจผิดกัน
ทหารบอกเขาว่านางถูกพวกโจรจับตัวมา อยู่รวมกันกับเหล่านางโลมที่โดนจับไปด้วยพวกเขาอาจจะเข้าใจผิด หากนางไม่ใช่นางโลมแต่เป็นลูกสาวบ้านใด หากเป็นเช่นนี้ก็มิใช่เรื่องเล็กเสียแล้วหากนางกลายเป็นคุณหนูสูงศักดิ์ในห้องหอผู้หนึ่ง อย่างไรสองอ๋องก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับนาง
"เจ้ารีบนำทางข้าไป ข้าต้องการพบนางผู้นั้น"
"เจ้าค่ะ"
แม้นางเหมยเซียงจะแก่ชราแล้ว แต่รูปร่างของนางยังอรชรอ้อนแอ้นเดินเหินคล่องแคล่วนัก ห้องที่ให้สตรีแปลกหน้าผู้นั้นพักนางก็เลือกสรรอย่างดีด้วยจำนวนทองก้อนโตทำให้นางไม่อาจละเลยได้
"เป็นนางเจ้าค่ะ"
อ้ายเจิงนั่งลงข้างกายของนาง พิจารณาใบหน้าของหนานอิงอย่างละเอียด
สตรีผู้นี้มีรอยเขียวช้ำเต็มไปทั้งลำคอ ไม่ต้องเดาก็รู้ได้แน่ชัดว่าเกิดจากสิ่งใด ใบหน้างดงามหมดจด ผิวที่โผล่ออกมาจากอาภรณ์ขาวนุ่มนวลราวเต้าหู้ ใบหน้าเรียวเล็ก ขนตางอนยาว เขาคาดว่าในยามที่ดวงตาคู่นี้ลืมขึ้นมาคงจะหวานหยดย้อยมิใช่น้อย
เขาจ้องนางเขม็งพร้อมกับจับชีพจรให้นาง เมื่อไม่รู้สึกถึงแรงหายใจกระเพื่อมขึ้นลงของคนที่ยังมีชีวิต ลำแขนของนางบอบบางยิ่ง นางเหมยเซียงอธิบายอาการของนางอย่างละเอียด
สกุลของอ้ายเจิงล้วนเก่งกาจด้านวิชาแพทย์ ท่านพ่อยังเป็นหมอหลวงประจำพระวรกายฝ่าบาทในขณะที่มารดาก็ดำรงตำแหน่งหมอใหญ่ของตำหนักใน
"ชีพจรเต้นอ่อนยิ่ง แม่นางนับว่าเจ้ายังมีวาสนาหากไม่มีเรื่องใดดลใจให้ข้ามาที่นี่เห็นทีว่าเจ้าต้องตายเป็นแน่"
"ท่านช่วยนำน้ำอุ่นมาให้ข้าสักกาได้หรือไม่"
"เจ้าค่ะ"
นางเหมยเซียงสั่งด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ใต้เท้าผู้นี้หล่อเหลาและดูน่าเกรงขามเป็นอย่างยิ่ง จากอาภรณ์ผ้าไหมอย่างดีที่เห็นเฉพาะในวังแล้วทำให้นางค่อนข้างหวาดหวั่นกับตำแหน่งที่แท้จริงของเขา