ทางด้านคนกำลังมีโชคเป็นสัตว์สองเท้ามาเกยถึงหน้าประตูจวนกลับเพิ่งจะลุกขึ้นมาเดินยังด้านนอกเรือนของบิดาได้ และนางก็คิดว่าจะกลับเรือนเล็กท้ายจวนแล้ว เพราะนางรู้สึกว่าที่นั่นนางอยู่แล้วมีความสุขว่าเรือนหลังใหญ่แห่งนี้มากมายนัก
"คุณหนูใหญ่จะไปที่ใดหรือขอรับ"
เป็นลู่หลานคนที่มู่หรงเจินจูเคยคิดเล่นๆ ว่าหากเป็นในยุคที่นางตายจากมาคนเช่นบุรุษวัย34หนาวผู้นี้คงเรียกได้ว่าเป็น'จ่าเฉย'ที่ในวัยเด็กนางเคยพบเห็นตามแยกจราจรดังกับก๊อบปี้กันมาอย่างไรอย่างนั้นช่างเป็นคนติดตามของบิดาที่ดีงามเสียจริง
'ข้าจะกลับเรือนเจ้าค่ะท่านอาลู่หลาน'
ลู่หลานอ่านข้อความของนางแล้วแต่ก็ยังคงยืนนิ่งหน้าตายเหมือนถูกโบกปูนไปทั้งร่างมู่หรงเจินจูนางจึงเลิกสนใจท่านอาผู้มีใบหน้าแข็งดังท่อนไม้แล้วก้าวมุ่งหน้ากลับเรือนในใจนางกำลังคิดถูกลูกหมูน้อยๆ
ทั้งสิบสองตัวของนางเต็มทนเพราะป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้างนางนอนป่วยเสียเป็นสิบวันพี่เสี่ยวถิงกับท่านน้าหลิงฟางคงวุ่นวายกันน่าดูที่ต้องมาดูแลทั้งตัวของนางแล้วยังต้องวิ่งกลับไปดูแลแปลงผักกับเหล่าหมูเป็ดและไก่ทั้งหลาย
แต่เพียงนางก้าวเท้าเดินผ่านหน้าของคนสนิทบิดาไปสามก้าวเขาก็ก้าวตามนางมาหนึ่งก้าวพอนางก้าวต่อไปอีกห้าก้าวเขาก็ยังตามนางติดๆ มาอีกสามก้าว และก็เป็นเช่นนั้นต่อไปจนถึงหน้าเรือนไป่เหอของบิดา เด็กสาวก็หมดความอดหันหน้ากลับไปเคลียร์กับเอ่อ...ใช้คำผิดไป...นางจึงหันกายกลับไปเผชิญหน้าเจรจากับท่านอา"ท่อนไม้"คนสนิทของบิดาทันที
'ท่านอาลู่หลาน ท่านจะไปที่ใด'
คราวนี้เป็นมู่หรงเจินจูที่แหงนใบหน้าขึ้นจนคอแทบหักเขียนคำถามท่านอาคืนกลับไปบ้างว่าเขานั้นจะไปที่ใดไยจึงมาเดินตามติดนางเป็นลูกเป็ดเช่นนี้
"คุณหนูไปที่ใดข้าน้อยก็ไปที่นั่น"
...อ่า....
เด็กสาวยกมือขึ้นเกาแก้มซีดเซียวเพราะเริ่มไปต่อไม่ถูกนางเขียนคำถามไม่ชัดเจนหรือเขียนอักษรอันใดผิดไปหรือเป็นการอ่านของท่านอาลู่หลานที่ไม่ดีกันเล่า?
'เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น'
สุดท้ายก็ต้องนางก็เขียนประโยคคำถามออกไปให้กระจ่างที่สุด
"นายท่านมีคำสั่งนับต่อแต่นี้ให้ข้าน้อยติดตามคุณหนูใหญ่ไปทุกที่"
...อ่า...
ไม่ดีกระมังท่านพ่อกล่าวคำสั่งไม่ชัดเจนเช่นนี้หากนางจะไปสุขาจะอาบน้ำหรือเข้านอน มีหมีป่าหน้าโบกปูนเช่นท่านอาลู่หลานตามติดดังเงานางก็ลำบากใจตายเท่านั้น
'แบบว่ามีงดเว้นบางสถานที่จะได้หรือไม่'
แต่สุดท้ายใบหน้าโบกปูนนั้นก็ทำให้มู่หรงเจินจูคิดว่าการเจรจาด้วยการเขียนต่อไปก็คงเหนื่อยเปล่าและเปลืองช็อกสู้นางไปเจรจากับท่านพ่อคงจะรู้ความกว่ากันมากจึงคิดถามหาบิดา
'ท่านพ่อยามนี้อยู่ที่ใดหรือท่านอาลู่หลาน'
ต้องเปลี่ยนทิศทางคำถามเพื่อหันไปหาผู้เป็นบิดายังไม่คิดเร่งกลับเรือนเล็กของนางในยามนี้ด้วยเกรงว่าจะต้องได้กลั้นฉี่กลั่นอึกันจนหน้าเขียวหน้าม่วงเป็นแน่หากตนเองกลับไปแล้วมีท่านอาหมีป่าหน้าตายตามติดไปสุขาด้วย แค่คิดภาพตามมู่หรงเจินจูนางก็ทรมานรอเลยทีเดียว
"ไม่รู้ขอรับ"
...เพล้ง! ...
...ท่านอาหมีป่า...หากจะตอบดับความหวังกันเช่นนี้เอาไม้หน้าแปดฟาดหน้าข้าเลยดีหรือไม่...
เพราะที่เขากล่าวออกมานั้นมันช่างเป็นคำตอบกำปั้นทุบดินที่ร้าวไปถึงหัวใจดวงน้อยๆ ของมู่หรงเจินจูอย่างยิ่ง เด็กสาวสูดลมหายใจเข้าลึกออกสุดระบายอยู่หลายรอบมาก นางเองคิดว่าตนเองใจเย็นในระดับหนึ่งยังต้องข่มลาวาโทสะถึงขีดสุดนางไม่อาจทราบได้ท่านพ่อของนางต้องใจเย็นเพียงใดเขาจึงอยู่กับหมีป่าหน้าแข็งตรงหน้ามาได้ยาวนานกว่าอายุของนางเช่นนี้
'เช่นนั้นเป็นผู้ใดจึงจะทราบว่าท่านพ่ออยู่ที่ใด'
สงบอารมณ์ฉุนเดือดได้เด็กสาวก็เริ่มคำถามใหม่
"หรั่นจี"
...ฟุบ...
...อั๊ยย๋า! ...
สิ้นเสียงหมีป่าเงาสีดำสายหนึ่งก็พลันจู่โจมลงมาข้างกายของมู่หรงเจินจูจนเด็กสาวถึงกับผงะแทบหงายหลังเพราะตกใจที่อยู่ๆ ก็มีคนโผล่พรวดพราดออกมาเช่นนี้
"นายท่านอยู่ที่ใด"
ทว่าคนที่ไม่สะเทือนอันใดก็คือท่านอาหมีป่าของนางนั่นเอง ใบหน้าที่ซีดเซียวกลับพลันแดงก่ำด้วยความเสียขวัญก็นางเป็นเพียงเด็กสาวธรรมดานางหนึ่งจะให้มาคุ้นเคยกับคนแวบมาแวบไปเช่นนี้จะได้ที่ใด
…ขวัญเอ๊ยขวัญมา…
"นายท่านกำลังอยู่ระหว่างเดินทางกลับมาจากวังหลวงเจ้าค่ะ"
...บรรเจิดเลยเจินจูเอ๋ย...
คาดว่าคงจะปลายยามเว่ยไปโน่นเลยกระมังเห็นทีตนคงเป็นที่พึงแห่งตนแล...
ปลงตกเช่นนั้นมู่หรงเจินจูก็เดินนำไปด้วยกิริยาคอตกมุ่งหน้ากลับไปท้ายจวนเช่นแต่เดิมที่ตั้งใจโดยมีสองผู้ติดตามคือลู่หลานและอวี่หรั่นจีซึ่งผู้หนึ่งเดินตามส่วนอีกผู้เร้นกายคล้ายไม่มีตัวตน
ทำเอาคนที่ไม่เคยมี’ผู้ติดตาม’ถึงกับถอนใจแล้วถอนใจอีก นอกจากจะสื่อสารลำบากเพราะนางต้องแสร้งเป็นคุณหนูใหญ่ผู้บ้าใบ้ แล้วคนที่ติดตามคุ้มกันยังเป็นบุรุษอีก เด็กสาวไม่คุ้นชินและคงยากที่จะคุ้นชินไปได้ต่อให้นานเป็นสิบหนาวก็ตาม
"คุณหนู มาเช่นไรกันเจ้าค่ะใบหน้ายังซีดเซียวอยู่มากเร่งกลับมาทำไมกัน"
โจวหลิงฟางตรงเข้ามาจับไม้จับมือคุณหนูตัวน้อยของตนด้วยความห่วงใยมากล้น
'ข้าดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะท่านน้าหลิงฟาง'
มือหยาบกร้านของหญิงวัยสามสิบกว่าหนาวซึ่งต้องเผชิญกับงานหนักมาสิบห้าหนาวลูบศีรษะเล็กด้วยความเอ็นดูผสานปนเปด้วยสงสารต่อชะตาชีวิตของนายน้อยตรงหน้า
'ข้าอยากไปดูลูกหมูน้อยๆ พวกนั้น'
มู่หรงเจินจูอธิบายด้วยภาษาเขียนที่บัดนี้คุ้นพอประมาณจึงคล่องมือมากขึ้นไม่เผลอหลุดเป็นคำพูดเช่นช่วงที่มาอยู่ในร่างกายนี้ใหม่ๆ
กายเล็กจิ๋วกว่าทั้งสี่ชีวิตที่อยู่รายรอบมุ่งหน้าไปยังโรงเรือนซึ่งถูกกั้นเอาไว้แยกไกลออกไปจากเรือนพอสมควร ภายในโรงเรือนแบ่งออกเป็นส่วนของ เล้า เป็ด กับเล้าของไก่ ที่บัดนี้มีเพิ่มขึ้นจากเมื่อ5เดือนถึงสามสิบกว่าตัว จุดหมายของนางคือด้านในสุด
เพียงหมูน้อยทั้ง12ตัวเห็นคนตัวเล็กเดินเข้ามาใกล้มันก็ร้องอี๊ดอ๊าดวิ่งมาดุนดันคอกกั้นอย่างยินดี มู่หรงเจินจูชะโงกตัวเข้าไปในคอดลูบศีรษะพวกมันจนครบทุกตัวจากนั้นก็เดินไปสำรวจดูว่ายังมีเศษผักที่คาดว่าท่านน้าโจวหลิงฟางและท่านอาจางเสียนอีคงเพิ่งไปเก็บมาจากภายในร้านขายพืชผักในตลาดเมื่อช่วงเช้ามืดที่ผ่านมาตามแนวคิดที่นางวางแผนให้ทั้งสามพ่อแม่ลูกได้ทำตาม
"ป้าเจียงบอกแก่น้าหลิงฟางว่ามีลูกค้าขนมมาสอบถามอยู่มากน้าจึงบอกไปแล้วว่าคงมิได้ไปขายอีกแล้ว"
สับเศษผักตรงหน้าไปโจวหลิงฟางก็เล่าสิ่งที่ตนเองพบเจอมาให้คุณหนูของนางฟังไป มู่หรงเจินจูฟังว่าตนจะไม่ได้ขายอีกแล้วก็ไม่เข้าใจหันไปมองจ้องโจวหลิงฟางอย่างจะถามว่าเหตุในนางจึงไปกล่าวเช่นนั้นกับป้าเจียง
"นายท่านยังมิได้กล่าวแก่คุณหนูหรือเจ้าค่ะเรื่องที่พวกเราจะต้องย้ายไปอยู่ที่หนานซานกันในวอีกสิบวันข้างหน้าหลังพิธีปักปิ่นของคุณหนูเรียบร้อยแล้วน่ะเจ้าค่ะ"
โจวหลิงฟางรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยแต่ก็คาดว่าบางที่นายท่านอาจจะยุ่งวุ่นวายกับงานทั้งหลายทั้งจัดแจงที่ทางด้านหนานซานให้พร้อมรอให้พวกนางไปอาศัยกับพิธีปักปิ่นในอีกสามวันข้างหน้า
แล้วยังต้องเตรียมงานวิวาห์ของตนเองอีกในอีกสี่เดือนถัดไป กับไหนจะงานตรวจการที่มากล้นยังมีพิธีการเฉลิมฉลองเทศกาลปล่อยโคมลอยในเดือนสิบของทุกฤดูหนาวยังเมืองหลวงจึงมิมีโอกาสบอกแก่คุณหนูของนางว่าจะส่งไปอาศัยที่หนานซานแทนท้ายจวนแห่งนี้เสียกระมัง
"เช่นนั้นคุณหนูก็คงยังมิทราบเรื่องที่นายท่านจะตกแต่งฮูหยินเอกใช่หรือไม่เจ้าค่ะ"
มู่หรงเจินจูถึงกับนิ่งงันไป เพราะหลายวันมานี้ท่านพ่อดูแลนางอย่างดีความรู้สึกผูกพันระหว่างพ่อลูกเลยเริ่มขยาย ทว่าพอมารับรู้ว่าท่านพ่อกำลังคิดตกแต่งภรรยาคนใหม่แล้วกำลังวางแผนส่งนางไปไกลเกือบสองร้อยลี้ ภาพยามเป็นกัญญากรจึงหวนคืนพุ่งจู่โจมหัวใจเด็กสาวจนนางเริ่มเหม่อลอย
...สุดท้ายนางก็ไม่เป็นที่ต้องการแม้แต่บิดาในชาติใหม่...
เด็กสาวไม่แสดงอารมณ์ใดนับแต่รับรู้นอกว่านิ่ง...นิ่งสนิทแม้แต่จะสื่อสารด้วยการเขียนบอกเช่นปกติมู่หรงเจินจูทำอยู่ประจำก็ไม่มีทั้งสิ้น
ทั้งโจวหลิงฟางและจางเสี่ยวถิงที่อยู่ใกล้ชิดเด็กสาวมาตลอดมีหรือจะดูไม่ออกว่าคนที่นิ่งสงบนั้นภายในใจคงร่ำไห้แล้วเป็นแน่
ยิ่งผ่านไปราวสองชั่วยามงานที่ทำหมดไป คุณหนูตัวน้อยกลับแยกไปนั่งมองสายน้ำที่ไหลผ่านด้านหน้าเรือนเล็กคล้ายกับกายเล็กนั้นไร้ลมหายใจไร้ดวงวิญญาณไปเสียแล้ว
"ท่านแม่..."
จางเสี่ยวถิงเองไม่สบายใจอย่างยิ่งที่คุณแสนสดใสเมื่อ4เดือนก่อนหายไปจนสิ้นกลับกลายเป็นก้อนหินไร้ชีวิตตั้งทิ้งไว้ตรงใดก็อยู่ตรงนั้นไม่ขยับ
"เรื่องเช่นนี้คงมีเพียงนายท่านเท่านั้นที่จะอธิบายกับคุณหนูให้นางเข้าใจได้พวกเราพูดไปก็ไร้ผล"
คนที่ผ่านทั้งสุขและทุกข์มามากมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างเข้าใจโลกแห่งความเป็นจริง
"นายท่านคิดจะไล่คุณหนูไปไกลเช่นนั้นเหตุใดต้องมาสร้างความหวังทำดีกับคุณของพวกเราด้วยหากปล่อยให้เป็นเช่นนับแต่คุณหนูแรกคลอดข้าว่านางคงไม่เสียใจมากถึงเพียงนี้"
จางเสี่ยวถิงนางกล่าวออกมาอย่างเด็กสาวที่ยังไม่รู้ความมองเห็นแต่ในมุมของตนเอง
"เสี่ยวถิง...มิมีบิดามารดาคนใดไม่รักไม่ห่วงหาอาทรลูกของตนเองหรอก เพียงแต่การแสดงออกนั้นมันจะทำได้เพียงใดเพียงเท่านั้นกันเจ้าย่อมรู้นายท่านมิใช่ธรรมดาเช่นบิดาเจ้าจะให้เขาแสดงออกเช่นท่านพ่อของเจ้าจะได้ที่ไหนกัน…เด็กโง่เอ๊ย"
จางเสี่ยวถิงไม่พูดต่อความกับมารดาอีกส่วนภายในใจนั้นกลับไม่เข้าใจทั้งสิ้นที่มารดากล่าวนางมีเพียงความคิดไม่ซับซ้อน หากรักผู้ใดก็แสดงออกเปิดเผยจะเก็บซ่อนไปด้วยเหตุใดเช่นกันนายท่านรักคุณหนูก็สมควรดูแลคุณหนูของนางให้ดีมันจะยากที่ตรงไหนกัน
"คุณหนูใหญ่เจ้าค่ะฮูหยินผู้เฒ่าและนายท่านผู้เฒ่าเชิญคุณหนูใหญ่ไปที่เรือนรับแขกด้านหน้าเจ้าค่ะ"
บ่าวจากเรือนหน้าเดินเข้ามารายงานคนที่นั่งนิ่งจับจ้องสายน้ำไหลอยู่เป็นนาน ทุกกายโดยรอบที่เฝ้าจับตามองคุณหนูใหญ่แต่แรกต่างขับกายทันที
...มิใช่เรื่องดีอย่างแน่นอนหากนายท่านผู้เฒ่าและฮูหยินผู้เฒ่าเรียกหานายน้อยของพวกเขา...
"ส่วนนี่คือเสื้อผ้า นายท่านผู้เฒ่ากำชับมาว่าคุณหนูใหญ่ก่อนออกไปต้องอาบน้ำชำระกายให้สะอาดจากนั้นสวมอาภรณ์นี้ด้วยเจ้าค่ะ"
มู่หรงเจินจูดึงตนเองออกจากอารมณ์น้อยอกน้อยใจต่อโชคชะตาของตนเองทันทีเมื่อดูย่อมรู้แจ้งเหมือนเรื่องลำบากจะวิ่งมาชนนางอีกแล้ว
"หรั่นจีเร่งไปแจ้งนายท่าน"
ลู่หลานสั่งความอวี่หรั่นจีทันทีตามที่ผู้เป็นนายเน้นย้ำว่าหากทางเรือนหน้าเคลื่อนไหวจะต้องเร่งรายงานออกไปต่อให้นายท่านอยู่ที่ใดก็ต้องเร่งรายงาน
"นายท่านผู้เฒ่ากำชับว่าต้องเร็วไม่เกินครึ่งชั่วยามเจ้าค่ะคุณหนูใหญ่"
คนที่ประคองถาดที่วางทั้งอาภรณ์งดงามกับเครื่องประดับอีกหลานชิ้นซึ่งจำเป็นต่อฐานะของคุณหนูใหญ่แห่งจวนมูหรงเน้นย้ำให้คนตัวเล็กนางเร่งมือทำตาม
...ไม่ดีเลย...
มู่หรงเจินจูเห็นแต่เรื่องไม่ดีรอตนเองอยู่ที่เรือนหน้าเท่านั้นหลายเดือนในจวนกว้างใหญ่แห่งนี้ที่เดียวซึ่งปลอดภัยคงมีแต่เพียงเรือนเล็กทรุดโทรมท้ายจวนแห่งนี้เท่านั้น
อีกครึ่งชั่วยามต่อมาร่างเล็กที่ดูคล้ายเด็กน้อยยังไม่โตบัดนี้ยามอยู่ในอาภรณ์งดงามเส้นผมถูกหวีจัดแต่งจนเงางามหน้าใบเล็กนั้นยิ่งดูโดดเด่นเมื่อมีดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อนสุกใสเป็นองค์ประกอบหลัก
“คุณหนู…”
โจวหลิงฟางนั้นลำบากใจอย่างยิ่งเพราะเลี้ยงดูกันมาย่อมรู้เนื้อแท้ของคนตรงหน้าว่านางงดงามอย่างยิ่งหากแต่งกายให้สมวัย หากจะเป็นเหตุการณ์ปกตินางจะไม่ทุกข์ร้อนเลยที่นายน้อยของนางงดงามเฉิดฉายทว่ายามนี้ต้องไปอวดโฉมอันล่มแคว้นล่มปฐพีเช่นนี้ต่อหน้านายท่านผู้เฒ่ากับฮูหยินผู้เฒ่าที่ละโมบโลภมากยึดเอาแต่ยศถาบรรดาศักดิ์เป็นเอกอุ เกรงว่าภัยร้ายจะมาเยือนคุณของนางอย่างไม่ทันได้ขยับกายหนีเสียเท่านั้น
ส่วนมู่หรงเจินจูบัดนี้นางทำใจได้แล้ว หากเรื่องจะเกิดนางหนีเท่าใดมันก็เกิด ในยุคนี้สมัยนี้ ที่สตรีเป็นเพียงชนชั้นสองว่าย่ำแย่เด็กสาวที่ถูกตัดสินไปแล้วว่าเกิดมาพร้อมดวงพิฆาตสายโลหิตเช่นนางกลับเลวร้ายยิ่งกว่า
ต่อให้นางซุกซ่อนตนเองเพียงใดอยู่อย่างเจียมตนเช่นไร คนพวกนั้นก็ยังไม่ละเว้นนางอยู่ดี เป็นคนดีมักน้อยแล้วกลายเป็นนางยิ่งถูกรักแกก็มีแต่ต้องหันหน้าต่อสู้เพียงเท่านั้น
‘ไปกันเถิด’
ตัดสินใจที่จะสู้มู่หรงเจินจูก็บอกตนเองว่าต้องเริ่มแล้วหาไม่นางก็จะไร้ที่ยืนแม้เพียงหายใจได้