บทที่ 1 ผู้หญิงอย่างเธอต้องโดนลงโทษ (1)
เซลีน ขจีเนตร วงวิริยะไพบูรณ์ อดีตคุณหนูผู้มั่งคั่งนั่งมองวิวทิวทัศน์ตรงหน้าอย่างเหม่อลอย
นานแค่ไหนแล้วที่เธอต้องมาอยู่ใต้อำนาจของผู้ชายหน้าตาดีแต่ใจร้ายอย่าง คีท คิริน โบฟอร์ต หนุ่มลูกครึ่งไทยอังกฤษ ลูกชายคนเล็กของตระกูลโบฟอร์ต ตระกูลผู้ดีที่มีทั้งเงินและอำนาจล้นมือ น่าจะประมาณสามเดือนแล้ว
“มานั่งทำอะไรตรงนี้หนูเซลีน ไม่ไปกินข้าวเที่ยงกับคนงานเหรอ” แม่ครัวแสนใจดีวัยกลางคนเดินมาตามเด็กสาวรุ่นหลาน หลังจากไม่เห็นเธอไปกินข้าว มือเหี่ยวย่นตามกาลเวลาวางลงบนลาดไหล่บอบบางของขจีเนตรก่อนจะบีบอย่างเบามือ
ป้าดวงอดสงสารเด็กสาวไม่ได้จริง ๆ แต่ก็ไม่กล้าทักท้วงความคิดของเจ้านายหนุ่ม ทำได้เพียงคอยช่วยเหลือขจีเนตรอยู่ข้างหลัง
“หนูไม่ค่อยหิวค่ะป้าดวง เดี๋ยวค่อยกินตอนเย็นทีเดียว”
เธอหันมายิ้มให้ป้าดวง แต่รอยยิ้มกลับหม่นเศร้ายิ่งนักไม่เหมาะกับใบหน้าสวยหวานปานนางฟ้า
ขจีเนตรไม่รู้สึกหิวข้าวเลยสักนิดจึงมานั่งอยู่ตรงนี้เพื่อซึมซับความสวยงามของธรรมชาติ น่าแปลกใจมากที่เด็กสาวจากเมืองหลวงอย่างคุณหนูเซลีน กลับชื่นชอบความสงบของสังคมต่างจังหวัด อาจจะเป็นเพราะว่าคนที่นี่จริงใจกว่า เธอจึงไม่รู้สึกอึดอัดมากนัก ถึงแม้ว่าจะต้องอยู่ในคราบของเชลยก็ตาม
“ได้ยังไง เกิดเป็นลมเป็นแล้งไปจะแย่เอาได้ ไปเถอะไปกินข้าวสักนิดก็ยังดี” ป้าดวงค้านเสียงสูง อีกไม่เกินครึ่งชั่วโมงก็จะหมดเวลากินข้าวแล้ว ถ้าไม่มีอะไรลงท้องรับรองล้มพับแน่ ช่วงนี้อากาศก็ร้อนจัดด้วย เจ้านายก็ใจร้ายสั่งให้ขจีเนตรทำงานตั้งแต่เช้าจดค่ำ ทำราวกับว่าเธอเป็นเครื่องจักรทนแดดทนฝน
“ก็ได้ค่ะ เห็นแก่ป้าดวงคนน่ารัก หนูจะกินให้พุงกางเลย”
ขจีเนตรยิ้มตาหยี อย่างน้อยการมาอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้แย่มากนักเพราะมีป้าดวงคอยเป็นกำลังใจ ไม่ใจร้ายเหมือนเจ้าของไร่
อาจเป็นเพราะป้าดวงมีความอ่อนโยนเหมือนมารดาของเธอ เลยยิ่งทำให้คุณหนูตกสวรรค์รู้สึกอบอุ่นและไว้ใจ
ในไร่ส้มอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้ ก็มีแต่ป้าดวงกับยิ้มแป้นผู้เป็นหลานสาวเท่านั้นที่ใจดีต่อเธอ ส่วนคนอื่นน่ะเหรอนายว่าขี้ข้าพลอยทั้งนั้น โดยเฉพาะผู้หญิงที่ชื่อ น้ำส้ม หรือมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า ยายน้ำเปรี้ยว
“แหมถึงกับต้องไปอัญเชิญให้มากินข้าวเลยเหรอป้าดวง ทำไมไม่จุดธูปเรียกล่ะ”
นางสาวน้ำส้มญาติห่าง ๆ ของป้าดวงตวัดสายตามอง
ขจีเนตรด้วยความชิงชัง ก่อนผู้หญิงคนนี้จะมาอยู่ในไร่เธอคือคนที่หน้าตาดีสุด
ด้วยความสวยของขจีเนตรทำให้น้ำส้มไม่ชอบตั้งแต่วันแรกที่เจอหน้า ไหนจะคนงานผู้ชายในไร่ที่ให้ความสนใจแม่สาวชาวกรุงจนเธอกลายเป็นคนสวยตกกระป๋อง
“พอแล้วนังส้ม เอ็งนี่มันจะอะไรกันนักกันหนา หนูเซลีนไปทำอะไรให้เอ็งไม่ชอบฮึถึงได้หาเรื่องไม่จบ”
คนอายุมากกว่าถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายไม่เข้าใจญาติห่าง ๆ คนนี้เลย ไม่รู้ทำไมถึงได้จงเกลียดจงชังขจีเนตรนัก มีโอกาสทีไรเป็นต้องจิกกัดตลอด
“ก็ถ้าไม่ใช่ผู้หญิงใจแตกคนนี้ คุณอันดาจะตายไหม”
น้ำส้มเอ่ยถึงคนรักของคิรินที่เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุเมื่อหลายเดือนก่อนโดยมีขจีเนตรเป็นต้นเหตุ คนงานที่กำลังกินข้าวอยู่ถึงกับต้องหันมามองทางนี้ด้วยความใคร่รู้ พวกตนได้ยินข่าวลือเรื่อง
ขจีเนตรทำอันดาตายอยู่บ่อยครั้งแต่ไม่รู้จริงไหม
“มีหลักฐานไหมล่ะว่าฉันเป็นคนทำ ถ้าไม่มีอย่ามาชี้หน้าโทษคนอื่นแบบนี้” อดีตคุณหนูจอมเอาแต่ใจชี้หน้าต่อว่าน้ำส้มอย่างไม่กลัวเกรง เธอบอกแล้วไงมันเป็นอุบัติเหตุ คืนนั้นเธอไม่ได้ตั้งใจจะวิ่งตัดหน้ารถแต่กำลังหนีใครบางคน
“นังเซลีน แกกล้าขึ้นเสียงใส่ฉันเหรอ แกลืมไปแล้วเหรอไงว่าฉันเป็นใคร”
“เป็นคนงานคนหนึ่งของไร่ส้มภูตะวันวาด ทำไมเหรอ หรือฉันพูดผิด”
“แก แก อีผู้หญิงใจแตก ฉันจะฟ้องคุณคีท แกโดนจัดการแน่”
“เชิญ โนสนโนแคร์ อยากทำอะไรก็ทำ ไปเถอะค่ะป้าดวง หนูไม่อยากอยู่ตรงนี้แล้ว รำคาญเสียงหมาเห่า เก่งแต่เห่าพอสู้ไม่ได้ก็ฟ้อง สมองนิ่มเป็นฟองน้ำก็งี้แหละ”
สองสาวต่างวัยยิ้มให้แก่กันก่อนจะเดินไปนั่งตรงโต๊ะกินข้าวตัวอื่นซึ่งอยู่ห่างไปไกลพอสมควร
น้ำส้มหน้าชาด้วยความอับอายหลังจากหันไปมองคนงานในไร่จับกลุ่มซุบซิบนินทาพลางหัวเราะเยาะ
“คอยดู แกต้องโดนคุณคีทลงโทษ อีนังคุณหนูตกสวรรค์”
ด่าไล่หลังด้วยความเกลียด ก่อนจะกระฟัดกระเฟียดกระแทกก้นนั่งลงบนเก้าอี้ มุมปากยกยิ้มราวกับตัวร้ายหลังจากคิดถึงเจ้านายหนุ่ม อย่างไรเสียคิรินก็ต้องเข้าข้างเธอซึ่งเป็นอดีตลูกสมุนของอันดา
ไร่ส้มภูตะวันวาดของคิรินตั้งอยู่ในอำเภอแม่แรม จังหวัดเชียงใหม่ ตอนนี้จัดเป็นไร่ส้มอันดับหนึ่งของประเทศ มีผลิตผลคุณภาพส่งออกขายทั้งในและต่างประเทศ
คิรินคือหลานชายที่เข้ามารับช่วงต่อดูแลกิจการของตายายก่อนที่พวกท่านจะล่วงลับไปทีละคน
ท่านทั้งสองมีลูกสองคน ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ลูกชายเป็นเจ้าของไร่ชา ส่วนลูกสาวย้ายตามสามีไปอยู่ประเทศอังกฤษและเป็นมารดาของคิริน
วันนี้เจ้าของไร่ส้มสุดหล่อออกไปทำธุระในตัวเมือง กว่าจะกลับถึงไร่ก็ช่วงเย็นแล้ว เท้าเหยียบพื้นได้ไม่ถึงสิบนาทีก็ต้องถอนหายใจออกมาด้วยความเซ็ง
“คุณคีทขา ช่วยส้มด้วยค่ะ” น้ำส้มเห็นรถของเจ้านายจอดสนิทก็รีบวิ่งเข้ามาฟ้องด้วยน้ำเสียงน่าสงสารทันทีพลางแสดงสีหน้าขอความเห็นใจ ตรงข้ามกับแววตาอย่างสิ้นเชิง
“มีอะไรอีก วันนี้ฉันเหนื่อยมากนะน้ำส้ม” คิรินเหลือบตาไปมองก่อนจะชะเง้อมองทางอื่นคล้ายหาใครบางคน ลูกจ้างสาวจึงไม่รอช้าจีบปากจีบคอระบายความในใจอย่างออกรส ทำราวกับว่าตัวเองคือคนสำคัญของผู้ชายตรงหน้า
“ก็นังเซลีนน่ะสิคะ มันพูดไม่ไว้หน้าส้มเลย คุณคีทจัดการมันให้ส้มหน่อย” คำว่ามัน ทำให้คิรินต้องหันกลับมาจ้องหน้าลูกจ้างสาวด้วยความไม่พอใจ
ถึงเซลีนจะอยู่ในฐานะเชลยแต่คนที่ใจร้ายกับเธอได้มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้น คนอื่นไม่มีสิทธิ์
“ฉันบอกเธอแล้วใช่ไหม อย่าเรียกคนอื่นว่ามัน”
น้ำเสียงห้วนจัด ดวงตาสีน้ำตาลพลันมีประกายลุกโชนทำให้น้ำส้มเกิดขนลุกด้วยความเกรงกลัว
เธอไม่เคยเห็นเจ้านายมีอาการแบบนี้มาก่อน ยกเว้นช่วงโมโหมาก ๆ คนอย่างคิรินเวลาดีก็ดีใจหาย เวลาร้ายก็ไม่เป็นสองรองใครเช่นกัน
“ขะ...ขอโทษค่ะ ส้มลืมไป” ไม่ได้ลืมหรอก เธอตั้งใจด้วยซ้ำ ตาสองชั้นหลุบมองพื้นด้วยความเกรงกลัวและไม่เข้าใจ ทำไมคิรินต้องปกป้องยายคุณหนูตกอับด้วย
“แค่นี้ใช่ไหมที่จะบอก” เขาถามเสียงเย็นไร้เยื่อใย ทำให้คนฟ้องรู้สึกน้อยใจไม่น้อยก่อนจะพยักหน้าให้คำตอบพร้อมกับขอร้องไปในตัว
“ค่ะ คุณคีทช่วยจัดการนัง เอ่อ เซลีนให้ส้มด้วยนะคะ”
วิงวอนเจ้านายด้วยท่าทางน่าเวทนาราวกับเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย อย่างไรก็ต้องจัดการขจีเนตรให้ได้ ให้มันรู้เสียบ้างว่าใครเป็นใคร
“อืม ตามผู้หญิงคนนั้นให้ไปพบฉันที่บ้าน” เขามีสีหน้าเคร่งเครียดเฉียบขาดขณะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเน้นหนัก วันนี้ทั้งวันยังไม่ได้เจอหน้าเชลยสาวแม้แต่นาทีเดียว
“ทำไมต้องที่บ้านด้วยคะ” ถามเสียงห้วนอย่างลืมตัวจึงโดนเจ้านายมองด้วยสายตาเหมือนฆ่าคนได้
“ฉันจำเป็นต้องบอกเธอเหรอน้ำส้ม ฉันเป็นเจ้านาย อย่าลืม” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาเจือแววข่มขู่อย่างเห็นได้ชัด ก่อนตวัดสายตาไปมองทางอื่นพลางข่มอารมณ์
“ขอโทษค่ะ”
“ทำตามที่ฉันสั่ง ถ้าไม่อยากเดือดร้อน”
“ค่ะคุณคีท”
เจ้าของไร่หันหลังเดินเข้าไปในตัวบ้านด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ ยิ่งนับวันน้ำส้มก็ยิ่งทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเขา
ทั้งที่เขาไม่เคยให้ความหวังหรือใช้เธอสนองตัณหา เพราะถือคติไม่ยุ่งกับคนในปกครองเด็ดขาด อีกอย่างถึงแม้คนรักจะเสียชีวิตไปหลายเดือนแล้วแต่เขายังไม่คิดจะหารักใหม่