“ไอ้ภัทร เอ็งออกไปคุยกับข้าข้างนอกก่อน”
นายแพทย์แทนคุณกระซิบข้างหูของผู้เป็นเพื่อน ที่ยืนทำหน้าเป็นภควัมอยู่ข้างเตียงของหญิงสาว ที่เจ้าตัวเพิ่งบอกว่าจำอะไรไม่ได้เลยแม้กระทั่งชื่อ
“เออ” คนถูกเรียกรับคำด้วยน้ำเสียงเจือแววหงุดหงิด ก่อนจะเดินตามผู้เป็นเพื่อนออกไปนอกห้อง “แล้วข้าต้องทำยังไงต่อไปวะเนี่ย”
“เอ็งก็ต้องรับผิดชอบสิวะ”
“รับผิดชอบยังไงวะ” คนถูกบอกให้รับผิดชอบถามน้ำเสียงงงงวย “เอ็งจะให้ข้าพาเจ้าหล่อนไปอยู่ที่บ้านด้วยหรือไงไอ้หมอ”
คนถูกถามพยักหน้าพลางยิ้มกว้าง
“นั่นคงเป็นคำตอบถูกต้องที่สุดแล้วว่ะ เพราะในเมื่อเอ็งเป็นต้นเหตุทำให้เจ้าหล่อนกลายเป็นแบบนี้”
นรภัทรยกมือขึ้นกุมศีรษะนึกอยากทึ้งผมตัวเองออกให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย
“ข้าอยู่บ้านคนเดียวแล้วเอ็งจะให้พาผู้หญิง ที่ไม่รู้จักแม้กระทั่งหัวนอนหรือปลายเท้าไปอยู่ด้วยนี่นะ ถ้าเกิดเจ้าหล่อนเป็นสายโจรขึ้นมาข้ามิแย่หรือวะ”
น้ำเสียงและท่าทางของคนพูด ทำเอาคนเป็นเพื่อนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเสียงดังลั่น
“ก่อนจะถามข้าลองถามใจตัวเองดูก่อนดีไหม คนอย่างเอ็งกลัวด้วยหรือวะ ถ้าเอ็งกลัวจะกล้ามาอยู่คนเดียวอย่างนี้ มาตั้งนมตั้งนานหรือวะไอ้ภัทร แล้วหน้าตาผิวพรรณของผู้หญิงที่เอ็งขับรถชนน่ะ ดูด้วยตาแล้วไม่น่าจะเป็นพวกมิจฉาชีพหรอก ถ้าเป็นจริงคงส่อแววตั้งแต่เอ็งลงจากรถไปดูแต่แรกแล้ว เอ็งเป็นคนบอกเองไม่ใช่เหรอว่าตอนลงไปดูน่ะ แม้แต่คนหรือรถสักคันก็ยังไม่มี”
นั่นสินะ นรภัทรนิ่งคิดตาม ถ้าเป็นพวกมิจฉาชีพจริงต่อให้เขามีปืนอยู่ในมือก็ใช่ว่าจะปลอดภัย
“สรุปแล้วข้าต้องพาเจ้าหล่อนไปอยู่ด้วยหรือวะ” คนถามถามน้ำเสียงเจือหงุดหงิดไม่หาย
“หรือเอ็งจะใจดำพอ พาเจ้าหล่อนไปปล่อยไว้ที่เดิมล่ะ ทำได้ไหมล่ะน่าสงสารออก”
นรภัทรมองเพื่อนอย่างหมั่นไส้
“ถ้าเอ็งสงสารนักก็พาไปอยู่ที่บ้านด้วยสิวะ”
“ถ้าข้าเป็นคนชนคงต้องทำแบบนั้นแหละ แต่เผอิญข้าไม่ใช่คนชนโว๊ย” นายแพทย์หนุ่มบอกเพื่อนยิ้มๆ “เอ็งพาไปอยู่ด้วยก่อนแล้วกัน ไม่แน่หรอกตอนนี้อาจจำอะไรไม่ได้แต่อนาคตไม่แน่”
“เอ็งหมายความว่าความจำของเจ้าหล่อนอาจกลับคืนมาได้อย่างนั้นหรือวะ” น้ำเสียงของคนพูดค่อยรื่นหูขึ้น
“ใช่” คนถูกถามพยักหน้า “เพราะตอนนี้อาจเป็นเพราะความตกใจ ทำให้ความทรงจำสูญหายไปชั่วคราว ในเมื่อเอ็งเป็นสาเหตุทำให้เธอสูญเสียความทรงจำก็ต้องรับผิดชอบ ข้ารู้ว่าเอ็งน่ะชอบสันโดษไม่งั้นคงไม่ปลีกตัวออกมาอยู่ข้างนอกคนเดียวหรอก ก็ให้นึกว่าพาคนป่วยไปช่วยรักษาแล้วกันนึกว่าทำบุญ หรือเอ็งกลัวใจจะไหวหวั่นเพราะมีผู้หญิงสวยๆ ไปอยู่ร่วมบ้านด้วยวะ”
แทนคุณพูดออกไปอย่างนั้นเองด้วยรู้ว่า ตอนนี้ผู้หญิงสำหรับเพื่อนเป็นเพียงแค่หัวหลักหัวตอ เพราะเคยมีความหลังที่ไม่ดีนักมาก่อน
“พูดจาแบบนี้เตะกันคนละทีดีกว่าไอ้หมอคุณ จำไว้เถอะว่าถ้าข้าเจองูกับผู้หญิงข้าเลือกตีผู้หญิงก่อน”
“เออ...ข้าจะจำใส่ใจไว้” คนเป็นเพื่อนพูดน้ำเสียงแกมหัวเราะ “ตกลงว่าเอ็งตัดสินใจแล้วว่าจะพาผู้หญิงคนนี้ไปอยู่ด้วย”
นรภัทรส่งค้อนให้เพื่อน
“แล้วเอ็งจะให้ข้าทำไงได้ล่ะแต่ให้อยู่ชั่วคราวเท่านั้นนะ”
“จะให้อยู่ชั่วคราวหรือถาวรนั่นมันอยู่ที่การตัดสินใจของเอ็งนะไอ้ภัทร”
คนที่จำใจต้องพาใครไม่รู้ไปอยู่ที่บ้านด้วยถอนหายใจเฮือกใหญ่ นึกก่นด่าตัวเองที่น่าจะกลับบ้านไปตั้งแต่คุยงานเสร็จไม่น่าแวะซื้อของเลย ทำให้นอกจากจะได้ของใช้กลับไปแล้ว ยังได้มนุษย์ผู้หญิงกลับไปด้วยอีกคน ไม่รู้ว่าตอนก้าวขาออกจากบ้านใช้ขาไหนก้าวออก หรือจิ้งจกทักแล้วเขาไม่ได้ยิน
เมื่อกลับเข้าไปข้างในห้องฉุกเฉินอีกครั้ง นรภัทรก็เห็นหญิงสาวปริศนาที่เขาจำใจต้องพากลับไปอยู่ร่วมบ้านด้วย จะด้วยมนุษยธรรมหรืออะไรก็แล้วแต่ ต่อไปนี้ชีวิตอันเงียบสงบของเขาคงต้องเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน มีทางเดียวคงต้องสวดภาวนาให้ความทรงจำของอีกฝ่ายกลับมาเหมือนเดิมโดยเร็ว
ดวงตาคู่คมปราบมองร่างค่อนข้างบอบบางของหญิงสาวบนเตียง ที่เวลานี้เปลี่ยนอิริยาบถจากการนอนเป็นนั่งอย่างพินิจพิจารณาเป็นครั้งแรก หลังจากมองเพียงผ่านๆ ในครั้งแรกเพราะมัวแต่วิตกกังวลกับอาการบาดเจ็บของอีกฝ่ายมากกว่า จำได้เพียงว่าดวงตาของอีกฝ่ายนั้นสวยนัก และจากการมองทำให้ชายหนุ่มเห็นหน้าตาผิวพรรณของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน
ผู้หญิงอะไรหน้ายาวราวกับ...ม้า
แถมผิวขาวซีดยังกับปลาสำลัก...น้ำ
คิ้วก็เข้มยังกับ...ชินจัง
คอยาวยังกับตัว...อีที
ตัวก็ผอมบางยังกับเป็นโรคขาดสาร...อาหาร
มองแล้วพานให้จิตใจห่อเหี่ยว ไม่เห็นจะเจริญหูเจริญตาตรงไหน
ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งที่ตัวเองคิดคือสิ่งตรงกันข้ามกับความเป็นจริง นรภัทรก็ยังดันทุรัง...คิด และรีบดึงความรู้สึกที่ว่ากลับมาทันที
“คุณนึกได้หรือยังว่าตัวเองเป็นใคร”
พริมาผู้ต้องสวมบทบาทเป็นคนความทรงจำสูญหายเพราะความจำเป็นบังคับ โดยใจจริงไม่ได้คิดอยากจะหลอกลวงใคร นึกค่อนคนพูด แต่...ก็แค่คิดได้อยู่เพียงในใจเท่านั้น
ถ้าตัวเธอเป็นอย่างที่แกล้งทำจริงๆ ใครจะนึกได้ในเวลาอันรวดเร็วเช่นนี้ ถามไม่คิดจริงๆ หน้าตาหรือก็หล่อไม่ใช่หล่อธรรมดาหล่อมากอีกต่างหาก เพียงแต่ชอบทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเท่านั้น
คนอะไรทำหน้าราวกับจะงับหัวคนอยู่ตลอดเวลา
เธอคงไม่คิดผิดหรอกนะที่หาหนทางออกเช่นนี้ แต่ถ้าไม่ทำก็ไม่รู้จะทำยังไงต่อไป ด้วยหมดหนทางจริงๆ ตอนตัดสินใจออกจากบ้านก็คิดว่าไปตายเอาดาบหน้าแล้วกัน จุดประสงค์แรกคือจะไปหาเพื่อนสนิทแต่อีกฝ่ายดันย้ายบ้านเสียนี่ โทรศัพท์มือถือที่หยิบติดตัวมาก็ไม่รู้ว่าหล่นหายไปตอนไหน
แต่ก็เป็นการดีเหมือนกันเพราะไม่งั้นโทรศัพท์เครื่องนั้น จะกลายเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญ ยืนยันว่าเธอเป็นใครได้จากเบอร์โทร.ในเครื่อง
ช่างหายได้อย่างเหมาะเหม็งถูกจังหวะจริงๆ
“พรุ่งนี้เราพายายพริมไปหาคุณป้าศศิกันดีกว่านะคุณนุช”
“แล้วยายพริมมิอาละวาดบ้านแตกเหรอคะคุณวุธ คุณจำไม่ได้เหรอว่าเราเคยพูดเรื่องนี้มาครั้งนึงแล้วก่อนลูกจะไปเรียนต่อเมืองนอก”
“จะทำไงได้ล่ะ คุณแม่เล่นไปรับปากไว้ตั้งแต่ยายพริมยังตัวเล็กๆ แล้วตอนที่ธุรกิจเราทรุดหนักก็ได้ทางนั้นช่วยเหลือ คุณคิดว่าผมอยากให้ลูกแต่งงานนักหรือไง แต่คำว่าบุญคุณมันค้ำหัวเราไว้”
นั่นเป็นคำพูดของบิดามารดาที่เธอเผอิญแอบได้ยิน และเป็นสาเหตุทำให้ตัดสินใจระเห็จออกจากบ้าน ทั้งที่เพิ่งกลับมาได้ไม่ถึงอาทิตย์ และที่ไม่ได้หยิบกระเป๋าสตางค์มาด้วยก็ไม่น่าเป็นปัญหานัก เพราะจะว่าไปแล้วเธอไม่ได้มาแต่ตัวซะทีเดียว หญิงสาวคิดพลางใช้มือคลำตรงกระเป๋าลับของกางเกงยีนส์ที่สวมอยู่ ในนั้นมีเงินดอลล่าร์ต่างประเทศซ่อนอยู่เป็นจำนวนเงินไม่น้อยนัก
ที่หญิงสาวตัดสินใจเลือกที่จะไปอยู่กับผู้ชายคนนี้ เป็นเพราะจากหน้าตาไร้อารมณ์ของเขานี่แหละ คนประเภทนี้มักจะเป็นพวกไม่ชอบข้องแวะกับผู้หญิง ซึ่งตอนนี้เธอยังไม่สามารถระบุเพศที่แท้จริงได้
แต่ไม่น่าจะใช่ผู้ชายแท้!