พี่นิว น้องมิ้ลค์ (จบ)

1483 Words
เสียงลมหายใจยาวถูกระบายออกมา “สงสัยเตรียมตัวถอยโทรศัพท์ใหม่ได้เลย” วันวิวาห์บอกตัวเอง แล้วมองหารถแท็กซี่ที่จะเรียกกลับบ้าน ทว่ารถเอสยูวีคันใหญ่ก็วิ่งมาจอดตรงหน้า กระจกไฟฟ้าถูกกดลงจนเห็นหน้าคนขับ “มิ้ลค์มาทำอะไรที่นี่” “คุณ คือมิ้ลค์มาหาโทรศัพท์ค่ะ มิ้ลค์คิดว่าทำโทรศัพท์หล่นที่ไซต์งาน” “งั้นขึ้นมาบนรถก่อน” วันวิวาห์ตกใจ จู่ๆ เขาก็มาชวนขึ้นรถ และท่าทางไม่ไว้ใจของคนตัวเล็กก็ทำให้รวิศรีบพูดขึ้น “ผมเก็บโทรศัพท์ของมิ้ลค์ได้ ขึ้นมาบนรถก่อนแล้วค่อยไปหาที่อื่นคุย ตอนนี้รถเข้าออกเยอะเพราะเป็นเวลาเลิกงานของคนงานแล้ว” วันวิวาห์มองไปที่ด้านหลังก็เห็นรถกระบะที่บรรทุกคนงานนั่งอยู่ราวห้าหกคน เตรียมทยอยออกมาจากไซต์งานทีละคัน และการที่เธอยืนคุยอยู่แบบนี้ก็เท่ากับกีดขวางการจราจร “รีบขึ้นรถมาเถอะ ถึงยังไงจะหารถแท็กซี่ตอนนี้ก็รอนาน เป็นเวลาคนเลิกงานแล้ว” วันวิวาห์ตัดสินใจในตอนนั้นว่าไปกับเขาน่าจะดีกว่ายืนรอแท็กซี่อยู่ตรงนี้ เพราะเป็นจุดสนใจเกินไป เธอเองก็ไม่อยากยืนรออยู่คนเดียวตามลำพังนานๆ “ขอบคุณมากนะคะ” วันวิวาห์บอก หลังจากเปิดประตูรถขึ้นมานั่งแล้ว มองคนตัวสูงที่หันมาสบตาแว่บเดียวก็หันไปมองการจราจรเบื้องหน้า “นี่โทรศัพท์ของมิ้ลค์” วันวิวาห์ก้มมองแล้วหันไปเอ่ยกับเขา “ใช่ ของมิ้ลค์จริงๆ ด้วย ขอบคุณอีกครั้งนะคะ” “ผมชื่อรวิศ” “คะ” วันวิวาห์ทวนคำ ก่อนจะยิ้มกระจ่าง “คุณรวิศ” รวิศพยายามรักษาสีหน้าให้ราบเรียบตอนบอกเสียงเบา “ไม่ต้องเรียกคุณหรอก” “ให้เรียกพี่รวิศหรือคะ” รวิศเหลือบตามองคนหน้าใสที่จ้องเขาเขม็ง ดวงตากลมโตใสซื่อบอกให้รู้ว่าเธอสงสัยจริงๆ ว่าจะให้เรียกพี่จริงหรือ “อืม” เขาตอบสั้นๆ เร็วๆ กระอักกระอ่วนบอกไม่ถูก ให้เรียกพี่ทำไมเขาต้องรู้สึกร้อนวูบวาบเหมือนคนวัยทองด้วยวะ วันวิวาห์ไม่ใช่คนเรื่องมาก ตัวเธอยังไม่อยากแก่เลย เขาก็คงไม่อยากให้เธอเรียกเขาด้วยสรรพนามที่ฟังดูเป็นทางการจนเกินไป “พี่รวิศ” เธอลองเรียก “พี่นิวดีกว่า ชื่อเล่นผมเอง” “พี่นิว” “อืม เรียกแบบนั้นแหละ” “จอดให้มิ้ลค์ลงที่ป้ายรถเมล์ข้างหน้าก็ได้นะคะ” รวิศขมวดคิ้วขึ้นมาทันที รู้จักชื่อกันไม่นานก็จะหาทางบ่ายเบี่ยงลงเสียแล้ว เขาเอาลิ้นดุนกระพุ้งแก้ม “ป้ายรถเมล์ข้างหน้าดูจะเข้ายาก ดูสิ รถเมล์จอดแช่ป้ายกันเป็นแถว ถ้าจอดส่งมิ้ลค์ตรงนี้จะถูกรถคันหลังบีบแตรไล่ เอางี้ เดี๋ยวพี่ไปจอดที่หน้าห้างดีไหม ใกล้ๆ แค่นี้เอง” “เอ่อ ก็ได้ค่ะ” ขึ้นรถเขามาแล้วก็ต้องแล้วแต่เจ้าของรถว่าจะสะดวกส่งเธอที่ไหน แม้จะไม่สะดวกใจที่ต้องนั่งรถกับเขา เพราะเกรงใจและยังถือว่าเป็นคนแปลกหน้ากันอยู่ แต่มองดูแล้วเขาใจดี อีกทั้งก็ไม่น่าใช่มิจฉาชีพปลอมตัวไปแอบแฝงในไซต์งาน วันวิวาห์เชื่อสัญชาตญาณตัวเองล้วนๆ อีกทั้งคนงานก็รู้จักเขาด้วย เธอคงคิดมากไปเอง รวิศขับรถมาถึงห้างสรรพสินค้าแล้ว แต่เขาไม่ได้จอดที่หน้าห้าง กลับเลี้ยวเข้าไปหาที่จอดรถด้านในแทน วันวิวาห์เก็บความสงสัยเอาไว้ รอให้เขาพูดก่อน “ตอนแรกพี่ว่าจะส่งมิ้ลค์ที่หน้าห้าง แต่คิดไปคิดมา ทำไมมิ้ลค์ไม่เช็กโทรศัพท์ก่อนว่าใช้งานได้หรือเปล่า” เขาพูดด้วยความเป็นห่วงทุกคำ แต่วันวิวาห์กลับสงสัยว่าทำไมเขาต้องเป็นห่วงโทรศัพท์เธอมากขนาดนี้ ถึงจะใช้ได้หรือไม่ได้ก็ไม่เกี่ยวกับเขาสักหน่อย “มิ้ลค์รบกวนพี่นิวนานแล้ว ถึงโทรศัพท์จะใช้ได้หรือไม่ได้ก็ไม่เป็นไร มิ้ลค์ไม่รบกวนดีกว่าค่ะ ขอบคุณอีกครั้งนะคะ” มือบางกำลังเอื้อมไปเปิดประตูเพื่อจะลง แต่ก็ต้องชะงักไว้เพราะเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นพอดี เป็นอันว่าโทรศัพท์เธอใช้ได้ไม่ได้เสีย “ป้าดา มิ้ลค์เจอโทรศัพท์แล้วค่ะ พี่นิวเป็นคนเก็บไว้ให้ค่ะ” “เขานิสัยดีจริงๆ เลยนะยายมิ้ลค์ ตั้งแต่บ่ายแล้วก็อุ้มมิ้ลค์ไปส่งโรงพยาบาล ตอนเย็นยังเก็บโทรศัพท์คืนให้มิ้ลค์อีก แล้วมิ้ลค์ยังอยู่กับคุณนิวหรือเปล่า” วันวิวาห์เหลือบไปมองคนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย เขามองเธอนิ่งๆ ไม่ได้มีท่าทีรีบร้อนอะไร จนเธอรู้สึกเกรงใจมากขึ้นไปอีก “มิ้ลค์ยังอยู่กับเขาค่ะ” “งั้นก็ตอบแทนน้ำใจเขาสักนิดนะมิ้ลค์ พาเขาไปกินข้าวเป็นการขอบคุณก็ได้ ป้าคิดว่าเขาควรได้รับน้ำใจจากมิ้ลค์ตอบแทนนะลูก” ตอนแรกวันวิวาห์ก็คิดเรื่องการตอบแทนน้ำใจเขา แต่เธอก็คิดไม่ออกว่าควรจะเป็นอะไรได้อีกนอกจากคำขอบคุณที่บอกกับเขาไปหลายครั้งแล้ว ป้าสอนให้เธอแบ่งปัน มีน้ำใจต่อคนอื่นเสมอ และตอนนี้ป้าก็กำลังบอกให้เธอพาผู้ชายไปเลี้ยงข้าว “ยายมิ้ลค์อย่ามัวแต่คิดมากเรื่องเงินนะลูก เลี้ยงเขานิดๆ หน่อยๆ ตอนมิ้ลค์เป็นลม เขาขับรถพาไปส่งโดยไม่เสียเวลาคิด คนดีๆ แบบนี้หายากนะลูก” “ไม่ใช่เรื่องเงินค่ะป้า แต่ว่ามิ้ลค์แค่ไม่สะดวก” ปลายประโยควันวิวาห์กระซิบเสียงเบา ป้าจะให้เธอไปกินข้าวกับหนุ่มหล่อก็จริงแต่เพิ่งเจอหน้ากันแค่วันเดียวได้อย่างไรกันนะ ไม่รู้อะไรดลใจให้ป้าบอกเธอแบบนี้ ปกติป้าจะเตือนเธอเรื่องผู้ชายเสมอว่าอย่าไว้ใจใครง่ายๆ ระหว่างที่วันวิวาห์คุยกับป้าแต่คนนั่งข้างก็ได้ยิน เพราะในรถเงียบมาก ถึงจะพูดเบาแค่ไหนก็ยังได้ยิน “ถ้าไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรครับ มิ้ลค์บอกคุณป้าไปก็ได้ว่าผมติดธุระไปไม่ได้” วันวิวาห์นิ่วหน้า เขาได้ยินที่เธอคุยกับป้ามาตลอด แถมยังออกตัวให้อีกว่าติดธุระ “ป้าคะ พี่นิวติดธุระ ไปไม่ได้ค่ะ” “มิ้ลค์ แน่ใจนะลูกว่าเขาไม่ได้พูดเพราะเกรงใจเรา มิ้ลค์สารภาพกับป้ามาตรงๆ ป้าเลี้ยงมิ้ลค์มาตั้งแต่เด็ก ป้ารู้นิสัยของมิ้ลค์ดี” เบื่อป้าจัง วันวิวาห์แอบคิดในใจ รู้จักเธอดีกว่าที่เธอรู้จักตัวเองเสียอีก “งั้นมิ้ลค์ขอกลับบ้านค่ำหน่อยนะคะ กินข้าวเสร็จแล้วจะรีบกลับทันที” วันวิวาห์ตัดสินใจได้แล้วก็บอกกับคนปลายสายไป ป้าของเธอตอบกลับด้วยน้ำเสียงดีใจเหมือนถูกลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งอย่างนั้นแหละ ขณะที่รวิศอมยิ้ม ที่ในที่สุดแล้ววันวิวาห์ก็ต้องไปเลี้ยงข้าวเขา นั่งลุ้นอยู่ตั้งนาน “พี่นิวรีบไปไหนหรือเปล่าคะ มิ้ลค์อยากจะเลี้ยงขอบคุณค่ะ” รวิศปรับสีหน้าให้เป็นปกติ แล้วตอบเสียงขรึม “ไม่ต้องเลี้ยงข้าวหรอกครับ พี่แวะเข้ามาที่ห้างก็จะมาหาอะไรกินอยู่แล้ว ไม่ได้ตั้งใจจะให้มิ้ลค์มาเลี้ยง พี่ช่วยด้วยความเต็มใจครับ” “แน่นะคะ” “เดี๋ยวก่อนครับ” รวิศรีบเรียกไว้ คนตรงหน้าไวชะมัด คอยแต่จะหนีเขาตลอดจนเขาต้องใช้แผนสุดท้าย “แต่ถ้ามิ้ลค์ตั้งใจจะเลี้ยงขอบคุณ พี่ก็ไม่ติดขัดอะไร คนมีน้ำใจมาเราก็ต้องรับไว้ถึงจะถูก เดี๋ยวเขาจะเสียน้ำใจเอาได้จริงไหมครับ” วันวิวาห์หรี่ตามองเขาด้วยความไม่แน่ใจ เดี๋ยวอยากให้เลี้ยง เดี๋ยวไม่อยากให้เลี้ยง ตกลงเขาเป็นคนแบบไหนกันแน่ วันวิวาห์ไม่ใช่คนอ่อนเดียงสาขนาดไม่รู้จักดูคน เธอมองใบหน้าหล่อเหลาคมเข้ม แม้จะดูนิ่งเรียบก็จริง แต่แววตาดูพราวระยับจนคนมองอดหัวใจเต้นแรงไม่ได้ “ตกลงค่ะ มิ้ลค์ขอเลี้ยงอาหารตอบแทนพี่นิวนะคะ” วันวิวาห์ตอบเขา ไม่เห็นมีอะไรต้องกลัวสักนิด แค่ไปเลี้ยงข้าวเขามื้อเดียวเท่านั้นเอง อีกอย่างก็กินในห้างสรรพสินค้า คนเยอะแยะเขาจะกล้าทำอะไรเธอก็ให้มันรู้ไป ถ้าทำอะไรเธอขึ้นมา แม่จะร้องให้ลั่นห้างเลยคอยดู
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD