“ช่วยด้วยค่ะ เอามันออกไปที” วันวิวาห์ขอร้องตัวสั่น ใบหน้าเริ่มซีดขาวลงทีละนิด
รวิศวิ่งเข้าไปช่วย “อย่าดิ้นสิ เดี๋ยวฉันช่วยเอาออกให้”
วันวิวาห์บังคับตัวเองให้นิ่ง พยักหน้าทั้งน้ำตา “รีบเอามันออกไปทีค่ะ”
รวิศต้องสูดลมหายใจเข้าลึก เพราะเกรงว่ามือจะไปถูกโนมเนื้อของสาวเจ้าที่มันช่างอวบอูมขาวผ่องเหลือเกิน แล้วจะกล่าวหาว่าเขาไปลวนลามเอาได้ มือหนาค่อยๆ หยิบเอาหนอนชาเขียวออกแล้วนำไปวางไว้ที่หญ้าข้างทาง
วันวิวาห์หายใจหอบกระชั้น หน้าที่ซีดขาวกลายเป็นไร้สีเลือด ตัวยืนโงนเงน เห็นรางๆ ว่าเขาหยิบเอาหนอนไปพ้นตัว
“ฉันเอามันออกไปแล้ว” รวิศหันมาบอก แต่ว่าวันวิวาห์ก็เป็นลมไปแล้ว “อ้าว มิ้ลค์ อย่าเป็นลมตรงนี้นะ”
..................................................................................................................
“มิ้ลค์เป็นยังไงบ้างลูก”
เสียงคุ้นเคยของคนที่เลี้ยงดูมากว่ายี่สิบปีทำให้เปลือกตาอ่อนบางของคนที่หมดสติไปปรือขึ้นมาช้าๆ เมื่อปรับโฟกัสสายตาได้แล้วก็พูดขึ้น
“ป้าดา มิ้ลค์อยู่ที่ไหนคะ”
“โรงพยาบาลจ้ะ มิ้ลค์เป็นลม โชคดีที่คุณนิวเขาช่วยไว้ได้ทันแล้วพามิ้ลค์มาส่งโรงพยาบาล”
“ใครกันคะคุณนิว” วันวิวาห์ถามหลังจากรู้สึกว่าหายใจได้ปกติขึ้น เมื่อครู่เธอทั้งตกใจและเพลียแดดจนทำให้หน้ามืดไป
วิภาดาป้าของวันวิวาห์ยิ้มแล้วขยับตัวให้เจ้าของคำถามได้มองเห็น เจ้าของชื่อนิวที่เธอไม่รู้จักยืนมองมาที่เธอด้วยสายตาเรียบนิ่ง เขานั่นเองคุณวิศวกร วันวิวาห์หันกลับไปมองที่ป้าของเธอ
“คุณวิศวกร ขอบคุณมากนะคะ” เพราะยังไม่รู้จักชื่อกัน เธอเลยเรียกเขาแบบนี้ เมื่อเห็นเขาพยักหน้ารับรู้แล้ววันวิวาห์ก็ไม่ได้สนใจอีกฝ่ายอีก หันไปหาป้าทันที “ป้าดา เราต้องรีบไปงาน”
นางวิภาดาส่ายหน้า “ไม่ต้องแล้วละ ป้าโทร.ไปยกเลิกแล้ว มิ้ลค์ป่วยแบบนี้จะไปได้ยังไง กลับไปพักที่บ้านเถอะ สงสัยจะเจอทั้งแดด และกลัวหนอนอีก แถมเมื่อคืนก็นอนน้อย ตื่นมาแต่เช้ามาทำงานเลยเป็นลม” บ้านของนางอยู่เขตชานเมือง ทำให้การเดินทางไปทำงานค่อนข้างลำบาก เพราะงานของหลานส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯ ทำให้บางทีต้องตื่นเช้าและบางทีต้องกลับดึก
คนเป็นป้าพูดกับหลานแต่ว่ามีใครอีกคนยืนฟังด้วยความตั้งใจ
“คนป่วยกลับบ้านไหวใช่ไหมคะ” เสียงพยาบาลแทรกขึ้น เพราะตอนที่คนป่วยมาถึงนั้นก็เริ่มได้สติแล้ว จึงให้ดมแอมโมเนีย และพักฟื้นที่ห้องเฝ้าสังเกตอาการเพื่อรอดูอาการเท่านั้น
“ไหวค่ะ มิ้ลค์ตกใจหนอนเลยเป็นลม” วันวิวาห์ตอบพยาบาล ก่อนหันไปหาป้า “ถ้าไม่ได้ไปทำงานแล้ว เรากลับบ้านกันเถอะค่ะป้าดา”
“งั้นพวกเรากลับก่อนนะคะคุณนิว” นางวิภาดาหันไปบอกวิศวกรหนุ่มหล่อที่ดูภูมิฐาน และเอาแต่มองหลานสาวนางไม่วางตา
รวิศแนะนำตัวกับนางตอนที่อุ้มหลานมาส่งโรงพยาบาล ซึ่งท่าทางตอนอุ้มมานั้นดูร้อนใจเป็นห่วงหลานนางมาก ตอนนางถามว่าหลานไปทำอะไรจนเป็นลม เขาบอกว่าหนอนเกาะที่หน้าอกหลาน นางยังตกใจเป็นห่วงสวัสดิภาพหลาน แต่ฝ่ายนั้นก็ดูไม่ใช่คนถือโอกาสอะไร แถมมีน้ำใจขับรถพามาที่โรงพยาบาล นางเลยรู้สึกติดหนี้น้ำใจเขาด้วยซ้ำ
“แล้วจะกลับยังไงกันครับ”
“ป้ากับยายมิ้ลค์นั่งแท็กซี่ได้ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ” รวิศไม่ได้รั้งไว้อีก ยกมือไหว้ลาป้าของวันวิวาห์ที่ยกมือรับไหว้เขา
“เดี๋ยวป้าไปจ่ายค่าหมอก่อนยายมิ้ลค์”
“ไม่เป็นไรครับ ผมจัดการให้เรียบร้อยแล้ว”
วันวิวาห์หันไปมองเขาด้วยความประหลาดใจ แล้วรีบก้มหยิบเงินในกระเป๋าออกมา “นี่ค่ะ ค่าหมอ คุณรับไว้นะคะ มิ้ลค์ทำให้คุณลำบากแล้วไม่อยากรบกวนเรื่องเงินอีก”
รวิศก้มมองเงินในมือที่อีกฝ่ายยัดใส่มือมาให้ สองพันบาท นับว่าไม่มากไม่น้อย
“งั้นมิ้ลค์กับป้าไปก่อนนะคะ” ทว่าก่อนที่วันวิวาห์จะกลับออกไป ชายในชุดเสื้อกาวน์ขาวสะอาดก็เดินเข้ามาด้วยใบหน้าอบอุ่นใจดี
“คุณหมอมาพอดี คนไข้บอกว่าอาการดีขึ้นมาก จะกลับบ้านแล้ว สรุปอาการเป็นยังไงครับ”
“ไหนขอหมอดูหน่อย” นายแพทย์หนุ่มตรงไปทางคนไข้
วันวิวาห์มองนายแพทย์ที่เข้ามาใหม่ด้วยความสนใจ เขาเป็นหมอที่หน้าหวาน ดูหล่อสะอาดมีออร่า
“ดีขึ้นแล้วใช่ไหมครับ”
“ค่ะ มิ้ลค์ไม่เป็นอะไรแล้ว ขอบคุณคุณหมอมากนะคะ”
“คนไข้น่าจะแค่เป็นลมเลยทำให้หมดสติ ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วละครับ” คุณหมอบอกคนไข้จบก็หันไปทางชายหนุ่มอีกคนที่ยืนไม่ห่าง “สบายใจได้แล้วนะ คนไข้ไม่เป็นอะไรมากแล้ว”
รวิศพยักหน้ารับคำขรึมๆ ขณะที่วันวิวาห์มองตามพลางนึกสงสัย หากแต่ก็หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ พอเขาหันมามองจึงยิ้มตอบ
“ป้าดาคะ งั้นเรากลับกันบ้านกันเถอะค่ะ” วันวิวาห์ลุกจากเตียง เดินผ่านร่างสูงกำยำของรวิศออกมา เธอรู้สึกว่าเขามองอยู่แต่ก็ไม่กล้าหันไปสบตาด้วย ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน “ป้าดาคะ พี่พิมมี่ว่ายังไงบ้าง”
วันวิวาห์เดินห่างไปแล้ว แต่รวิศยังได้ยินที่สาวน้อยหน้าหวานถามป้า ท่าทางจะห่วงงานมาก ตอนวันวิวาห์ยังไม่ได้สติและเขาอุ้มเธอขึ้นรถมาส่งที่โรงพยาบาล ป้าของเธอเล่าให้ฟังว่าวันวิวาห์เป็นเด็กกำพร้า พ่อแม่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ นางเลยรับอุปการะไว้ วันวิวาห์ต้องการเงินมาช่วยเหลือครอบครัว เลยรับงานเดินแบบเพื่อจุนเจือครอบครัว ผลจากการทำงานหนักเลยทำให้ร่างกายที่อ่อนเพลียเป็นทุนเดิม พอเจอหนอนที่เป็นสิ่งเร้าจึงทำให้หัวใจทำงานหนักจนเป็นลมล้มพับไป อีกทั้งแต่ละวันต้องเดินทางไกล จากบ้านไปเรียนหนังสือ และบางทีไปทำงานในเมืองอย่างเช่นย่านทองหล่อ สีลม การเดินทางไม่ต่ำกว่าหนึ่งชั่วโมงจึงยิ่งทำให้ร่างกายล้า
‘หน้าตาน่ารักสมกับชื่อ’
“วันวิวาห์ ว่าแต่มีเจ้าบ่าวหรือยังนะ” รวิศพึมพำกับตัวเองพลางมองสองป้าหลานที่ห่างออกไปไกล ก่อนตัวเขาเองจะลานายแพทย์หนุ่มออกมาเพื่อกลับไปทำงานต่อ เขาทิ้งงานมาทั้งที่ตัวเองก็มีงานยุ่งไม่น้อย งานเทคานต้องอยู่ควบคุมอย่างใกล้ชิด จะให้เกิดความผิดพลาดไม่ได้ แต่ทำไมเขาถึงยอมทิ้งงานมา...
.................................................................................................................
บ้านเดี่ยวสองชั้นกลางเก่ากลางใหม่ตั้งอยู่บริเวณชานเมือง แต่เป็นเขตชุมชนคนพลุกพล่าน บ้านหลังนี้วันวิวาห์อยู่มาตั้งแต่ห้าขวบ บิดามารดาเสียชีวิตไปหมด เธอต้องอาศัยอยู่กับลุงและป้า ทั้งสองเป็นผู้มีบุญคุณกับเธอมาก วันวิวาห์จึงสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ทำให้ท่านทั้งสองต้องเดือดเนื้อร้อนใจไม่ว่าเรื่องอะไรทั้งสิ้น
เพราะเธอเจียมตัวเสมอ แค่ลุงกับป้าเจียดเงินมาเลี้ยงดูเธออีกคนทั้งที่พวกท่านก็มีลูกสองคนที่ต้องส่งเสียเลี้ยงดูเหมือนกัน ลุงของเธอทำงานเป็นหัวหน้าคลังสินค้า มีเงินเดือนบวกโอทีรวมอยู่ที่สามหมื่นบาท แต่โชคดีที่บ้านหลังนี้ผ่อนหมดแล้ว ลุงของเธอจึงประหยัดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ไปได้
กระนั้นค่ากินค่าอยู่ของอีกสี่ชีวิตที่มีป้าและลูกอีกสองคน รวมเธอที่เป็นหลานอีกหนึ่งคนก็หนักหนาเอาการสำหรับลุง วันวิวาห์จึงพยายามทำตัวเองไม่ให้เป็นภาระลุงกับป้าด้วยการตั้งใจเรียนหนังสือและหางานพิเศษทำเสมอทุกปิดเทอม
วันวิวาห์ตั้งใจเรียนตั้งแต่เด็กจึงสอบติดมหาวิทยาลัยของรัฐได้ เธอสอบติดคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี และตอนนี้ก็รอสอบปลายภาคเท่านั้นก็จะจบการศึกษาแล้ว แต่ว่าไหนจะอ่านหนังสือสอบและยังต้องทำงานพริตตี้ เลยทำให้ร่างกายฝืนไม่ไหวจนเป็นลมไป
“ป้าดาคะ มิ้ลค์ขอตัวไปอ่านหนังสือสอบก่อนนะคะ”
“ไปเถอะ ป้าอยากให้เราพักบ้าง ที่จริงพรุ่งนี้ก็สอบแล้ว วันนี้ยังจะรับงานอีก”
“มิ้ลค์เสียดายงานนี่คะ เดินแบบแค่ชั่วโมงเดียวได้ตั้งห้าพัน เอามาให้ป้าดาเป็นค่ากับข้าวได้ตั้งอาทิตย์”
“มิ้ลค์” ป้าดาโอดครวญ “หลานควรจะอยู่สุขสบายกว่านี้ ถ้าพ่อกับแม่ยังอยู่ มิ้ลค์ก็ไม่ต้องเหนื่อยสายตัวแทบขาด” วันวิวาห์เคยได้ยินป้าพูดแบบนี้บ่อยๆ แต่เธอไม่คิดจะทวงถามว่าทำไมเธอต้องลำบากแบบนี้
ความทรงจำของวันวิวาห์มีแค่ลุงและป้าที่เลี้ยงดูอุ้มชูมา ดังนั้นถึงแม้ว่าป้าจะบอกว่าหากพ่อกับแม่ยังอยู่เธอจะสบายกว่านี้ วันวิวาห์ก็ไม่ได้นึกเสียใจอะไร เพราะมีลุงกับป้าที่แสนดีอยู่ทั้งสองคนแล้ว แค่พวกท่านเลี้ยงมาจนเติบใหญ่ไม่เอาไปทิ้งไว้ข้างพงหญ้าหรือไปทิ้งไว้ที่สถานเลี้ยงเด็กก็ดีถมไปแล้ว
“ป้าดาพูดแบบนี้อีกแล้ว มิ้ลค์อยู่กับลุงกับป้าก็มีความสุขที่สุดแล้ว ไม่เห็นต้องมีเงินทองร่ำรวยเลย แค่มีครอบครัวเราแค่นี้มิ้ลค์ก็มีความสุขแล้ว”
วิภาดายกมือลูบศีรษะหลานด้วยความรักใคร่เอ็นดู “มิ้ลค์เป็นเด็กดี ทำอะไรก็เจริญนะลูก”
จู่ๆ วันวิวาห์ก็ตกใจที่เห็นป้ายกมือปาดน้ำตา พอพูดเรื่องพ่อกับแม่ของเธอทีไร ป้าก็น้ำตาแตกทุกที วันวิวาห์เลยไม่อยากให้ป้าพูดถึงเท่าไรนัก เพราะป้าคงสะเทือนใจที่เธอกำพร้าพ่อและแม่
“ป้าดา มิ้ลค์ไม่อยากให้ป้าร้องไห้ สัญญานะคะ ว่าจะไม่ร้องไห้เรื่องมิ้ลค์อีก ไม่งั้นมิ้ลค์จะคิดว่าตัวเองอกตัญญูที่ทำให้ป้าร้องไห้”
“ไม่ร้องแล้วละ” วิภาดาสูดน้ำมูก พยายามไม่คิดเรื่องเก่าหนหลังอีก “มิ้ลค์ว่าจะไปอ่านหนังสือสอบไม่ใช่เหรอ ไปอ่านหนังสือเถอะลูก”
“ค่ะ” วันวิวาห์ตอบป้า แล้วหมุนตัวเดินขึ้นไปชั้นสองของบ้าน กลับเข้าห้องนอน ตั้งใจจะเดินไปหยิบหนังสือมาอ่าน แต่ว่าในใจอดคิดถึงใครคนหนึ่งขึ้นมาไม่ได้…
คนที่อุ้มเธอมาส่งโรงพยาบาล