ว่ากันว่าเดิมทีชีวิตคนเราสั้นยาวไม่เท่ากัน “นาธาน” รู้เรื่องนี้ แต่ไม่คิดว่าชีวิตตนจะมาจบลงเพราะการถูกเพื่อนรักทรยศ เวลานี้แผ่นหลังอันเย็นชืดของเขาทอดร่างแน่นิ่งจมกองเลือดด้วยลมหายใจรวยริน ความเจ็บปวดแล่นปราดไปทั่วร่าง
เขาไม่สามารถขยับเขยื้อนหรือเปล่งเสียงออกมาได้ ทว่าดวงตาคมกริบยังจ้องมองผู้ทรยศหักหลังด้วยความโกรธแค้น พร้อมคำถามภายในใจว่า ทำไม ทำไมต้องฆ่าเขาทั้งๆ ที่ร่วมเป็นร่วมตายกันมานานหลายปี
“Sorry, but I need to do” น้ำเสียงและแววตาที่ส่งมานั้นมันไม่เข้ากับคำขอโทษเลยสักนิด นาธานพยายามใช้เรี่ยวแรงที่มีเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“I've done nothing wrong”
“นายโดดเด่นเกินไป นายเป็นสายลับที่ทำงานยอดเยี่ยมเกินไปนาธาน หากชาติหน้าไม่อยากตายง่ายๆ อย่าทำตัวโดดเด่นให้มากนัก” นั่นคือความหมายที่ได้ยินก่อนที่ดวงตาเริ่มหนักอึ้งจนไม่อาจฝืนลืมตาขึ้นมามองได้อีก ลมหายใจเริ่มติดขัด ครั้นจะพยายามสูดลมหายใจเขาปอดก็เหมือนจะไร้เรี่ยวแรงเต็มที เสียงไซเรนดังแว่วเข้ามาคือสิ่งสุดท้ายที่ได้ยินพร้อมลมหายใจที่ใกล้จะหมดลงทุกที
ปัง!
เฮือก!!
ร่างสูงผุดลุกขึ้นนั่งด้วยความตกใจ ใบหน้างดงามยามนี้เหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้า ยกมือขึ้นกุมหัวใจที่ยังสั่นระรัวผ่านไปครึ่งก้านธูปจึงลุกขึ้นยืนเต็มความสูงหนึ่งร้อยแปดสิบเซ็นติเมตรไปจุดตะเกียงน้ำมัน อดีตที่ตามหลอกหลอนมาตลอดสิบแปดปี และเป็นอดีตที่ไม่อาจหวนกลับไปแก้ไขหรือแม้กระทั่งล้างแค้นได้ จากวันนั้นที่เขาได้ตายไปด้วยน้ำมือของเพื่อนสนิท
เขาได้กลับมาเกิดใหม่ในยุคที่ไม่รู้จักหรือคุ้นเคย ทว่าความทรงจำในอดีตกลับยังคงอยู่เหมือนตอกย้ำความรู้สึกของเขา ใบหน้างดงามมีแต่เพียงความเย็นชาเท่านั้น แม้จะตกใจกับอดีตที่ตามหลอกหลอนแต่ใบหน้ากลับนิ่งเรียบไร้ความรู้สึก ประสบการณ์ในอดีตและปัจจุบันหล่อหลอมให้เขากลายเป็นคนเย็นชาไร้หัวใจเช่นนี้
‘หลิ่วเหวินอี้’ หยิบเสื้อคลุมมาสวม ก่อนจะเดินออกไปหน้าตำหนัก ดวงตาเรียวคมเงยหน้ามองพระจันทร์นิ่งๆ ทว่าในใจกำลังครุ่นคิดถึงอดีต เมื่อก่อนเขาชื่อนาธาน ลูกครึ่งไทยอังกฤษ เป็นCentral Intelligence Agency หรือเรียกสั้นๆ ว่า ซีไอเอ เป็นหน่วยสืบราชการลับของสหรัฐอเมริกาซึ่งเขาโดดเด่นที่สุดในหน่วย แต่ความโดดเด่นนั้นกลับทำลายความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนให้ขาดสะบั้นลง
แต่หากเป็นไปได้เขาอยากจะกินน้ำแกงยายเมิ่งลบเลือนความทรงจำทั้งหมดจะได้ไม่ต้องเจ็บปวดกับความฝันที่ตามหลอกหลอนแบบนี้อีก ทว่านั่นมันแค่ความฝันลมๆ แล้งๆ ของเขาเท่านั้น เพราะหลังจากที่เขาสิ้นใจตายไป พอลืมตาขึ้นมาอีกครั้งกลับเป็นเพียงทารกที่เกิดใหม่เท่านั้น
“นายน้อยฝันร้ายอีกแล้วหรือขอรับ” เสียงที่เอ่ยถามจากทางด้านหลังไม่ได้ทำให้ผู้ที่ดูเฉยชาหันไปมอง
“อืม”
หลิ่วเหวินอี้เพียงแค่ขานรับในลำคอ แต่หากเป็นปกติเขาจะไม่ตอบรับด้วยซ้ำไปเพียงแต่หลวนซานเป็นทั้งเพื่อนและพี่เลี้ยงที่คอยดูแลเขามาตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่มารดาหนีไปตอนเขาเกิดได้สามเดือน แม้คนอื่นๆ จะบอกว่ามารดาเขาได้ตายจากไปแล้ว หากเป็นเด็กปกติก็คงต้องเชื่อกับสิ่งที่บอกเล่าแต่ไม่ใช่สำหรับเขาคนที่มีจิตวิญญาณอายุร่วมห้าสิบปี
“นายน้อยนอนไม่หลับไปเล่นกันไหมขอรับ”
เสียงสดใสที่เอ่ยถามทำให้หลิ่วเหวินอี้หันกลับไปมองนิ่งๆ หลวนซานอายุมากกว่าเขาหกปีแต่หน้านี่หวานและยังดูอ่อนเยาว์กว่าผู้ใดที่เขาพบเจอ ดีแต่ว่าไม่ได้ตัวเล็กน่ารัก แต่มีส่วนสูงกว่าร้อยเจ็ดสิบแปดเซ็นที่ไล่เลี่ยกับเขาเลย รูปร่างนับว่าเป็นนายแบบได้สบายและนั่นจึงเป็นคู่มือการฝึกซ้อมอย่างลับๆ ของเขาเพราะรูปร่างที่พอๆ กัน
“อืม” ขานรับอีกฝ่ายเมื่อถูกจ้องมองอยู่นาน
พรึบ!
สองร่างพุ่งทะยานหายไปกับความมืด เหลือทิ้งไว้เพียงแค่ความว่างเปล่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาออกจากตำหนักไปยามวิกาลโดยที่ไม่มีใครรู้
เคร้ง เคร้ง เคร้ง...
ห่างไกลจากตำหนักของนิกายมารฟ้าไปกว่ายี่สิบลี้ ณ ป่าไผ่ที่มีพื้นที่กว่าห้าสิบไร่ยามนี้กลับมีการต่อสู้อันดุเดือดของสองร่างที่โหมรันฟันแทงกันอย่างเอาเป็นเอาตาย
เคร้ง เคร้ง เคร้ง
พรึบ!
ปลายกระบี่ของหลิ่วเหวินอี้ตวัดพาดลำคอของหลวนซานด้วยความเร็ว จนผู้ที่เป็นคู่ฝึกซ้อมยกยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ
“นายน้อยเก่งขึ้นมากนะขอรับ แบบนี้ข้าน้อยคงเบาใจยามที่นายน้อยคลาดสายตา” หลิ่วเหวินอี้ยกกระบี่ออกจากลำคอมองคนพูดด้วยสายตาเฉยเมย แม้เขาจะซาบซึ้งใจที่หลวนซานจงรักภักดีแต่ประสบการณ์อันเลวร้ายที่ผ่านมาทำให้เขาไม่เชื่อใจผู้ใดได้อีก แม้จะเติบโตมาด้วยกันแต่เขาก็ยังหวาดกลัว
กลัวว่า... จะถูกหักหลังอีกครั้ง!
“กลับเถอะ” บอกเพียงเท่านั้นก่อนจะเร้นกายหายไป ปล่อยให้หลวนซานมองตามเงาร่างนั้นเงียบๆ แล้วพึมพำตามหลังอย่างแผ่วเบา
“ท่านกลัวสิ่งใดกันนะ”
หน้าอกด้านขวาต้องคมศร แผ่นหลังมีบาดแผลลึกมากกว่าสามแผลจากคมดาบจนมองเห็นกระดูก เลือดสดๆ หลั่งไหลราวกับไม่ยอมสิ้นสุด ขาทั้งสองข้างเริ่มไร้เรี่ยวแรงเดินสะเปะสะปะไปเสียทุกย่างก้าวแม้จะอ่อนแรงมากเพียงใดแต่ร่างเล็กของเด็กชายวัยสิบขวบมิอาจยอมแพ้ได้
พยายามลากสังขารอันอ่อนล้าหลบหลีกผู้ตามล่าโดยมีองครักษ์คอยต้านรับอยู่เบื้องหลัง พลันใดนั้นร่างเล็กก็สะดุดรากไม้จนกลิ้งลงเนินเขาไปอย่างมิอาจช่วยเหลือตนเองได้อีก ‘ลั่วเหยียนเจิ้ง’ ร่วงตกยังหุบเขาเว้งว้างไร้ก้นหลุมอย่างไร้การควบคุม ดวงตากลมโตหลับลงอย่างอ่อนล้า การตายเป็นเช่นนี้นี่เอง...