ไม่มีที่ใดปลอดภัย ตราบใดที่เขายังอยู่คอยบัญชาการแทนนายท่าน โรบินลูกชายคนรองนั่งดูพี่ชายนอนหายใจรัวรินบนเตียงผู้ป่วยเครื่องช่วยหายใจกับเครื่องวัดการเต้นหัวใจเป็นสิ่งเดียวที่บอกว่าเขายังอยู่ แต่นานแค่ไหน จะอยู่แบบนี้ได้อีกนานแค่ไหน ความไว้วางใจไม่มีอีกต่อไป มีแต่ความหวาดกลัว น้องชายคนเล็กเข้ามาในห้อง ชั่งตัวเล็กจริง ๆ กิ๊ฟทริกจะไม่โตต่อให้อยู่เป็นพันปีด้วยธรรมชาติที่ได้มาจากผู้เป็นพ่อ เจ้าตัวเล็กเป็นแค่เด็กที่ไร้ทางสู้ต้องคอยอยู่ใกล้พี่ชายทั้งสอง ถึงอย่างนั้นพี่ชายคนโตยังโดนแล้วจะเหลืออะไรล่ะ มีชีวิตเป็นร้อยปีแต่ทั้งสามคนยังเป็นแค่เด็กที่ต้องให้พ่อแม่คอยดูแล แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเขาตายหมด โรบินนั่งกอดกิ๊ฟทริกแน่น เจ้าตัวเล็กเองก็เช่นกัน
อีกฟากของตัวบ้านห้องใต้ดิน เสียงกรีดร้องโหยหวนความเจ็บปวดปนความแค้น น้ำตาที่หลั่งไหลเป็นสายเลือดเล็บแหลมคมทั้งสิบของนายท่านจิกลงไปที่แขนลึกมาก และลึกขึ้นอีก เลือดในกายไหลทะลักตามลอยแผล ตาสีแดงฉานมองสู่เบื้องบน
การกบฏของร่างโคลนเริ่มขึ้นแล้ว
"ฉันจะฆ่าแก ไอร่างโคลนบัดซบ!"
ความฝันคือสิ่งที่เราจิตนาการขึ้นการอยากเป็นอะไรสักอย่าง คุณต้องไขว่คว้ามันเพื่อให้ได้ซึ่งสิ่งที่หวัง...แล้วถ้าไม่คว้ามันล่ะ
เสียงดังสนั่นเหมือนระเบิดพุ่งลงมาจากฟ้า ชานส์ลืมตา เขาอยู่ท่ามกลางถนนในตัวเมืองรอบตัวเขามีแต่ความมืดแสงที่สว่างเป็นระยะเป็นแสงจากระเบิดที่เครื่องบินทิ้งระเบิดปล่อยลงมา
“ที่นี่อีกแล้วเหรอ”
ตึกราบ้านช่องระเนระนาดเป็นแถบ ศพคนตายเกลื่อนท้องถนนไปทั่ว ไม่มีผู้รอดชีวิตสักคนพลั่นเขาเห็นบางสิ่งเคลื่อนไหวอยู่บนอากาศ สีดำเป็นละลอกคลื่นเขาเองก็อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาลุกแล้ววิ่งไปตรงกลุ่มก้อนที่เคลื่อนไหวบนอากาศ
“พวกมันอีกแล้ว”
เมื่อมาถึง มีแต่หินก้อนใหญ่บังเบื้องหน้า เขาปีนขึ้นไปจนเห็น...เห็นพวกมัน สีดำที่ลอยบนอากาศ มันลอยรอบที่ราบกว้างและตรงนั้นมีผู้คนนับร้อยไม่สิเป็นล้าน พวกเขานั่งกอดกัน สวดมนต์อ้อนวอนขออะไรบางอย่างให้ปลดปล่อยพวกเขา พระเจ้าช่วยในกลุ่มคนมีพวกเด็กตัวเล็ก ๆ เสียงร้องดังระงมทั่วที่ราบนั้น ชานส์เตรียมวิ่งออกไปแล้วทุกอย่างหยุดนิ่งแม้กระทั่งอากาศที่อยู่รอบตัว เหมือนคราวที่แล้วเลย พลั้นสายตาคนพวกนั้นมองที่เนินสูงที่อยู่เหนือพวกเขา คราวนี้ไม่เหมือนเดิม ปีศาจสองตัวรูปร่างประหลาดพวกนั้นชวนขนลุกเหมือนสัตว์ถูกนำมาผสมปนกัน ก่อนมีชายร่างสูงเดินโผล่เนินออกมา เขาจำใบหน้านั้นได้มันอยู่ในฝันเขาทุกคืน บัดนี้เหมือนซาตานที่พร้อมจะคร่าชีวิตผู้ที่ต่อต้านเขา ใบหน้าสวยนั้นตอนนี้มันดูน่ากลัวและน่าหวาดเกรง ในเวลาเดียวกันดวงตาเขาหลับสนิทเขาชี้นิ้วไปที่กลุ่มคนเหล่านั้น ปีศาจสีดำที่ลอยบนฟ้าพุ่งลงมาหาพวกเขาอย่างไม่ปรานี กัดกินเนื้อหนังมังสา ช่วงเวลาเพียงไม่กี่วินาทีพวกมันเหลือไว้เพียงกระดูกขาวโพลนแม้แต่เลือดสักหยดยังไม่มี
เสียงขู่คำรามดึงความสนใจเขาปีศาจสองตัวหันมาทางเขา สัญชาตญาณสั่งให้วิ่งแต่ขาเขาไม่ขยับเลย ได้แต่ถอยหลังหนีเลื่อย ๆ จนแผ่นหลังติดกับแผ่นหิน เมื่อพวกมันใกล้เข้ามา พวกมันดมตัวเขาก่อนแยกเขี้ยว หลีกทางให้ชายคนนั้น
“ทำไมคุณถึงทำแบบนี้” เขาถามชายตรงหน้า
ชายตรงหน้าย่อตัวนั่ง แววตามีความโกรธแค้นและเศร้าสร้อย
“คิดสิ” เสียงทุ่มนั้นมีแต่ความเคียดแค้น “เพราะใครทำให้ฉันเป็นแบบนี้” เขายื่นใบหน้าเข้ามาใกล้กระสิบกับหูชานส์ “ถ้า...”
รถเบรกกะทันหัน ทำให้ชานส์ลืมตาโพลงมองออกไปหน้าต่าง เขาเห็นรถหลายคันจอดระเนระนาดไปหมด
“บ้าอะไรเนี่ย” ชานส์มองโคจิม่าที่นั่งหน้าเครียด “นั่งอยู่นี่ฉันไปดูเอง”
เดวิดลุกขึ้นนั่ง
“รถชนเหรอ”
ชานส์ส่ายหน้า เขามองโคจิม่าเข้าไปถามคนที่ยืนกันเกลื่อนบนถนน
โคจิม่าเดินมาที่รถ “ดูเหมือนมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น เห็นบอกว่ามีคนกลุ่มหนึ่งมาที่นี่เหมือนจะมี...เอ่อ...มังกรบินเต็มฟ้าไปหมด ทุกคนพูดแบบเดียวกัน”
ชานส์กับเดวิดมองหน้ากัน
“แปลก ๆ นะ”
เสียงจากโทรศัพท์รถดังขึ้น “ถึงเจ้าหน้าที่เอฟบีไอมีเรื่องเกิดขึ้นที่เขตเอ...ซี...ดี เจ้าหน้าที่คนไหนอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุ รีบไปด้วยด่วน”
“พวกนายรู้ทางลัดไปสถานนีไหม”
ชานส์ชะโงกมองชื่อซอย “เข้าซอยด้านหน้านี่ จะทะลุไปถึงสถานที่ได้เลย พี่ไปเถอะจากตรงนี้ไป เดินไปหนึ่งกิโลก็ถึงบ้านแล้วครับ” ชานส์หันไปถามเดวิด “คุณเดินไหวไหม”
เดวิดพยักหน้า ดีหน่อยที่สีหน้าดีขึ้นแล้ว หายห่วงไปอีกเรื่อง
ชานส์ลงจากรถไปพยุงเดวิดก่อนที่โคจิม่าจะขึ้นรถ
“ถึงสำนักงานนี่เจ้าหน้าที่พิเศษโคจิม่า คราวิ่น ช่วยบอกพิกัดที่เกิดเหตุด้วย” โคจิม่าจดบันทึกตำแหน่งแล้วรีบออกรถไป
“หวังว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นนะ”
“ไปเถอะ” ชานส์จับแขนเดวิด “คุณไหวแน่นะ”
“ผมเจอหนักกว่านี้มาแล้ว”
เรจีน่ากดเปลี่ยนช่องทีวี ไม่ว่าจะช่องไหนก็มีแต่ข่าวประหลาดที่เกิดขึ้นเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อน มีคนตายเกลื่อนยังไม่นับที่สูญหายไปอีก เธอหวังแค่ว่าชานส์ เดวิดและโคจิม่า จะไม่อยู่ในสถานการณ์แบบนั้นด้วย คิดถึงตรงนี้น้ำตาเริ่มคลอเบ้า
ทันย่ากอดเรจีน่าไว้แน่น เธอนั่งดูอยู่ด้วยภาวนาให้โคจิม่าพาชานส์กับเดวิดกลับมาไว ๆ เธอกดโทรหาชานส์รอบที่สาม
“เลขหมายที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้...”
เธอกดปิด ‘คุณอยู่ไหนเนี่ย’
เสียงกริ่งหน้าประตูดังขึ้น ทันย่ารีบวิ่งไปเปิด
“เข้ามาเร็ว” เธอเร่งให้สองหนุ่มรีบเข้าบ้าน รีบปิดประตูล็อคกลอน
เรจีน่าเห็นชานส์เดินเข้ามาที่ห้องนั่งเล่น เธอร้องโห่วิ่งเข้าไปกอดเขา “คุณปลอดภัยนะ”
“พวกผมปลอดภัย” ชานส์กอดเธอไว้ หันไปบอกทันย่า “พี่โคจิม่าไม่ได้กลับมาด้วย ที่สำนักงานโทรมามีที่เกิดเหตุต้องไปอีก”
ทันย่าพยักหน้ามือทาบหน้าอก “แล้วรู้เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นไหม”
“ตอนมาถึงเรื่องก็เกิดไปแล้ว” เดวิดตอบ
เสียงกริ่งดังอีกรอบชานส์ผละออก เขาพยักหน้าให้เดวิดกับทันย่า เขาเดินไปเปิดประตู ชายจรจัดที่เขาเจอวันนั้นยืนตรงระเบียงบ้าน ชายจรจัดยืนก้มหน้ายื่นจดหมายฉบับหนึ่งให้เขา เขารับมันมา
“อีกไม่นานพวกเขาจะมารับครอบครัวคุณไป อีกไม่นาน” ชายจรจัดจากไปพร้อมหัวเราะ
ชานส์เสี้ยวสันหลัง เขากลืนน้ำลาย เข้ามาในบ้าน
“ใครคะ”
“ชายจรจัดเมื่อตอนนั้นน่ะ” ชานส์ผลิกจดหมายในมือไปมา
“ใครส่งมา” เดวิดเดินมาดู
“อืม...ไม่ได้เขียนบอก” ชานส์แกะซองจดหมายด้านในมีกระดาษแผ่นเล็ก ๆ เขาหยิบขึ้นมาอ่าน ขนคอตั้งชัน มีเพียงประโยคเดียวที่เขียนไว้ แต่ที่แน่ ๆ ทำไมถึงเป็นลายมือนี้
‘ฉันกลับมาแล้วนะ’
"รอย"
แอนโทนี่นั่งรับลมตรงระเบียงบ้านอ่านเอกสารที่หอบกลับมาด้วย
“ปวดหัวจริง ๆ”
สุดจะทนกับทุก ๆ เรื่องที่เกิดขึ้น เขาไปอาละวาดครอบครัวโฮแม็กกี้มา แน่นอนพ่อลูกคู่นั้นทำหูทวนลมไม่ฟังเขา ผลคือเขาคาดโทษไว้ว่าถ้าเกิดเรื่องนี้ขึ้นอีกเรื่องนี้จะไปปรากฏในรายงานที่ผู้กำกับดีนต้องส่งให้ผู้บริหารระดับสูง นึกว่าจะสบายแล้วดันมีเรื่องเกิดแปลกเกิดขึ้นมีรายงานเข้ามาที่สำนักงานเอฟบีไอไม่หยุดหย่อน
“ขอพักหายใจบ้างสิ”
“เอกสารบานเชียวไปทำอะไรมาล่ะ”
แอนโทนี่มองค้อน อยากระบายอารมณ์จะแย่ แต่อารมณ์ร้อนเป็นก็เท่านั้น
“คนของพี่คุณน่ะสิ”
คนที่มาถึงนั่งเก้าอี้ข้าง ๆ ขมวดคิ้วแน่น
“พี่เหรอ”
“ส่งคนไปโผล่ทั่วเมืองแบบนี้เขาคิดอะไรอยู่”
ชายคนนี้คือคนที่แอนโทนี่ให้มารับเขาในวันนั้น ทั้งคู่รู้จักกันตอนที่แอนโทนี่พึ่งเข้าทำงานในเอฟบีไอได้ไม่นาน เขาหันไปมองชายที่นั่งข้างตนมองสายคาดคอสีดำที่สลักชื่อของผู้ที่คาด
‘แชนนอล’
แชนนอลรู้ว่าเขามองอยู่จึงถามขึ้น “มีอะไรเรอะ”
“คิดถึงวันที่เราเจอกันครั้งแรกน่ะ เวลาผ่านไปเร็วนะว่าไหม” หลังจากที่พวกเขารู้จักกันผ่านมาเกือบจะยี่สิบปีแล้ว
“ทวนความหลังเหรอ”
แอนโทนี่ทอดสายตาดูทิวทัศ เขาทิ้งอดีตของตัวเองไปนานแล้ว หลังจากเจอแชนนอล แชนนอลลูบมือเขา
“ส่วนกลางต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแน่ พวกคนที่มาเป็นทหารฝีมือดี ฝึกมาดีไม่เปิดเผยตัวให้ใครเห็นง่าย ฉันไม่อยากยุ่งเรื่องนี้เท่าไหร่”
"คิดว่านายท่านเป็นคนส่งมาไหม"
"ไม่แน่ นายท่านชอบทำอะไรมุทะลุไปบ้าง แต่เรื่องนี้มันแปลก ๆ ไว้ฉันจะลองติดต่อไปที่ส่วนกลาง"
แอนโทนี่ฟังเงียบ ๆ เขาเก็บเอกสารที่กองตรงหน้า แชนนอลมองการกระทำนั้น เหมือนอีกฝ่ายรู้เหมือนกันว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
“เวลาใกล้เข้ามาแล้ว” แชนนอลโน้มตัวไปข้างหน้า
แอนโทนี่ยิ้มเหนื่อย ๆ “ฉันเหนื่อย เมื่อไหร่ทุกอย่างจะจบสักที”
แชนนอลกลับมานั่งพิงพนักเก้าอี้ ก่อนจะเอาหน้าซบไปที่ซอกคอแอนโทนี่ เขาผละออกพลางเอื้อมมือไปอุ้มแอนโทนี่แล้วพาเข้าไปในบ้าน
หลังแฮร์รี่ถูกจับมาเขาพยายามหนีจากบ้านพักหลังนี้ บ้านหลังนี้ทำให้รู้สึกไม่ดียิ่งอยู่ยิ่งรู้สึกหวาดหวั่นขึ้น วันหนึ่งความกลัวบางอย่างก็ถาถมเข้าสู่จิตใจของเขา พ่อกับแม่โทรหาเขาแต่พวกเจ้าที่จับเขามาเห็นเข้า พวกเขายึดมือถือเขาไป ปล่อยให้เขาอยู่คนเดียวที่บ้านพักพร้อมกับคนรับใช้สองสามคน บ้านพักนี้ล้อมรอบด้วยป่า ยามเช้าต้องยอมรับว่าอากาศชั่งสดชื่น เสียงไพเราะของเหล่านกร้องต้อนรับแสงตะวันพอตกค่ำกลับเปลี่ยนไป เสียงของสัตว์หากินตอนกลางคืนมันชวนน่าขนลุกหลายเสียงปนเปกัน บางครั้งกลายเป็นว่าได้ยินพวกมันคุยกัน
แฮร์รี่นั่งขดตัวอยู่มุมห้อง หลังจากมาอยู่บ้านพักเขาได้ยินเสียงของพวกมันที่คุยกันทุกคืน ๆ เขาแทบไม่นอนบนเตียงเลย เขาหลับตอนเช้าตื่นตอนกลางคืน เริ่มเป็นตั้งแต่ที่เขาเริ่มรู้สึกกลัว เขาสอดส่องสายตาไปทั่วห้องพยายามมองภายในความมืดของห้องนอน เขากลายเป็นคนที่ผวาง่ายแม้เพียงเสียงหญ้าโดนลมพัด เขาจะหันไปมองเพ่งมองไม่ให้คลาดสายตา เสียงร้องของสัตว์ตอนกลางคืนดังทั่วป่า เขาใช้มือปิดหูทั้งสองก้มหน้าสบหัวเข่าปรากฏให้เห็นรูปดาวตรงหลังคอ
ชานส์นอนมองเพดานในหัวมีแต่ข้อความนั้น
‘ฉันกลับมาแล้วนะ’
ชานส์หันยกหัวเรจีน่าที่นอนหนุนแขนเขาอยู่ ไปหนุนบนหมอนแทน เขาลุกนั่งทบทวนความนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า จะบอกว่ารอยกลับมาจากหลุมศพเหรอ จะให้เชื่อได้ไง...ถึงกระนั้นเขาก็เห็นมาแล้ว วันที่เขาล้มลงที่สำนักงานเอฟบีไอ เขาเห็นชายในฝันยืนตรงหน้าตามเนื้อมีลายอะไรสักอย่างขึ้นตามตัวพร้อมแสงสีแดงกับดวงตาปีศาจสีดำก่ำ เขาอยากเล่าให้เรจีน่าฟังแต่คงโดนหาว่าเป็นบ้าแน่ เขาลุกไปข้างนอกชงนมอุ่น ๆ ดื่ม ยังไงก็นอนไม่หลับแล้ว เขายกแก้วไปที่ห้องนั่งเล่น เปิดหาอะไรดูเรื่อยเปื่อยแล้วกดปิด ตอนนี้ยังมีแต่ข่าวเมื่อตอนกลางวันอยู่ เขาเลิกคิดรีบดื่มนมให้หมดแล้วขึ้นไปนอน
ทั้งคู่ไม่รู้ว่ามีคนกลุ่มหนึ่งซุ่มอยู่รอบบ้าน...
คนกลุ่มนี้มีด้วยกันหกคน ใส่ชุดสีดำสนิท มีหน้ากากปิดครึ่งหน้า
ชายที่ดูเป็นหัวหน้าใช้นิ้วชี้แตะที่สายรัดคอสีดำที่มีชื่อสลักไว้เป็นตัวอักษรสีขาว
‘มิเซีย’
“เรามาถึงแล้ว” เขาเงียบฟังเสียงปลายทาง “เข้าใจแล้ว” เขาเผยิดหน้าไปทางบ้าน ชายชุดดำสองคนที่อยู่ทางด้านขวาของเขาย่องไปทางหน้าต่าง
ชายสองคน คนทางฝั่งขวาดูราดราว อีกคนหนึ่งสะเดาะกลอนหน้าต่าง เพียงสามวิหน้าต่างก็เปิดออก
พวกเขาทยอยกันเข้าไปโดยมีสองคนที่สะเดาะกลอนเมื่อกี้อยู่ดูข้างนอก สี่คนเข้าไปด้านใน สองคนอยู่ชั้นล่าง มิเซียกับอีกคนขึ้นไปข้างบน
มิเซียไล่เปิดที่ละห้องจนถึงห้องนอนของชานส์กับเรจีน่า สองสามีภรรยากำลังหลับสบาย เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าที่ชุบยาสลบออกมาค่อย ๆ ปิดจมูกชานส์ สำหรับเรจีน่าได้ข้อมูลว่าเธอกำลังตั้งครรภ์ เขารอจนกว่าแน่ใจว่าชานส์หลับลึกจากยาสลบ เขาก็เปลี่ยนไปที่หล่อนแต่ไม่ได้ปิดจมูกแค่ให้ดมแค่นี้ก็น่าจะพอให้หล่อนหลับยาว เขาสั่งให้ลูกน้องที่รออยู่นอกห้องเข้าามาแบกชานส์ออกไป ตัวเขาอุ้มเรจีน่าออกจากห้อง ทั้งคู่พาออกทางประตูหลังบ้านที่ลูกน้องสองคนที่อยู่ข้างล่างเปิดไว้ ขึ้นรถตู้สีดำสองคัน พวกเขาแยกชานส์กับเรจีน่าไปคนละคัน ก่อนอัตรธารไปในความมืดของถนน
ร่างโคลนอีกคนของนายท่านมองดูเหตุการณ์จากเงามือ เขาเป็นเพียงผู้สังเกตุการณ์เท่านั้นไม่มีสิทธิเข้าไปยุ่ง
“จะทำอะไรอีกล่ะเนี่ย” เขาส่ายหน้าเมื่อนึกถึงนายท่าน ส่งทหารฝีมือดีมาอาละวาดเล่นซนในเมืองที่มีแต่มนุษย์ ลักพาตัวเด็กสองคนที่ไม่รู้เรื่อง...ฟื้นคืนชีพโดยพลการไม่ถามความสมัครใจของผู้บริหารคนอื่นเล้ย
“ให้ตาย...ฉันเองก็เหนื่อยนะ อย่าให้คอยตามเช็ดได้ไหม” เขาลุกขึ้น “แต่ชักสนุกเหมือนกัน จะลงเอยยังไงน่า”
ชานส์รู้สึกโคลงเคลงแปลก ๆ เขาลืมตาแต่มันหนักอึ้ง เขาฝืนจนได้ บนรถ...ใช่ เขากำลังนอนอยู่บนรถ เขาลุกขึ้นแต่กลับลงไปนอนอีกรอบ
‘เวียนหัว’
“ตื่นแล้วเหรอ”
ชานส์มองทางขวา ชายที่ดูเหมือนหมอใช้หูฟังพร้อมหยิบกระดาษบางอย่างด้วย เขาฟังเสียงหัวใจชานส์
“อืม...โอเคอยู่แต่เสียงปอดมีเสียงฟู่นิด ๆ ไว้ถึงปลายทางฉันจะดูให้”
ชานส์อ้าปากเสียงที่ออกมาจากคอแหบแห้ง เขายกแขนข้างซ้ายมีสายน้ำเกลือติดอยู่
“ถ้าฉันเป็นเธอจะไม่ดื้อ”
“คุณจะพาผมไปไหน” ชานส์ตื่นตระหนก “เร...เรจีน่า เมียผม เธออยู่ไหน”
หมอกดไหล่ชานส์ลงนอนเมื่อเขาจะลุกอีกรอบ
“เธออยู่ที่รถอีกคัน ปลอดภัยดี” หมอมองชานส์เชิงตำหนิ “ลุกพรวดพราดเวียนหัวขึ้นมาเดี๋ยวก็ป่วยอีก” หมอหันไปจัดของในกระเป๋าพยาบาล
“เราจะไปไหน”
“ที่ปลอดภัย ปลอดภัยจากคนบางคน”
“ทำไม”
หมอหยุดสิ่งที่ทำ “เพราะเธอป่วย” แล้วจัดของต่อ “อาการป่วยจะฆ่าเธอถ้าไม่ได้รับการดูแลที่ถูกวิธี”
ชานส์ป่วยมาสองปีเต็มเกือบตายมาสองครั้ง ตอนนี้ในหัวเขา ขอแค่เรจีน่ากับลูกปลอดภัยแค่นั้นก็พอแล้ว
“อีกไกลไหมครับกว่าเราจะถึง”
“ไกลอยู่ ฐานที่ตั้งไม่ได้อยู่ในตัวเมือง ตั้งอยู่แถบทะเลทรายไกลหลายกิโล” เขาหันมาพูดกับชานส์ “ฉันไม่อยากเสี่ยงฉีดมอร์ฟีนให้เธอ เธอดมยาสลบไปค่อนข้างเยอะ จากที่เธอเริ่มรู้สึกตัว” เขามองนาฬิกาข้อมือ “ห้าชั่วโมง ฉะนั้นเป็นเด็กดีแล้วนอนนิ่ง ๆ”
ทันย่าขับมาบ้านชานส์จนเป็นกิจวัฒประจำวันไปแล้ว เธอชอบที่ได้มาอยู่กับเรจีน่ามากกว่า เวลาเธอมีปัญหากับที่บ้านก็มักมาอยู่กับสองคนนี้ไม่ก็ไปหาโคจิม่า คิดถึงเขาก็อดหน้าแดงไม่ได้
“มาคิดอะไรนี่” ดีที่เธออยู่ในรถไม่งั้นโดนหาว่าบ้าแน่ที่ยิ้มอยู่คนเดียว
เธอขับเข้ามาในที่จอดรถ หยิบโดนัทที่แวะซื้อ ลงจากรถเดินฮำเพลงไปที่บ้าน เธอกดกริ่งเรียก...เงียบเชียบ เธอกดอีกครั้งก็เงียบอีก สังหรณ์ใจไม่ดีเลยเธอเดินไปที่ประตูหลังบ้าน มันถูกเปิดทิ้งไว้ เธอเข้าไป
“ชานส์ เรจีน่า”
ไม่มีเสียงตอบ เธอวางของบนโต๊ะข้างกำแพงตรงบันได้ขึ้นชั้นสอง เธอรีบวิ่งไปที่ห้องนอน ประตูเปิดอ้าไม่มีใครอยู่ข้างใน
“ชานส์ เรจีน่า!” เธอวิ่งหาพวกเขาทุกห้องเมื่อไม่เจอเธอคิดว่าควรจะทำไงดี ก่อนโทรหาโคจิม่า
“ไง”
“โคจิม่า พวกเขา...”
“ทันย่าใจเย็น...”
“พวกเขาหายตัวไป”
“อะไรนะ ชานส์กับเรเหรอ เมื่อไหร่”
“ฉ...ฉ...ฉันไม่รู้ มาถึงพวกเขาก็ไม่อยู่แล้ว ประตูหลังบ้านถูกงัดด้วย” เธอเริ่มร้องไห้ฟูมฟาย
“ผมจะไปเดี๋ยวเนี่ย คุณอยู่ที่นั้นก่อนอย่าแตะต้องอะไรนะ”