1

2941 Words
หกปีต่อมา หลังแถลงข่าวเปิดตัวโรงพยาบาลผู้สูงอายุ ผู้นำด้านการรักษาแบบองค์รวม โดยการรวบเอาศาสตร์จากหลายแขนงเข้ามาให้บริการเพื่อตอบสนองความต้องการของประชากรในประเทศที่นับวัน จำนวนกลุ่มผู้สูงอายุจะมากขึ้นทุกปีจนประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีจบสิ้นลงแล้ว นายแพทย์ภวินท์ให้สัมภาษณ์กับสื่ออย่างเป็นกันเองแบบทุกครั้ง ก่อนขอตัวกลับเข้าห้องทำงานที่ชั้นบนของตัวตึกจากนั้น ที่นั่นมีเครื่องดื่มวางรอเขาก่อนหน้าจะก้าวขาเข้ามาเพียงมีกี่นาที หกปีที่ผ่าน นายแพทย์ภวินท์กลายเป็นคนกินยาก ดื่มยากขึ้น เรื่องมากขึ้นหลายระดับ ไม่รวมการดำเนินชีวิตในแวดวงสังคมชั้นสูงที่หล่อหลอมให้ชายหนุ่มผู้ซึ่งเคยธรรมดากลายเป็นคนที่คิดซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ไว้ตัวมากขึ้น ยิ่งไต่ขึ้นไปบนยอดได้สูงเท่าไร อัตตาที่เคยน้อยนิดต่ำเตี้ยเรี่ยดินก็พุ่งทะยานสูงตามความสำเร็จมากขึ้นเท่านั้น บุคลิกภายนอกที่เหมือนคนถ่อมตน ยิ้มง่าย ตรงไปตรงมา แต่ใครเลยจะรู้ว่านั่นคือภาพลวงตาของนายแพทย์ภวินท์ที่เขาจงใจปั้นแต่งมันขึ้น เสียงหวานดังตามมา ภวินท์นั่งลงที่เก้าอี้พนักสูงก่อนหมุนตัวออกไปมองที่วิวด้านนอก “ยาที่จะนำเข้าจากญี่ปุ่นเรียบร้อยแล้วนะคะ เหลือแค่เอกสารไม่กี่แผ่นจากทาง อย. เท่านั้นค่ะ” แพทย์หญิงสราวลีกล่าวเสียงเนิบรายงานให้เขารับรู้ ถึงเรื่องใหญ่ที่เธอขอเป็นโต้โผมาโดยตลอด ยาแผนปัจจุบันที่นำเข้าจากต่างประเทศหลายรายการถูกจัดจำหน่ายด้วยบริษัทของบิดาแพทย์หญิงสราวลี “แล้วเรื่องที่ว่าเป็นคดีความนั่นน่ะค่ะ ทีมกฎหมายแจ้งรายละเอียดเข้ามาแล้วนะคะ” ภวินท์พยักหน้าว่ารับรู้เท่านั้น ไม่พูดอะไร สราวลีลอบสังเกตอาการชายที่ตนพึงใจ ค่อยออกปากถามถึงอีกเรื่อง “เคสวีไอพีที่วอร์ดเก่า จะทำยังไงต่อคะ” ได้ยินสราวลีเอ่ยถึงคนไข้รายสำคัญ พลันใบหน้าของนายแพทย์หนุ่มหล่อที่เหมือนรูปสลักจากหินเคร่งขรึมลง ดูเย็นชาและกระด้างไปชั่วขณะ “เรื่องของเคสนั้นผมรับผิดชอบเอง หมอลีไม่ต้องกังวลไป” แม้จะบอกด้วยวาจาสุภาพ แต่แพทย์หญิงสราวลีก็เข้าใจในถ้อยความ เขากำลังว่าเธอทางอ้อมว่าอย่าเข้ามายุ่งในเรื่องนี้ เงียบทำใจครู่หนึ่ง ถือโอกาสนี้เตือนเขาตามที่บิดาแนะนำ “คุณพ่อบอกว่าคุณน่ะน่าจะเลือกคบคนบ้างก็ดีนะคะ...” ภวินท์กล่าวตัดบท ที่หมายความว่าไม่ให้กล่าวถึงอีก “ขอบคุณหมอลีมาก ฝากขอบคุณท่านด้วย แต่เดี๋ยวที่เหลือผมขอจัดการเอง” แพทย์หญิงสราวลีเงียบปากทันที ภวินท์หยิบแฟ้มที่เปิดค้างบนโต๊ะมาอ่านครู่หนึ่งก็ถาม “หมอลีแจ้งทางศูนย์เรียนรู้แล้วหรือยังครับ” นายแพทย์หนุ่มถามถึงศูนย์เรียนรู้และจัดอบรมที่จัดตั้งเป็นบริษัทในเครือของทางโรงพยาบาล ถึงเรื่องประชุมวิชาการทางการแพทย์ที่กำลังจะจัดขึ้นอีกห้าเดือนข้างหน้านี้ “แจ้งแล้วค่ะ ประชุมวิชาการประจำปีรอบนี้ อาจารย์ตอบรับเชิญเป็นวิทยากรให้ทางเราด้วยนะคะ เนี่ย ลีว่าจะมาบอกคุณ” แพทย์หญิงสราวลีกล่าวถึงนายแพทย์ที่เป็นอาจารย์ของพวกตนสมัยยังเป็นนักศึกษาแพทย์ “ขอบคุณมากหมอลี” บอกจบ คว้าอีกแฟ้มบนโต๊ะอ่านรายละเอียดจะทำงานต่อ “ใครๆ ก็บอกว่าคุณน่ะ อะไรๆ ก็เก่งไปหมด เสียดายก็แต่...” นายแพทย์ภวินท์ชะงัก ปรายตามองมาทำนองว่าอะไรที่เธอต้องการจะเอ่ย สราวลีหลบตาก่อนถอนใจเบาๆ เงียบไปเสียอย่างนั้น “มีอะไรก็พูดเถอะครับหมอลี” “เสียดายก็แต่คุณไม่ใช่หนุ่มโสดน่ะสิคะ” เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมา นายแพทย์หนุ่มก็เบือนหน้าไปอีกทางทันที หกปีแล้วที่เขายังคาทะเบียนสมรสไว้กับฐิตตา และนี่ก็จะเป็นปีสุดท้ายตามกำหนดสัญญา หากจะหย่าก็แค่รอให้ถึงสิ้นปีนี้เท่านั้น เขาก็จะกลายเป็นหนุ่มโสด แต่เรื่องอื่นใดที่ไม่ใช่เรื่องงาน จะไม่อยู่ในเนื้อสมองของเขา นายแพทย์ภวินท์บอกปัด น้ำเสียงฟังดูหงุดหงิดเล็กน้อย “เราเลิกพูดถึงเรื่องนี้ได้ไหมหมอลี” สราวลีปิดปากฉับ แล้วทิ้งเวลาครู่ใหญ่ๆ เอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง “ลีจองโต๊ะที่ร้าน...ไว้แล้วค่ะ” หญิงสาวเอ่ยถึงร้านประจำที่ภวินท์ออกปากว่าที่นี่เท่านั้นที่ถูกปากเขาที่สุด แต่แล้วหมอหนุ่มกลับตอบออกมาว่า “วันนี้ผมไม่อยากไปไหนเลย” “แต่ว่า...” คุณหมอคนสวยกำลังเอ่ยปากเซ้าซี้ชวนไปให้ได้ แต่แล้วก็จำใจต้องหุบลงอีก ภวินท์ไม่ชอบพูดเรื่องเดิมซ้ำซาก ถ้าเขาบอกว่าไม่ก็คือไม่ สราวลีรู้ว่าที่เธอได้ยืนอยู่ในตำแหน่งนี้ตรงที่ได้ใกล้ชิดเขามากที่สุดในระยะเวลาห้าหกปีมานี้ก็เพราะเธอเป็นงาน คะนึง เลขาสาวใหญ่ถูกเธอเขี่ยลงไปช่วยงานพื้นๆ นานแล้ว ตั้งแต่เธอถูกทาบทามให้เข้ามาช่วยงานเขาใหม่ๆ ตอนนั้นเธอดีใจกรีดร้องจนบ้านแทบแตก เมื่อภวินท์ติดต่อหาเธอแล้วเชิญให้เข้ามาร่วมงานด้วยกัน บิดาของเธอเองก็ดีใจที่เธอจะร่วมงานกับเขา ท่านเอ่ยถึงนายแพทย์ภวินท์อยู่เสมอว่าเขาเหมาะจะเป็นนักธุรกิจมากกว่าหมอรักษาคนป่วยเสียด้วยซ้ำ ธุรกิจสุขภาพที่แตกยอดออกมาจากโรงพยาบาลของหมอชวัลในระยะหลังนี้ล้วนมาจากความคิดของเขาทั้งสิ้น ภวินท์จับทางถูก พอคิดปุ๊บเขาลงมือทำทันทีแล้วก็มือขึ้นเสียด้วย ที่ลงทุนลงไปนั่นก่อผลกำไรเป็นตัวเลขสวยๆ ที่นักลงทุนเห็นแล้วผิวปาก นั่งจิบไวน์รอผลตอบแทนด้วยความสบายใจกันทั้งนั้น และมาสองสามปีนี้เองที่เธอแอบรู้มาว่าเขาสะสมอิทธิพลมืดด้วยการคบหากับพวกนอกกฎหมายกลุ่มหนึ่งแต่ก็เป็นไปแบบเงียบๆ นัดพบกันที่เกาะเล็กๆ ในต่างประเทศเสมอ และเคสวีไอพีในวอร์ดเก่านั่นก็คือพวกนั้นเอง ภวินท์ดูลึกลับซับซ้อนมาแต่บัดนั้น เธอแอบเห็นแววตาของเขาตอนประชุมบอร์ดผู้บริหารเวลามีเรื่องต้องถกกัน ก็ลอบใจหาย มันดูน่ากลัวในแบบที่เธอไม่เคยพบเห็นมาก่อน แพทย์หญิงสราวลีนึกถึงเรื่องของชายที่ตนพึงใจทีไร อดถอนใจอย่างคิดหนักไม่ได้ทุกที จะให้เลิกชอบเขาเธอทำไม่ได้หรอก เธอลดอีโก้ตัวเองลงจนแทบไม่เหลือเพื่อภวินท์ ทั้งที่เธอมีฐานะที่ดีกว่า พื้นฐานครอบครัวสูงกว่า แต่เธอก็ลดตัวลงมาเพื่อเอาใจเขา เธอแอบชอบภวินท์ตั้งแต่เป็นนักศึกษาแพทย์ และมั่นใจมาตลอดว่ามองเขาไม่ผิด คนอย่างภวินท์มีอนาคตก้าวไกล เพราะเขามีความมุ่งมั่น มีความปรารถนาอันแรงกล้า หญิงสาวจึงเกาะติดเขาแจแบบไม่ให้ภวินท์สลัดเธอออกไปได้อย่างง่ายดาย เธอเอาใจใส่เขา ไม่ก้าวก่าย ไม่ล้ำเส้น และในจังหวะเดียวกันเธอก็แฝงความรู้สึกลงไปให้เขาได้รู้ตัวอยู่เสมอด้วยว่าเธอรักเขา ปรารถนาดี หวังดีกับเขา และเธอจะรอเขาจนกว่าเขาจะหลุดออกจากสถานะสมรสแล้วหันมายกเธอ เชิดชูเธอขึ้นในตำแหน่งภรรยาเมื่อเวลานั้นมาถึง สราวลีผ่อนลมหายใจออกเบาๆ อย่างน้อยเขาก็ไม่เคยควงหญิงสาวคนใดให้เธอต้องช้ำใจมากไปกว่าครองสถานะสามีของเด็กเหลือขอคนนั้น เธอกับเขาไม่เคยพูดจากันจริงจังเรื่องความสัมพันธ์ แต่สราวลีก็พยายามแสดงตัวให้ใครต่อใครรู้ว่าระหว่างเธอกับเขา ไม่ได้มีแต่เรื่องงานเท่านั้น เขาเองยังเคยถูกสื่อถามเลยถึงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขากับแพทย์หญิงสราวลี แต่ภวินท์ก็ทำเพียงยิ้มไม่ตอบอะไร นั่นละมังเลยทำให้เธอมีความหวังจนมาถึงวันนี้ได้ และแม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับภวินท์จะก้าวไปไม่ถึงคำว่าแฟนเสียที แต่เธอก็รอ รอว่าหากสัญญาที่เขาทำไว้กับอาจารย์ชวัลจบลงเมื่อไร ได้หย่าขาดจากฐิตตาแล้วเขาจะหันกลับมาที่เธอ คิดได้แบบนั้นแล้วเลยย้ายตัวเองไปยืนซ้อนที่ด้านหลังพนักเก้าอี้ของหมอหนุ่มอนาคตไกล แตะมือลงบนบ่าหนั่นแน่นใต้สูทเนื้อดีแล้วลงมือบีบเบาๆ ภวินท์ชะงักครู่หนึ่ง เขาเอียนน้ำหอมกลิ่นฉุนจัดนี่เหลือเกิน แต่ไม่อยากพูดจาให้เพื่อนหมอต้องเสียน้ำใจ กับคนใกล้ชิดภวินท์ไม่เคยใช้คำพูดทำร้ายใครเลยสักคน ต่างจากบอร์ดผู้บริหารที่เขามักพุ่งเข้าใส่ทันทีแบบไม่ไว้หน้าใครด้วยซ้ำ หากต้องห้ำหั่นกันเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีที่สุด “เป็นอะไรคะ ปวดท้องอีกหรือเปล่า” หญิงสาวถามด้วยสีหน้าเป็นกังวลเมื่อเห็นว่าภวินท์มีท่าทีแปลกๆ นายแพทย์ภวินท์มักมีอาการเครียด บางครั้งปวดท้อง บางครั้งปวดศีรษะ มีปัญหานอนไม่หลับหลายคืนติดต่อกันก็บ่อย เธอรู้เพราะแอบดูประวัติการใช้ยาของเขา รู้ว่าเขาใช้ยาหลายชนิดเพื่อรักษาอาการพวกนั้น สราวลีลุกขึ้นจะไปหยิบยาที่เขาต้องกินอยู่เสมอที่มีอาการมาส่งให้ แต่นายแพทย์หนุ่มกล่าวยั้งเอาไว้ “ไม่เป็นไรหรอกหมอลี ผมไม่ได้เป็นอะไรมาก” แสร้งถอนหายใจยาวๆ แล้วก้มตัวลงชวน “ลีรู้จักหมอนวดเก่งๆ ที่สปาของคุณแม่ เราไปนวดกันนะคะ หรือจะลาพักร้อนซัก...” เจ้าหล่อนคิดครู่เดียวค่อยเอ่ยออกมา “ซักอาทิตย์ ไปผ่อนคลายค่อยกลับมาลุยงานกันต่อ คุณว่าแบบไหนที่คุณสะดวกคะ” “อ้อ หมอลี เรื่องร้องเรียนเมื่อวานนี้...” แทนที่เขาจะตอบรับคำชวนของเธอ ภวินท์กลับเอ่ยถึงเรื่องงานขึ้นมาอีก หญิงสาวยิ้มค้าง แต่กระนั้นยังอุตส่าห์วกเข้าเรื่องงานตามความประสงค์ของเขา “คะ?” “เปลี่ยนพนักงานใหม่ยกชุดเลยก็แล้วกันนะ พรุ่งนี้แจ้งฝ่ายบุคคลว่าอย่าลืมอบรมก่อนเข้าทำงานให้เข้มงวดกว่าเดิมหน่อย แล้วถ้ามีข่าวแบบนั้นออกไปอีก บอร์ดคงต้องเปลี่ยนฝ่ายบุคคลใหม่ยกชุดเหมือนกัน” นึกถึงเรื่องความพึงพอใจที่ภวินท์เน้นย้ำเสมอกับคนของตนเอง ว่าต้องให้การรักษาที่เป็นเลิศควบคู่การบริการที่คนไข้พึงพอใจอย่างยิ่งยวดแล้วลอบกลอกตาด้วยความเหนื่อยหน่าย ที่เขาย้ำเพราะเมื่อวานนี้มีเรื่องร้องเรียนของพวกเรื่องมากที่เข้ามาใช้บริการที่นี่ แล้วเจอพนักงานบางแผนกให้บริการบกพร่องไปหน่อยเดียว ก็ถึงกับส่งเรื่องขึ้นมาร้องเรียน ทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ในทันที แพทย์หญิงสราวลียิ้มขื่นๆ ย้ายตัวเองไปนั่งที่โซฟาใกล้ๆ รอจนเลิกงานถึงได้เดินควงคุณหมอหนุ่มออกไปด้านนอกด้วยกัน ภวินท์ต้องแวะไปส่งเพื่อนหมอที่คอนโดมิเนียมย่านกลางเมือง เพราะเจ้าหล่อนว่าเมื่อเช้าติดรถบิดามาทำงาน จึงค่อยกลับไปยังที่พำนักของตนเองจากนั้น ภวินท์ไม่อยากพักที่นี่เท่าไรนักแต่ขัดมารดาไม่ได้ ท่านว่า ‘เจ้าของเขาไม่อยู่ อย่างน้อยๆ เราอยู่ยังช่วยดูแลบ้านให้เขาได้นะลูก จะย้ายออกไปที่อื่นทำไมล่ะ’        นางอัมพรเปลี่ยนไปมาก จากหัวหน้าแม่บ้านบัดนี้เป็นคุณอัมพรที่เฉิดฉายราศีจับทั้งตัว นางสถาปนาตัวเองขึ้นเป็นเจ้าของบ้านด้วยตัวนางเอง เมื่อเจ้าของบ้านตัวจริงอย่างนายแพทย์ชวัลเสียชีวิตลงแล้ว ส่วนบุตรสาวคนเดียวของท่านก็หายไปไม่กลับมาอีกเลย “หมอวิน หมอกลับมาแล้วหรือลูก” กระวีกระวาดมารับ แต่ไม่คล่องนัก ขาข้างหนึ่งหักจากอุบัติเหตุพลัดตกบันไดเมื่อหกปีก่อน จนต้องเข้ารับการผ่าตัดใส่เหล็กยึดเอาไว้ ทำให้ความสั้นยาวของขาไม่เท่ากัน หากไม่ใส่รองเท้าที่ตัดเสริมส้นมาไว้ใช้เฉพาะแล้วเดินเท้าเปล่า จะเดินเหินไม่คล่องอย่างที่เคย เรื่องนี้ทำให้นายแพทย์ภวินท์นึกถึงแล้วเจ็บปวดใจอยู่ไม่น้อย อีกฝ่ายที่เจ็บนั่นแม่ของเขา ส่วนอีกคนนั่นก็มีสถานะเป็นภรรยา ภรรยาที่รอวันหย่าอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี่แล้ว เขาเข้ามาประคองมารดาพร้อมเอ่ยเสียงอ่อนโยนเอาใจ “ครับ ผมกลับมาแล้ว” นางอัมพรยกมือลูบแก้มบุตรชายด้วยความรักใคร่ ชื่นชม เทิดทูน “กินอะไรมาแล้วยังล่ะหมอ” “เรียบร้อยแล้วครับแม่” คนลูกพามารดากลับมานั่ง นางอัมพรก็เสียงดังเรียกให้คนยกเครื่องดื่มสมุนไพรมาให้บุตรชาย ภวินท์มองแล้วไม่ใคร่สบายใจ พอลงนั่งได้ นางอัมพรที่เตรียมตัวมาอย่างดี ค่อยเอ่ยปากพูดขึ้น “แม่มีเรื่องอยากคุยกับหมอพอดีเลย” คุณหมอหนุ่มมองหน้ามารดาแล้วเงียบไม่พูดตอบว่าอะไรราวกับรู้ใจกันเป็นอย่างดี นางอัมพรก็ให้ขัดใจเล็กน้อย แล้วถึงเกริ่นเรื่องที่ว่านั่น “เรื่องของยายฐิตตาน่ะ” พอได้ยินท่านเอ่ยชื่อภรรยาของตน นายแพทย์ภวินท์เงียบไปนานทีเดียว สุดท้ายก็ถาม “ทำไมหรือครับ” “ถึงเวลาลูกต้องหย่าให้มันจบเรื่องกันไปเถอะนะ แม่ล่ะสงสารหมอลีจริงเชียว ผู้หญิงที่ทั้งสวยและดีแบบนั้น จะแต่งงานกับเศรษฐีหรือไฮโซที่ไหนก็ยังได้ แต่หมอลีก็ยังรอลูก ลูกควรเห็นใจเธอบ้าง” “ผมยังไม่เศรษฐีอีกหรือครับ” ภวินท์เย้ามารดาตนเอง แต่นางอัมพรแสร้งทำหน้าบึ้งตึง “แม่รู้ แต่ลูกไม่ใช่คนโสดนี่ ลูกควรไปสะสางกับแม่ฐิตตานั่นให้มันจบ ใกล้ครบกำหนดสัญญาแล้ว แม่เองก็ไปคุยกับทนายสุนัยมา เขาว่าให้ลูกดำเนินการตามกำหนดสัญญาได้เลย”  ภวินท์ได้แต่ถอนหายใจ หากเรื่องราวจะลงมารูปร่างรูปลอยแบบนี้ ครั้งนั้นเขาคงไม่มีทางยอมตกลงตามที่อาจารย์ชวัลขออย่างเด็ดขาด พลันใบหน้าน่ารักของภรรยาที่ไม่ใช่เป็นแต่เพียงในนามสว่างวาบเข้ามาในหัวสมองของนายแพทย์หนุ่มทันที แววตาดื้อรั้น คำพูดคำจาถือดีอวดดี ทำให้หัวใจของนายแพทย์หนุ่มคันยุบยิบขึ้นได้อย่างไม่ง่ายดายเท่าไรนัก เขาไม่ใช่คนอ่อนไหวง่ายกับเพศตรงข้าม แต่ก็ต้องยอมยกให้ฐิตตาเอาไว้หนึ่งคนที่ทำให้เขาเกิดอาการเช่นนี้ได้ เวลาก็ล่วงเลยมานานขนาดนี้ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นไปอย่างไรแล้วบ้าง แล้วเสียงของมารดาก็ว่าขึ้นด้วยคำเดิมๆ ขัดความคิดของเขา “แม่ล่ะสงสารหมอลีจริงเชียว” ภวินท์เรียกท่านเสียงอ่อนใจ “แม่ครับ” นางอัมพรแสร้งถอนหายใจยาวๆ ก่อนปรายตามองไปทางอื่นราวกับกำลังคิดหนัก “ยายฐิตตานั่นหายไปตั้งหลายปีแล้ว ไอ้สัญญาบ้าบอของหมอก็จวนเจียนครบกำหนดแล้ว” นางอัมพรนิ่งไปครู่ รอดูท่าทีบุตรชาย แล้วว่าต่อ “แม่ว่าไปจัดการหย่าให้จบเถอะหมอวิน จะได้สร้างครอบครัวกับผู้หญิงที่ดีพร้อมอย่างหมอลีเสียที” นางอัมพรยื่นซองใส่ข้อมูลของฐิตตาที่จ้างวานนักสืบให้ช่วยตามหาส่งให้บุตรชาย บอกสำทับ “เอานี่ไป แม่ให้คนตามสืบมาแล้ว เขาว่ามันไปอยู่ที่บ้านของคุณตาที่บ้านนอก” นายแพทย์ภวินท์มองแล้วลอบถอนหายใจเบาๆ เขาเองก็มีข้อมูลนี้เช่นกัน แต่ก็คร้านจะปฏิเสธมารดา รับมาถือไว้อย่างนั้น นึกถึงเอกสารหย่าที่ฐิตตาเซ็นไว้ให้เมื่อหกปีก่อน มันยังคงนอนนิ่งๆ อยู่ในซองซุกไว้ที่ด้านในลึกสุดของตู้เอกสาร คงลึกสุดในระดับเดียวกับที่อยู่ในหัวใจของนายแพทย์หนุ่มด้วยเช่นกัน นึกถึงค่ำคืนนั้น คืนที่เธอเมา แต่เขาไม่ได้เมาไปกับเธอด้วย ทั้งที่ปากว่าเธอสกปรกแต่ก็ร่วมรักกับเธอโดยไม่ได้ป้องกัน ใจภวินท์รู้ดีว่าข่าวคาวเน่าเหม็นที่ฉาบตัวเธอไว้นั่นไม่ใช่ความจริง และความสัมพันธ์ครั้งนั้น เธอจะไม่มีลูกกับเขาเลยหรือ แล้วถ้ามีเล่า... คิดมาถึงตรงนี้แล้ว ภวินท์ก็นิ่งไป เขาไม่ได้กล่าวอะไรกับมารดาอีก แล้วลงนั่งพื้นนวดเท้าให้นางอัมพรอย่างที่เคยทำทุกที ค่อยกลับเข้าห้องของตนเองไป เขายังใช้ห้องเดิมเป็นที่พัก ไม่ได้แตะต้องข้าวของอื่นใดในบ้านอย่างที่นางอัมพรทำ อดเหนื่อยใจกับมารดาไม่ได้ที่ท่านเหมือนกับจะเข้ามาครอบครองบ้านของคนอื่นเช่นนี้ และเมื่อเวลานั้นมาถึงจริงๆ เขาก็ควรต้องจัดการเรื่องราวทุกอย่างให้ถูกต้อง พร้อมกับถอนหายใจยาวเหยียดที่ไม่รู้ว่าโล่งใจหรือหนักใจกันแน่        
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD