“แม่จ๋า ทำไมเราต้องมานอนกันที่นี่ด้วยล่ะจ๊ะ”
เสียงถามจากแม่ตัวดีที่เธอเห็นว่ากำลังกระโดดบนที่นอนอยู่ ตอนเปิดประตูเข้ามา พลันขาเปลี้ยลงนั่งพับเพียบแทบทันทีที่เห็นแม่ ฐิตตาไม่อยากดุให้มากความ ถอนใจเฮือกเพราะต้องโป้ปดบุตรของตนเองซ้ำๆ เช่นนี้
“เปลี่ยนที่นอนบ้างไม่ดีหรือยังไง”
สองแสบพากันส่งเสียงราวกับสนุกสนานที่ได้เปลี่ยนที่นอนบ้างอย่างที่เธอว่า จัดที่นอนจนเรียบร้อยพร้อมนอนแล้วถึงเรียก
“มานี่มา มานอนกอดกันสามคนเราเร็วๆ”
หนุ่มน้อยยิ้มจนตาหยีบอก “ผมชอบนอนกอดกับแม่ที่สุดเลยครับ”
กลัวน้อยหน้าพี่ชาย รีบคว้าดอลล่ามากอดแนบอกกระชับแขนเล็กๆ กอดแม่ แหงนหน้ายิ้มจนตาหยีเป็นสระอิบอกบ้าง
“หนูก็ชอบนอนกอดแม่จ้า”
พอได้กอดกันกลมแล้ว อันดาคนพี่แหงนหน้าบอกแม่ด้วยน้ำเสียงติดอ้อนนิดๆ
“แม่ครับ เล่านิทานให้ฟังได้ไหมครับ”
ยิ้มมองใบหน้าเล็กๆ แสนน่ารักของบุตรชายแล้วถามเสียงอ่อนโยน ใจอ่อนยวบยาบเวลาลูกอ้อนแบบนี้
“พี่อันดาอยากฟังเรื่องอะไรคะ”
ถามเอาใจ แต่แล้วแฝดคนพี่ก็หุบยิ้มลงแทบทันทีที่มีอีกเสียงแทรกขึ้น
“มีเหยี่ยวตัวใหญ่โฉบบนท้องฟ้า”
แม่อันนาตัวแสบชิงเล่าเรื่องที่ตนอยากฟังแซงหน้าพี่ชายเสียแล้ว อันดาไม่ยอมอ้าปากค้านเพราะอยากฟังเรื่องอื่นบ้าง นอกจากเรื่องโปรดของน้องสาว
“ไม่เอา ไม่ชอบดาวกุ๊กไก่”
มีหรือที่อันนาจะยอม ยิ่งเห็นพี่ชายมีปากมีเสียงก็ยิ่งสนุก คนชอบแกล้งรีบเล่าแซงหน้าไปอีก
“แม่ไก่และลูกไก่เห็นแล้วพากันวิ่ง วิ่ง วิ่ง วิ่งหนีไป”
ฐิตตาได้แต่ยิ้ม มองดูว่าทั้งสองจะแก้ไขสถานการณ์กันอย่างไร สุดท้ายคนพี่ก็เงียบ ใบหน้าดูงอง้ำลงนิดๆ มองเธอราวกับจะฟ้อง แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไร เพราะเดี๋ยวต้องได้ยินแม่บอกว่าให้น้องก่อนอีกตามเคย อันนายิ่งได้ทีสิแบบนี้
“เหยี่ยวตัวใหญ่บินลงมา จะจับลูกไก่กิน”
เสียงเล็กๆ ที่เล่าเริ่มเรื่องแผ่วลง เพราะอยากฟังแม่เล่ามากกว่า จึงเอ่ยว่า “แม่จ๋าแม่เล่าให้หนูฟังหน่อยนะจ๊ะ”
“ตากับยายเห็นเข้าพอดี เลยคว้าไม้มาไล่ฟาดเหยี่ยวจนมันบินหนีไป แม่ไก่ ลูกไก่ซึ้งใจในบุญคุณของตากับยายที่ช่วยชีวิตพวกมันให้รอดพ้นจากเหยี่ยวตัวใหญ่ตัวนั้นมาได้ จนอยู่มาวันหนึ่งมีพระมาปักกลดตรงเชิงเขา ตากับยายตั้งใจจะทำอาหารไปถวายพระท่านพรุ่งนี้เช้า”
เลยเล่าต่อไปเรื่อยๆ
“แกพากันเข้าไปดูที่ในครัว ไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย ตากับยายสงสารพระท่านมาก กลัวท่านจะอดอาหารเพราะแถบนี้มีบ้านตากับยายแค่หลังเดียว ตากับยายเลยคุยกันว่าเราต้องฆ่าไก่ ทำกับข้าวเป็นอาหารถวายให้พระ ตากับยายคุยไปก็เศร้าใจไป เพราะแกรักและสงสารแม่ไก่กับลูกไก่มาก หากฆ่าแม่มันลูกของมันจะอยู่กันอย่างไร”
ชำเลืองตามองเห็นหนึ่งในสองแสบตาเริ่มปรือ แต่ยายตัวแสบไม่มีทีท่าจะหลับ เลยหยุดเล่า นิ้วเล็กๆ ของแฝดน้องเขี่ยกับท่อนแขนของเธอ ส่งสัญญาณบอกให้เล่าต่อ ฐิตตาเลยอมยิ้ม โอบกอดสองร่างแนบกายด้วยไอรักสุดหัวใจเล่าต่อด้วยเสียงที่เนิบช้าลง
“แม่ไก่กำลังกกลูกไก่นอนได้ยินแล้วตัดสินใจยอมสละชีวิตเพื่อตอบแทนบุญคุณของตากับยาย ก่อนไปแม่ไก่บอกกับลูกๆ ของมันว่า ลูกจ๋า วันพรุ่งนี้แม่คงไม่ได้อยู่กับลูกอีกแล้ว แม่ต้องตอบแทนบุญคุณของตาและยายที่เลี้ยงพวกเรามาตั้งแต่เป็นลูกเจี๊ยบ”
มองอีกทีเห็นอันดาตาหลับลงไปแล้ว แต่แม่อันนายังคงกอดเจ้าดอลล่าเอาไว้แน่น ตาเริ่มจะปรือแล้วแต่พยายามขืนเอาไว้ไม่ยอมหลับเสียที เพราะอยากฟังแม่เล่านิทานให้จบเสียก่อน
“ลูกไก่ทั้งเจ็ดตัว ได้ยินแล้วก็ร้องไห้ซบอกแม่แน่น แม่ไก่ร้องไห้สะอึกสะอื้นสั่งเสียลูกต่อไปอีกว่า ลูกจ๋าลูกต้องรักกัน ต้องสามัคคีกัน น้องต้องเชื่อฟังพี่ อย่ารังแกพี่ เราไม่รักกัน ใครจะมารักพวกเรา...รู้ไหมลูก”
“แม่ไก่กอดลูกของตัวเองไว้ทั้งคืนจนหลับไปด้วยกัน เช้าวันรุ่งขึ้นตากับยายตื่นแต่เช้าเพื่อลุกขึ้นทำอาหาร จับแม่ไก่มาไว้รอทำอาหารไปถวายพระ พอตาก่อไฟ ยายเตรียมประกอบอาหาร ทันใดนั้นตากับยายก็ต้องตกตะลึงจนร้องไม่ออก เมื่อเห็นลูกไก่ทั้งเจ็ดตัวพากันกระโดดเข้ากองไฟ ตายตามแม่ไก่ไปในที่สุด”
เสียงเล่าแผ่วลงเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าหลับตากันไปหมดแล้ว
ไม่เข้าใจว่าทำไมลูกของเธอถึงชอบฟังเรื่องนี้นัก
“แม่จ๋า...” แม่ตัวดียังไม่หลับ เรียกหาให้เล่าต่ออีก จึงปิดเรื่องเสียหน่อยก่อนพาเข้านอน
“เหล่าเทวดานางฟ้ารู้เรื่องนี้เข้าก็พากันซาบซึ้งหมดทั้งสวรรค์ ซาบซึ้งในความกตัญญูของแม่ไก่และลูกไก่ จึงรับลูกไก่ทั้งเจ็ดตัว ไปอยู่บนฟ้า เสกให้มีแสงสว่างระยิบระยับเป็นประกายตั้งแต่บัดนั้น...เป็นต้นมา”
เล่าจบ เสียงเล็กๆ ก็เรียกหาเธอราวกับจะไม่ยอมจบตามนิทานก่อนนอน
“แม่จ๋า”
“จ๋าลูก” ฐิตตาขานรับเสียงเบา นานอยู่อึดใจกว่าที่อันนาจอมป่วนจะเอ่ยปากต่อ
“พ่อไปไหน พวกเรามีพ่อไหมจ๊ะ”
มีไม่กี่ครั้งที่ลูกๆ จะถามหาคนเป็นพ่อ และคำตอบที่เธอให้กับลูกก็จะเป็นแบบนี้เสมอ ไม่ทันอ้าปากพูด อันดาพี่ชายฝาแฝดที่เห็นหลับไปแล้วตอบเสียงงัวเงียขึ้นมาแทน
“แม่เคยบอกพวกเราแล้วไงว่าพ่อน่ะกระโดดเข้ากองไฟก่อนหน้าพวกเราไปแล้ว แล้วก็ขึ้นไปอยู่บนฟ้าเป็นดาวบนนั้น”
“อื้อม์” ตอบรับสั้นๆ
“แม่ครับเล่าอีก ผมอยากฟังเรื่องลูกหมีผจญภัยบ้างครับ”
แล้วหันมาเล่านิทานเรื่องของอันดาบ้าง ไม่วกกลับมาที่เรื่องนี้อีก จนจบเรื่องพอดีสองแสบก็นอนหลับกันไปแล้ว มองร่างเล็กขนาบซ้ายขวาของตัวเองก่อนค่อยๆ ลุกออกจากที่นอน จัดแจงห่มผ้าจนเรียบร้อย จึงย้ายมายังที่นอนอีกฝั่งที่เป็นของเธอ
แสงดาวตรงนั้น ขอพรได้ไหม
ฐิตตามองเหม่อไปบนท้องฟ้าดำสนิทที่มีแสงดาวระยิบระยับพร้อมความคิดที่ว่าอยากให้ชีวิตเรียบง่าย สงบสุขอย่างที่ดำเนินมาตลอดหกปีเพียงแค่นั้น ถอนใจเบาๆ ภาวนาขอให้เขาจัดการเรื่องหย่าให้จบสิ้นโดยไว ออกไปให้ไกลจากชีวิตของเธอเสียที หกปีมานี้เธอคิดว่าทุกอย่างเรียบร้อยไปแล้วเสียอีก แต่แล้วพอเห็นหน้าภวินท์อีกครั้ง
หัวใจของเธอก็รู้สึกปั่นป่วน ไม่สงบนิ่งเหมือนอย่างที่เคยเป็นมา แต่ไม่เป็นไร อีกประเดี๋ยวเขาก็จะจากไปแล้ว รออีกไม่นานพันธะระหว่างเขาและเธอก็จะจบสิ้นลงตามสัญญาบ้าบอนั่นที่ผูกเอาไว้
คิดวกวนไปมาจนรุ่งสางก็นอนไม่หลับ เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีมานี้ที่ต้องจมอยู่กับความคิดแบบนั้นทั้งคืน สุดท้ายลุกออกมาตอนที่ฟ้าใกล้สางนั่นเอง
“คุณออกไปไหนมา...แต่เช้า”
คำถามธรรมดาจากนายแพทย์ภวินท์ ทำเอาฐิตตาถึงกับงันไปชั่วขณะ เพราะมีชนักติดหลังนั่นเอง คอตั้งตรงแหน็ว เชิดขึ้นเล็กน้อย ทำตัวให้ปกติที่สุด ไม่ลนลาน หน่วงเวลาให้ตนเองได้เตรียมใจ เตรียมคำตอบ ทำทีเป็นเฉยเมยไว้ก่อนแล้วเหน็บกลับเป็นการกลบเกลื่อน
“ฉันออกไปไหนต้องรายงานคุณด้วยหรือไง”
“ผมก็แค่ถาม...”
ฐิตตาเงียบไม่ถามกลับ นายแพทย์หนุ่มเอ่ยออกมาแล้วแสร้งจ้องหน้าเธอ ถามต่อคล้ายว่าเขาต้องการจับผิดอะไรสักอย่างในตัวเธอ
“เอ...นี่ผมชักสงสัยแล้วนะ”
“...” ฐิตตาใช้ความเงียบเป็นตัวข่ม แต่นายแพทย์ภวินท์กลับยั่วเธอไม่หยุด
“ชักสงสัยแล้ว...ว่ามีอะไรอยู่ในสวนสมุนไพรนั่น”
“จะมีอะไร ในสวนสมุนไพรก็ต้องมีสมุนไพรสิคะ”
“คุณทำตัวลับๆ ล่อๆ เหมือนกับซ่อนอะไรเอาไว้ในนั้น” เขาว่าจบ เธอรีบเดินจากไปในทันทีเพราะมีเรื่องปิดบังเขาอยู่จริงๆ ภวินท์มองตามแผ่นหลังเล็กๆ ที่ดูบอบบางของฐิตตา แล้วหันไปมองที่ในสวนสมุนไพรด้วยสายตาครุ่นคิดครู่เดียว เดินตามเธอไป
ฐิตตากินอะไรไม่ลงตั้งแต่มีนายแพทย์ภวินท์วนเวียนอยู่ในบ้าน ไหนจะยังต้องเอาลูกไปซ่อนไว้ที่เรือนด้านหลังอีก เมื่อคืนก็เครียดจนนอนไม่หลับ เช้ามาพอเห็นว่าเขาร่วมโต๊ะอาหารด้วย เลยยิ่งกินไม่ลงไปใหญ่ หลายมื้อแล้วที่เธอกินอาหารไม่ค่อยได้
รวบช้อนแล้วผละหนีออกมาก่อน ตั้งใจจะเข้าไปดูคนงานที่ในแปลงสมุนไพรใหม่ที่อีกด้านของสวน ถึงแล้วจัดแจงแบ่งงานให้คนงาน สั่งงาน ช่วยคนงานอยู่ครู่ใหญ่ ก็ให้รู้สึกไม่ค่อยดี เลยหาที่นั่งพักจนคิดว่าอาการดีขึ้นแล้ว ถึงเดินออกจากใต้ร่มไม้ ทำงานต่อ
วันนี้แดดแรงกว่าทุกวัน
ฐิตตารู้สึกว่าตัวเองมองเห็นแต่แสงสีขาวเต็มไปหมด ก่อนจะทันได้รู้ตัวอีกที โลกของเธอก็วูบวาบดับหายไป ลืมตาขึ้นอีกครั้งพบว่านอนอยู่บนเตียงในห้องที่ไม่คุ้นเท่าไรนัก แต่พอเดาออกว่าน่าจะโรงพยาบาลที่ไหนสักที่
“ร่างกายอ่อนแอ พักผ่อนน้อย กินน้อย เครียดสะสม ก็เลยเป็นแบบนี้แหละครับ”
“เมื่อก่อนเคยเป็นไหมหมอ”
“เคยเป็นครับ แอดมิตวันสองวันก็ออกไปซ่าเหมือนเก่า”
ได้ยินเสียงคุยแว่วมาจากด้านนอก ไม่นานประตูห้องถูกเปิดเข้ามา พร้อมเสียงของตาโชติ
“รู้สึกตัวแล้วหรือลูก”
“ถิงไม่ได้เป็นอะไรเสียหน่อย นี่ถึงกับต้องหามมาโรงพยาบาลเลยหรือคะ”
“ไม่เป็นอะไรที่ไหนกันแม่คุณ เราเป็นลมหมดสติไปตั้งเป็นนาน สองนาน ทำยังไงก็ไม่ได้สติ เลยต้องพากันหามมาส่งโรง’บาลเนี่ย” ยายบุญมา บอกด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก ฐิตตามองคนที่ยืนล้อมเตียงเธออยู่ พยายามไม่มองไปทางคนตัวสูงที่ยืนกอดอกมองตรงมุมห้อง แล้วบอกอ้อนวอนกับตาโชติ
“ถิงดีขึ้นแล้วล่ะค่ะ ขอกลับบ้านเลยได้ไหมคะ”
“นอนให้น้ำเกลือสักกระปุกเถอะลูก” ตาโชติสำทับมาอีกคน แววตาเป็นกังวลอยู่ไม่ใช่น้อย
“อย่าเพิ่งกลับเลยนะคะคุณถิง ตอนที่คุณถิงเป็นลมพวกเราตกใจแทบแย่แน่ะค่ะ ปลุกเท่าไรก็ไม่ฟื้น จนคุณหมอต้องลงไปเป่าปาก ก็ไม่ฟื้น ปั๊มๆ เป่าปากสลับก็ไม่ฟื้น สุดท้ายเลยต้องพากันหามมาส่งโรงพยาบาลนี่แหละค่ะ”
เด็กแนนเล่าจบ ใบหน้าที่ขาวซีดของเธอพลันแดงร้อนขึ้นเล็กน้อย ฐิตตาทั้งโกรธ ทั้งอายที่รู้ว่าเขาช่วยปฐมพยาบาลเธอด้วยการทำ CPR จะบ้าหรืออย่างไรทำไมต้องทำขนาดนั้น แล้วพยายามข่มกลั้นความรู้สึกที่ว่านั่น เมื่อคิดว่าเขาพยายามช่วยเธอตามหน้าที่เพียงเท่านั้นเอง
“ตาไปนะ อะไรๆ ที่บ้านน่ะก็ไม่ต้องเป็นห่วงนักหรอก คนเยอะแยะไป รับรองว่าเอาอยู่”
ตาโชติบอกกำกวมในตอนเย็นของวันนั้นขณะลากลับ
ฐิตตามองตามด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์ก่อนจะลอบค้อนให้ผู้เป็นตาที่เหมือนจะจงใจเหลือเกินให้คนอื่นรู้เรื่องที่เธอปิดเอาไว้ เธอไม่อยากอยู่เป็นคนป่วยแบบนี้เลย อยากกลับบ้าน แม้จะยังมึนหัว เวียนหัวอยู่ก็ตามที แต่คิดว่าอาการไม่ได้หนักถึงกับต้องนอนโรงพยาบาลแบบนี้ แต่แล้วก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครเข้าใจเธอเลยสักคน ทุกคนลงความเห็นว่าเธอต้องนอนพักรักษาตัวอยู่ที่นี่ไปก่อน
จนคล้อยหลังคนอื่นๆ ไปจนหมดแล้ว ก็ยังเห็นภวินท์ยืนอยู่ที่เดิม ไม่ตามออกไป มองหน้าเขาอึดใจ เขาเองก็จ้องหน้าเธอตอบกลับมา
สุดท้ายเลยต้องถามเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนล้าเล็กน้อย
“ทำไมคุณยังอยู่”
ภวินท์ไม่ตอบ เขาถามกลับ “ทำไมผมต้องไป”
ฐิตตาเลิกถามแล้วตะแคงตัว นอนหันหลังให้คนที่เอาแต่ป่วนเธออยู่อย่างนั้นไม่หยุดไม่หย่อนเสียที นานข้ามชั่วโมงก็ยังเห็นนอนท่าเดิม
“พลิกตัวมาทางนี้บ้างสิ เดี๋ยวก็เป็นแผลกดทับหรอก ท่านั้นมันขึ้นได้นะตรงหัวไหล่กับสะโพกของคุณน่ะ”
ภวินท์บอกยั่วๆ มองแผ่นหลังเล็กๆ ของเธออยู่ตลอดเวลา พอเห็นว่าเธอยังคงเฉย เลยวางรีโมตทีวีลงแล้วย้ายตัวเองไปนั่งที่เก้าอี้ฝั่งเดียวกับที่เธอตะแคงหน้าไป พอฐิตตาลืมตาขึ้นเห็นเขาก็พลิกกลับไปอีกด้านเป็นอย่างนั้นอยู่ตลอดทั้งคืน จวบจนรุ่งเช้ารู้สึกตัวตื่นพอดีก็เห็นว่าใบหน้าของเขาอิดโรยเล็กน้อย อย่าบอกนะว่านั่งเฝ้าเธอแบบนี้ทั้งคืน พอเห็นอีกฝ่ายเดินเข้าไปในห้องน้ำไปด้วยท่าทีง่วงงุนก็ให้นึกสมน้ำหน้า แต่แล้วในความสาสมใจนั่นพลันปรากฏความรู้สึกหนึ่งขึ้น ก่อนจะรีบปัดมันทิ้งไปอย่างรวดเร็ว เมื่อนึกถึงความร้ายกาจของเขาและนางอัมพร
ประตูถูกเปิดเข้ามาแต่เช้าพร้อมเสียงทัก
“คุณถิงครับ”
เสียงของคนมาใหม่ตื่นเต้นระคนร้อนใจ ฐิตตาที่เพิ่งลืมตาตื่น เห็นว่าเป็นนายแพทย์พงศ์ภรณ์ก็ค่อยยิ้มบางๆ ทักกลับ
“หมอพอล”
อีกฝ่ายรีบบอก ขณะเข้ามายืนที่ข้างเตียงของเธอ “ผมเพิ่งกลับจากประชุมครับ เป็นยังไงบ้างครับนี่เห็นว่าเป็นลมไม่ได้สติ” แล้วยั้งปากไว้ทันเมื่อในประวัติบอกว่าเธอมีอาการหยุดหายใจชั่วขณะด้วย
“ดีขึ้นแล้ว วันนี้หมอส่งดิสชาร์จได้เลย”
เสียงสั่งดังมาจากประตูห้องน้ำ ภายในห้องพักผู้ป่วย
นายแพทย์พงศ์ภรณ์หันขวับไปมองแทบทันที ส่วนเธอทำเพียงเอนศีรษะพิงหัวเตียงเอาไว้เท่านั้น
“หมอวิน”
ภวินท์ทักกลับเนือยๆ “ไง หมอพอล ไม่เจอกันนานเลยนะ”
“ทำไมหมอวินมาอยู่ที่นี่ แล้วทำไม”
ทั้งห้องพร้อมใจกันเงียบ นายแพทย์พงศ์ภรณ์หน้าเหลอหลาเล็กน้อย มองคนนั้นทีคนนี้ที อึกอักอยู่ครู่ แล้วถามออกไป
“ผมไม่เคยทราบมาก่อนว่าคุณถิงสนิทกับหมอภวินท์ด้วย”
หมอหนุ่มถามนำเพื่อให้ฐิตตาแก้ความเข้าใจของตน แต่ก็เหมือนจะเดินหมากผิด เมื่อได้ความเงียบกลับมาเป็นคำตอบ ตามด้วยรอยยิ้มของนายแพทย์ภวินท์
“สนิทกันครับ สนิทมาก สนิทแบบที่ผู้ชายคนไหนก็สนิทได้ไม่เท่ากับผม”
“มะ หมายความว่ายังไงครับ” นายแพทย์ประจำโรงพยาบาลชุมชนมีท่าทีงงงวย อยากได้คำตอบพอๆ กับไม่อยากได้ นายแพทย์ภวินท์เข้ามายืนที่อีกฝั่งเตียง สบตานายแพทย์พงศ์ภรณ์แล้วถึงกล่าว
“ผมกับฐิตตา เราเป็นสามีภรรยากันอย่างถูกต้องตามกฎหมายนี่ครับ อย่างนั้นแล้วเธอเลยไปสนิทกับผู้ชายคนไหนไม่ได้เท่าผมอีกแล้ว เอ...เรื่องผมกับฐิตตาใครเขาก็รู้กันทั่วนะ ทำไมหมอพอลไม่รู้”
หมอพงศ์ภรณ์ถึงกับเบื้อใบ้ไปเป็นนาทีหลังได้ยินคำประกาศของเพื่อนหมอรุ่นเดียวกัน พอตั้งสติได้ ลงมือทำหน้าที่ของตนต่อ อยู่ตรวจอาการฐิตตาอยู่ครู่ด้วยใบหน้าขาวซีดแล้วถึงจากไปด้วยท่าทีคล้ายคนสิ้นหวัง
“ท่าทางหมอพอล เขาดูผิดหวังชอบกล คุณไม่ได้บอกใครสินะว่าเรา...”
ยังพูดไม่จบ คนที่นอนป่วยอยู่ก็ขัดอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก “ไม่จำเป็น”
เห็นเธอบอกอย่างไม่แยแส ก็ยิ่งอยากแหย่
“แสดงว่ายังมีคนไม่รู้อีกเยอะเลยนะเรื่องของเราน่ะ”
“ค่ะ น่าจะรวมถึงคุณหมอสราวลีด้วยละมัง”
ภวินท์ได้ยินแบบนั้นแล้วยิ้มกว้างขึ้น อย่างที่ใครอื่นมาเห็นแล้วคงตกอกตกใจไม่น้อยกับรอยยิ้มเช่นนี้
“คุณต้องไปแสดงตัวแบบที่ผมทำบ้างนะฐิตตา”
“เรื่องอะไร” ว่าจบตลบผ้าห่มออก จะเข้าห้องน้ำ
“ไม่อย่างนั้นคุณจะเสียสิทธิ์น่ะสิ”
“ฉันไม่ได้อยากได้อยู่แล้ว สิทธิ์บ้าๆ อะไรนั่น”
แล้วตวัดขาเตรียมตัวลงจากเตียงคนละฝั่งกับที่นายแพทย์ภวินท์ยืน เขาเข้ามาจะช่วย แต่ฐิตตาปัดมือเขาออก แล้วลากเสาน้ำเกลือเดินเข้าห้องน้ำเองอย่างทุลักทุเล
“ดื้อ”
ได้ยินคำว่ามาคำหนึ่งแต่ก็ทำเฉยเสีย ไม่อยากใส่ใจกับคำพูดของเขา โล่งใจที่ในนั้นมีพวกยาสีฟัน แปรงสีฟันพร้อมอยู่แล้ว ใจจริงอยากอาบน้ำเสียเลย แต่ก็รุงรังกับสายน้ำเกลือพวกนี้ เมื่อครู่ลืมบอกนายแพทย์พงศ์ภรณ์ไปเลยเรื่องสายน้ำเกลือนี่
บีบยาสีฟันลงบนแปรงเสร็จแล้วอดนึกถึงสองแสบไม่ได้
ป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง จะงอแงหรือไม่ เพราะไม่เคยมีสักครั้งที่ต้องห่างลูกแบบนี้
ล้างหน้าล้างตาเสร็จ ดึงประตูห้องน้ำเปิดออก ก็เสียหลักเล็กน้อยเพราะมีน้ำหกจากที่ล้างหน้าเมื่อครู่ บวกกับเสาน้ำเกลือขวางทางอยู่ด้วย ดีที่มีภวินท์ยืนรออยู่ เขาเข้ามาประคองเธอเอาไว้ได้ทัน เป็นจังหวะเดียวกับที่ประตูห้องพักผู้ป่วยเปิดออกพร้อมคนมาเยี่ยมพอดี
“นี่ ให้มันน้อยๆ หน่อยนะ ในโรง’บาลก็ไม่เว้นหรือไง”
จำได้ว่าเป็นเสียงของยายบุญมานั่นเอง
ฐิตตาหน้าร้อนวูบขึ้น แล้วพยายามออกจากอ้อมแขนที่รู้ในวินาทีนั้นว่าทั้งแข็งทั้งแกร่งและหนั่นแน่นเพียงใด แต่เจ้าของอ้อมแขนล่ำกลับรัดเธอแน่นมากยิ่งขึ้นทุกขณะที่ออกแรงดิ้น ได้ยินเสียงเขาหัวเราะเบาๆ ในลำคออีกด้วย ราวกับจะยั่วเธอ
พอเงยหน้ามอง ทำตาดุใส่ นายแพทย์ภวินท์ก็ก้มลงจนจมูกของเขาแตะโดนหน้าผากของเธอเบาๆ แต่เพราะร่างสูงใหญ่ยืนหันหลังบังอยู่ คนอื่นจึงไม่เห็นฉากนี้ ฐิตตาฮึดฮัดขัดใจแต่ทำอะไรไม่ได้ ไหนจะสายน้ำเกลือ ไหนจะเขาที่พันธนาการจนขยับหลบหลีกไปไหนไม่ได้
จนเหมือนกับว่าเขาพอใจแล้ว ถึงได้เปลี่ยนท่าทีทำเป็นนำเธอกลับมายังเตียงนอนดังเดิมที่มีเพียงหลังเดียวตรงกลางห้องพักผู้ป่วย
“ดีขึ้นแล้วหรือยัง ทำไมหน้าตายังดูเซียวๆ อยู่อีก”
“ดีขึ้นแล้วค่ะ” เลือกตอบคำถามแรก ก่อนสรุปต่อ “คงกินน้อยด้วย พักผ่อนก็ไม่พอ เลยเป็นลม หมอพอลมาดูแล้วค่ะ ว่าจะให้กลับวันนี้”
ตาโชติบอกต่อ “ตาเพิ่งไปคุยกับแกมา ขอให้หนูนอนอีกวัน”
ฐิตตาส่ายหน้าว่าเสียงเนือยๆ “ไม่เอาหรอกค่ะ ถิงห่วง...”
พูดมาแค่นั้นแล้วก็นึกขึ้นได้ว่ามีคนนอกนั่งอยู่ด้วยนอกจากคนของตนเอง เลยกล่าวอย่างไม่ให้มีพิรุธ
“ห่วงงานที่ทำค้างเอาไว้ในสวนน่ะค่ะ”
นายแพทย์ภวินท์จ้องทีวีที่เปิดเสียงไว้เบาๆ แทบไม่ได้ยินเลยด้วยซ้ำ แต่หูเขาลอบฟังแม่ตัวดีที่บนเตียงคุยกับคนอื่นๆ เมื่อครู่ได้ยินแล้วแต่ไม่ได้ถามสอดว่าเธอห่วงอะไร ไม่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง แล้วขอตัวออกไปด้านนอกเมื่อมีสายเรียกเข้ามาพอดี อยากให้เธอได้คุยเป็นการส่วนตัวกับคนมาเยี่ยมด้วย
นายแพทย์ภวินท์คุยสายสนทนาจบ เดินตรงไปยังเคาน์เตอร์พยาบาลก่อนจะเข้าไปยืนยิ้มๆ ที่ตรงนั้น เมื่อเห็นบรรดาพยาบาลสี่ห้าคนที่ราวน์วอร์ดเสร็จพอดี
“สวัสดีครับ” เขาทักหนึ่งในพยาบาลทั้งหมด ราวกับคุ้นเคย
“อ้าว หมอวิน ตายแล้วมาได้ยังไงคะ”
“มาเฝ้าไข้ ห้อง...” ภวินท์เอ่ยเลขห้องของฐิตตาออกไป
พี่พยาบาลคนนั้นก็ค่อยพยักหน้ารับความ
ก่อนหน้าแกเคยอยู่ที่โรงพยาบาลศูนย์มาก่อน แล้วย้ายจากที่เดิมมาเอาตำแหน่งที่โรงพยาบาลประจำอำเภอแห่งนี้ถึงได้พบกันอีกครั้ง
ทักทายพูดคุยกันจบ อาศัยความคุ้นเคยกับพี่พยาบาลหัวหน้าวอร์ดคนไข้ เอ่ยปากขอดูชาร์จของฐิตตา รับมาเปิดดูแล้วมุ่นคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นผลแล็บ แล้วพลิกไปดูที่หน้าประวัติย้อนหลัง ยิ่งต้องขมวดคิ้วหนักขึ้น เมื่อพบว่าเธอมาพบแพทย์ด้วยอาการอะไรบ้าง เขารีบพลิกหาผลแล็บครั้งนั้นแต่กลับไม่พบ
พลันผุดความคิดตอกย้ำบางสิ่งในหัวของนายแพทย์ภวินท์
รอยแผลเป็นตรงท้องน้อยของเธอเมื่อตอนเขาช่วยปฐมพยาบาลให้ โผล่ขึ้นมาในความทรงจำ เมื่อข้อสมมุติฐานวาบขึ้นในหัว สันกรามของคุณหมอหนุ่มก็ปรากฏเป็นรอยนูนขึ้นชั่วขณะก่อนจางหายไปพร้อมถอนลมหายใจออกยาวๆ อย่างพยายามระงับอารมณ์คุกรุ่นที่พลุ่งพล่านขึ้นในวินาทีนั้น
ฐิตตาตั้งครรภ์!
ระยะเวลาในประวัติคนไข้มันประจวบเหมาะเหลือเกินกับที่เขาและเธอมีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง แล้วเธอก็หลบมาอยู่กับตาโชติที่นี่
ภวินท์ให้คนตามสืบเมื่อทิ้งเวลาได้ระยะหนึ่ง ปรากฏว่าเธอไม่ยอมกลับมาเสียทีอย่างที่เขาคาดคะเน เลยตามมาจนถึงที่บ้านของตาโชติ เอ่ยปากขอพบ แต่ตาโชติก็บ่ายเบี่ยงท่าเดียว ไม่ให้เขาพบฐิตตา ท่านบอกว่าเธออยู่ที่นี่กับท่านจริงและเอ่ยปากขอไม่ให้ภวินท์มาที่นี่อีก ทั้งยังวางเงื่อนไขกับเขาอีกหลายเรื่อง ไม่ลืมย้ำว่าที่ไม่อยากให้เขามาที่นี่อีกเพราะกลัวฐิตตามาเห็นเขาเข้าแล้วจะเตลิดหายไปที่อื่น จนอาจตามตัวไม่ได้อีกเลย
‘ยัยหนูน่ะหลานสาวแท้ๆ ของผมเองนะหมอ ไม่ต้องมาฝากให้ผมดูแกหรอก อันที่จริงผมว่าระยะเวลาจากนี้ ในเมื่อคุณหมอต้องการพิสูจน์ตัวเองก็น่าจะกลับไปบริหารงานที่ชวัลมอบหมายให้ไม่ดีกว่าหรือ ทำให้มันประสบผลสำเร็จไปเสียเลยสิ ขาดทุนก็ทำให้มันได้กำไรขึ้นมา ดีกว่าเที่ยวเทียวไปเทียวมาตามหาหลานสาวผมอยู่แบบนี้’
เรื่องนั้นเขาต้องทำอยู่แล้ว เพราะรับปากอาจารย์ชวัลเอาไว้ แต่ก็อยากพบหน้าฐิตตา อยากคุย อยากปรับความเข้าใจกับเธอก่อน จึงพยายามแย้งท่าน
‘แต่คุณตาครับ...ขอผมพบฐิตตาสักหน่อยได้ไหมครับ’
‘อย่าเพิ่งเลยหมอ ทิ้งไว้แบบนี้ก่อนเถอะ คุณมีหน้าที่อะไรก็กลับไปทำ’ ตาโชติยังคงย้ำคำเดิม
‘ผมกลับไปแน่ครับ แต่ผมอยากคุยกับเธอก่อน…’
‘ให้ทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว คุณค่อยมาคุยกับแก ตอนนั้นจะมารับตัวยัยถิงกลับไปก็ได้ แต่ต้องถามความสมัครใจของหลานผมก่อนนะ’
ตาโชติเอาแต่บอกเขาแบบนั้นทุกครั้งที่เขาบากหน้าไปหา ภวินท์จะทำอะไรได้ เขาก็แต่รับปากอย่างยอมจำนนไปเท่านั้นเอง และวินาทีนี้เขาจะต้องรู้ให้ได้ว่าสิ่งที่เขาสงสัยอยู่เป็นความจริง
ช่วงที่เธออยู่ที่นี่ ที่บ้านของตาโชติ ฐิตตาตั้งครรภ์ ไม่รู้ว่าอะไรทำให้มั่นใจอย่างหนักขนาดนั้นว่าหากจริง เด็กก็ต้องเป็นเลือดเนื้อของเขาอย่างแน่นอน แล้วตอนนี้ลูกของเขาที่เกิดจากฐิตตาอยู่ที่ไหน
ใช่เรือนเล็กในสวนสมุนไพรนั่นหรือไม่
เหล่าคนมาเยี่ยมทยอยกลับไปแล้ว เมื่อเห็นว่าฐิตตาหลับ
“พี่มาปลุกน้องถิงหรือเปล่าจ๊ะ”
พี่พยาบาลที่ชื่อไหมถาม เมื่อเห็นฐิตตาลืมตาตื่น ค่อยลากรถเข็นมาข้างเตียง แล้วเอาสายรัดเครื่องวัดความดันโลหิตรัดรอบต้นแขนของเธอ
“ไม่ค่ะ ถิงตื่นพอดี” บอกเสียงงัวเงียเล็กน้อย
“พี่เอาชุดมาให้เจ้าสองแสบด้วย ใส่เสร็จแล้วถ่ายส่งไลน์มาให้พี่หน่อยนะ สองคนนี้นี่ใส่ชุดอะไรก็ขึ้น น่าพาไปประกวด ไปลองแคสติ้งนะน้องถิง พี่ว่าต้องดังเปรี้ยงเลยล่ะ” บอกจบเอาถุงกระดาษวางตรงโซฟาไว้ก่อน รอจนวัดไข้ วัดความดันเรียบร้อยก็ว่าจะส่งให้ฐิตตาดู
“สองคนไหนหรือครับ”
แว่วเสียงถามดังมาจากหน้าห้องน้ำ คราวนี้ฐิตตาตาสว่างพรึ่บขึ้นมาทันที พี่พยาบาลหันไปมองทางนายแพทย์ภวินท์แล้วออกอาการประหม่าเล็กน้อย ค่อยตอบกลับ
“อ้าว ก็น้องอัน...”
ฐิตตาลนลาน รีบแทรกขึ้นก่อน “พี่ไหมคะ ถิงปวด...”
พี่ไหมเลยพลอยตกใจตามไปด้วย ถามเสียงตื่น
“ตายแล้ว เป็นอะไรคะน้องถิง ปวดอะไร ปวดตรงไหนคะ”
ฐิตตาร้องจบ ขอยามั่วๆ ออกไป เพื่อไม่ให้พี่พยาบาลหลุดปากมากกว่านี้ เมื่อทางนั้นออกจากห้องแล้ว เลยตกอยู่ในความเงียบแบบนั้นเป็นนาน ยิ่งเขาไม่ถาม ฐิตตาก็ยิ่งรู้สึกว่าเขากำลังสงสัยเธออย่างที่สุด เพียงแต่คงหาหลักฐานอะไรไม่ได้เท่านั้นเอง
ลืมไปเสียสนิทว่าถุงเสื้อผ้าของสองแสบวางอยู่ตรงโซฟา และเธอเองก็มัวแต่รักษาท่าที ด้วยการทำเป็นจ้องนิ่งๆ ที่โทรทัศน์เครื่องเดียวของห้องอยู่ ราวกับมันเป็นสิ่งมหัศจรรย์ จึงไม่เห็นว่าเขาเดินไปนั่งที่โซฟาตัวนั้นแล้ว
ภวินท์นั่งลงแล้วก็พบว่าตนเองทับของอยู่ พอเห็นว่าเป็นถุงที่พยาบาลคนเมื่อครู่นำมาฝากให้ฐิตตาจึงตั้งใจจะส่งให้เธอ แต่แล้วของในนั้นก็ร่วงหล่นลงมาบนพื้นราวกับจงใจ
ฐิตตาหันมองตามก็ให้ใจหายแวบ
นายแพทย์หนุ่มมองของที่ตกลงพื้นอึดใจ แล้วก้มลงหยิบใส่ในถุงดังเดิม บอก
“ผมวางไว้ให้บนโต๊ะนี้นะ”
คนป่วยพยักหน้าเบาๆ เสมองที่โทรทัศน์ไม่พูดจาอะไร เขาก็ว่าขึ้นอีก
“คุณต้องการอะไรไหมฐิตตา”
เงียบครู่เดียว ถึงได้ตอบเขากลับ “ไม่ค่ะ อยากนอนพัก”
นายแพทย์ภวินท์มองเธอแล้วดันตัวลุกยืน
“ผมจะออกไปข้างนอกสักครู่”
ได้ยินว่าเขาจะไปข้างนอก ก็ร้องรั้งเขาไว้ “เดี๋ยวค่ะ!”
“ครับ”
“คุณจะไปไหน” ฐิตตากำลังระแวง เธอกลัวเขาออกไปเลียบเคียงถามพี่พยาบาลคนนั้น
นายแพทย์ภวินท์เห็นแววตาตระหนกของคนที่นอนป่วยก็ยิ้มมุมปากแล้วว่า “ผมไม่ใช่คนช่างซักช่างถามนักหรอกนะ แม้ว่าจะสงสัยแค่ไหนก็ตาม ผมหาคำตอบเองได้ สัญญาเลยว่าจะไม่ถามเรื่องที่คุณไม่อยากให้ผมรู้อย่างเด็ดขาด”
ได้ยินเขาว่าแบบนี้ก็ว่า
“ฉันมีเรื่องอะไรที่ไม่อยากให้คุณรู้ด้วยงั้นหรือ”
“ไม่รู้สิ ไม่มีก็ไม่มี ทำไมต้องเกรี้ยวกราดใส่ผมด้วยเล่า”
พอเห็นเธอไม่พูดอะไร ภวินท์ถึงได้ออกมาจากห้อง
พูดไปอย่างนั้นเอง เพราะแท้จริงเขาตั้งใจจะไปหาพยาบาลคนนั้น แต่หาไม่เจอ พอดีเจอกับพี่ติ๊บที่หิ้วอาหารมาส่งให้คนป่วยที่ต้องนอนโรงพยาบาลต่อ เลยขอให้ติ๊บอยู่เป็นเพื่อนฐิตตาสักครู่ก่อน เพื่อที่เขาจะได้ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า รวมถึงหาอะไรกินแล้วถึงจะกลับเข้ามาใหม่ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญตามที่อ้าง ทันทีที่กลับขึ้นรถมาได้ ภวินท์ต่อสายหาคนสนิททันที แล้วแจ้งความประสงค์ในสิ่งที่เขาต้องการ
เขาอยากได้หลักฐานบางอย่าง
หลักฐานที่จะสนับสนุนข้อสันนิษฐานของตัวเอง
เรื่องการตั้งครรภ์ของฐิตตา!