ตอนที่ 1
“ฟ้าไม่ไปนะคะคุณแม่ บ้านนอกบ้านนาอย่างนั้น ฟ้าจะอยู่ได้ยังไง ให้ขวัญไปสิคะ” เพียงฟ้าหน้างอง้ำ เอ่ยด้วยน้ำเสียงเอาแต่ใจอย่างที่เธอเคยใช้แล้วได้ผลประจำ
“แต่คุณลุงกับคุณพ่อของเราตกลงเป็นมั่นเป็นเหมาะไว้แล้วนะฟ้า ว่าจะให้ฟ้าแต่งงานกับตาเหม” คุณพรจันทร์ถอนหายใจหลายครั้งแล้ว ในขณะที่พยายามเกลี้ยกล่อมบุตรสาว
“ก็ในเมื่อคุณพ่อกับคุณลุงเสียไปแล้ว เราก็ยกเลิกสัญญาไปสิคะ ท่านทั้งสองคงไม่ฟื้นคืนชีพมาทวงสัญญากับเราหรอกค่ะ”
“ฟ้า! หนูก็รู้ว่าคุณลุงท่านมีพระคุณกับคุณพ่อและครอบครัวเรามากมายแค่ไหน หลังจากคุณพ่อเสีย คุณลุงก็คอยช่วยเหลือเรามาตลอด หนี้ตั้งหลายล้านบาทท่านก็ยกให้ มิหนำซ้ำทางนั้นยังให้ค่าสินสอดในการแต่งงานตั้งสิบล้าน หนูก็รู้ถึงสถานะทางการเงินของเราในตอนนี้ดีไม่ใช่หรือว่าย่ำแย่แค่ไหน” คุณพรจันทร์เหนื่อยใจกับความดื้อรั้นของลูกสาว แต่จะทำอย่างไรได้ หนี้มูลค่ามหาศาลตั้งแต่สามีเสียไปเมื่อห้าปีที่แล้ว มันพอกพูนขึ้นมากมาย คนเป็นเจ้าหนี้ซึ่งเป็นเพื่อนรักของสามีไม่ได้เรียกร้องเอาคืน ขอเพียงแค่สองครอบครัวเกี่ยวดองเป็นทองแผ่นเดียวกันเท่านั้นเอง หากแต่พอเจ้าหนี้เสียชีวิตลงไม่ถึงปี ทายาทก็ตามมาทวงสัญญาที่สามีเคยให้ไว้ โดยไม่ทันได้ตั้งตัว คือต้องให้บุตรสาวแต่งงานกับเขา
“หนี้ทั้งหมดที่อาจันทร์ติดค้างผมยกให้ ค่าสินสอดสิบล้าน ผมจะแบ่งจ่ายเป็นสองงวด ห้าล้านบาทแรกจ่ายให้ในวันที่น้องเก็บกระเป๋าพร้อมไปอยู่กับผมที่บ้าน และอีกห้าล้านบาทผมจะจ่ายให้หลังจากที่เราอยู่ด้วยกันครบสามเดือน นั่นหมายความว่าหากน้องทนอยู่กับผมไม่ได้ ผมก็จะปล่อยน้องไป แต่ถ้าทนอยู่กับผมได้ผมก็จะพาไปจดทะเบียนสมรส แต่ไม่ว่าจะอย่างไร หากครบสามเดือนแล้ว ผมจะจ่ายสินสอดส่วนที่
เหลือให้ ไม่เบี้ยวแน่นอน”
“ไม่จัดงานแต่งหรือตาเหม”
“ไม่ล่ะครับ ผมไม่ชอบพิธีการยุ่งยาก น้องพร้อมเมื่อไร อาจันทร์ก็โทรบอกผมแล้วกัน ผมจะมารับ”
บทสนทนาของเหมันต์ ลูกชายคนเดียวของเพื่อนสามี ซึ่งมาหาเธอถึงบ้านเมื่อเดือนที่แล้ว ทำให้คุณพรจันทร์กลุ้มมานาน จนกระทั่งตัดสินใจคุยกับบุตรสาวในวันนี้ แล้วก็เป็นไปดังคาด เพียงฟ้าโวยวายไม่ยอมท่าเดียว เนื่องจากบ้านของเหมันต์ทายาทเจ้าหนี้นั้นอยู่ต่างจังหวัดทางภาคอีสาน เท่าที่รู้มาคือ ชายหนุ่มทำอาชีพเกษตรกร มีที่ทางร้อยกว่าไร่ ถึงจะอยู่ในเขตจังหวัดที่เป็นศูนย์กลางของภาคอีสาน แต่บ้านก็อยู่นอกตัวเมืองไปไกล เพียงฟ้าจึงรับไม่ได้ที่จะต้องไปอยู่ห่างไกลความเจริญแบบนั้น ทั้งที่ผู้เป็นแม่พยายามอธิบายให้ฟังแล้วว่า เหมันต์นั้นร่ำรวย เพราะได้รับมรดกจากบิดาและจากมารดาซึ่งเป็นตระกูลเศรษฐีเก่าแก่ในจังหวัดก็ตาม
“ฟ้าไม่สนใจเรื่องหนี้สินหรอกค่ะ คุณแม่เป็นคนไปยืมมา ก็รับผิดชอบไปเองสิคะ” เพียงฟ้าชำเลืองตามองมารดา และเลยไปถึงใครอีกคนที่นั่งก้มหน้าไม่ยอมสบตาเธอ หญิงสาวเหยียดยิ้มเล็กน้อย
“หรือไม่ก็ให้ขวัญรับผิดชอบสิคะ ลูกแท้ๆก็ไม่ใช่ มาอยู่มากิน ส่งเสียให้เรียนจนจบ ทำงานก็ได้เงินเดือนไม่เท่าไร ไม่พอจะช่วยเหลือจุนเจืออะไรได้ ให้ไปเป็นเมียนายบ้านนอกนั่น ทดแทนบุญคุณข้าวแดงแกงร้อนครอบครัวเราสิคะ” คุณพรจันทร์ตกใจกับสิ่งที่ลูกสาวพูด ผู้สูงวัยรีบหันไปมองบุตรสาวบุญธรรมด้วยความเห็นใจ เพียงขวัญได้แต่ยิ้มน้อยๆ
“ถ้าอะไรที่ขวัญพอจะทำได้ เพื่อทดแทนพระคุณของคุณพ่อคุณแม่ ที่ดูแลเลี้ยงดูขวัญมาอย่างดี ขวัญยินดีค่ะ” หญิงสาวยิ้มอย่างเต็มใจ
“เห็นไหมคะ เจ้าตัวเขายังเต็มใจเลย สรุปว่า คุณแม่โทรเรียกนายนั่นมารับขวัญไปเลยแล้วกัน เราจะได้สินสอดห้าล้านบาทมาใช้ด้วย ฟ้าจะได้มีรถขับไปทำงานเสียที นั่งรถเมล์ไปทำงานอายคนอื่นเขาจะแย่” เพียงฟ้าตัดปัญหา เอาตัวรอด และคว้าผลประโยชน์ไว้กับตัวเอง โดยไม่สนใจใครอีกคนว่าจะเต็มใจหรือไม่ คุณพรจันทร์ถอนหายใจยาว สบตาลูกสาวบุญธรรมที่เธอรับอุปการะมาตั้งแต่แบเบาะ
“ขวัญขอเวลาอีกเดือนหนึ่งนะคะ ที่ทำงานขวัญต้องแจ้งลาออกล่วงหน้าหนึ่ง
เดือนค่ะ” เพียงขวัญยิ้มให้มารดา ทุกคำพูดไม่ได้เสแสร้ง เธอเต็มใจและดีใจที่จะได้ตอบแทนพระคุณของคนที่ชุบเลี้ยงมา เพียงฟ้าเหยียดริมฝีปากอย่างดูถูก
“แต่คุณพ่อเคยบอกไว้ว่าจะต้องเป็นลูกสาวเท่านั้นนะฟ้า ขวัญเป็นแค่ลูกบุญธรรม”
“โอ๊ย! จะลูกจริงหรือลูกบุญธรรมก็ลูกเหมือนกันล่ะค่ะ เราก็ไม่ต้องบอกตานั่นสิคะ ว่าขวัญเป็นแค่ลูกที่แม่ไปเอามาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า บ้านนอกอย่างนั้นจะไปรู้อะไร ร้อยวันพันปีก็ไม่เห็นจะโผล่มา อยู่มาจนอายุสามสิบสามแล้ว นี่คงหาเมียไม่ได้ เลยมาทวงเอาสัญญาบ้าบออะไรนั่น” เพียงฟ้าเบ้ปากถอนหายใจแรง
“ขวัญไม่ว่าอะไรใช่ไหมลูก” ผู้เป็นแม่ที่เลี้ยงลูกสาววัยไล่เลี่ยกันมาสองคน ห่วงความรู้สึกทั้งสองเท่าเทียมกัน ถึงแม้เพียงขวัญจะเป็นลูกบุญธรรม แต่ความรักและห่วงใยที่มีให้ก็เท่าเทียมกับเพียงฟ้าลูกแท้ๆ เพียงแต่ในเมื่ออีกคนร้อนเป็นไฟและเอาแต่ใจเป็นที่สุด เธอจึงจำเป็นต้องหันหน้าไปพึ่งคนที่เย็นดุจสายลมและนิ่งราวสายน้ำลึก
“ขวัญเต็มใจค่ะคุณแม่” เพียงขวัญย้ำชัดอีกครั้ง คุณพรจันทร์ยิ้มเอ็นดูก่อนจะกล่าวคำขอบคุณออกมาอย่างโล่งใจ