บทที่3.3

1883 Words
หลังจากนั้นฉันได้รู้ว่าเอย์ถูกจำคุกโดยที่ญาติสามารถมาประกันตัวได้ แต่พ่อที่อยากจะทำโทษเขามีความเห็นว่าถ้าประกันตัวออกมาง่ายๆ เอย์ก็จะทะเลาะวิวาทซ้ำไปซ้ำมาไม่เข็ดหลาบสักที จึงปล่อยให้เจ้าตัวปัญหาอยู่ในคุกหนึ่งอาทิตย์เพื่อควบคุมความประพฤติ ส่วนผา...เขาได้ลดโทษเพราะไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่ม จากพยาน (ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเด็กในอู่) บอกว่าผาโต้ตอบเอย์เพราะต้องการป้องกันตัว กล้องวงจรปิดเองก็มีหลักฐานว่าเอย์บุกรุกพื้นที่คนอื่น มีเจตนาทำร้ายร่างกาย และอีกหลายอย่าง เมื่อเทียบกันแล้วผาจึงโดนข้อหาน้อยกว่า แน่นอนว่าต่อให้ไม่เยอะเท่าเอย์ แต่ผาเองก็มีความผิด หากทว่าเสี่ยโต้งพ่อของเขามีอิทธิพลในเขตนั้น ตำรวจที่เกรงกลัวและได้รับเงินไปจำนวนหนึ่งจึงไม่ได้เพ่งเล็งอะไรเป็นพิเศษ ส่วนฉัน... หลายคนอาจคิดว่าเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด แต่ไม่มีประโยคไหนเลยนะที่ฉันสั่งให้เอย์ไปทำร้ายผา แค่ตอบว่า ‘ใช่’ คำเดียว หลังจากนั้นเอย์ก็ตัดสินไปเองแล้วว่าต้องทำยังไงกับคนที่มาทำร้ายฉัน โถ เด็กน้อย... End Describe Aey Describe ตอนที่ผมรู้ว่าต้องอยู่ในคุกเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์ ผมไม่ได้ตกใจอะไร แต่สิ่งหนึ่งที่ตามหลอกหลอนผมคือ...ใบหน้าเย็นชาของเกล เธอมาโรงพักพร้อมพ่อกับแม่ มองดูผมจากตรงนั้นด้วยท่าทีสงบนิ่ง...เหมือนว่าผมแม่งเหมาะแล้วที่จะอยู่ตรงนี้ ไม่มาคุย ไม่มาถามว่าเจ็บไหม เป็นยังไงบ้าง ผมบุกไปหาไอ้เหี้ยผาเพราะโกรธที่มันทำเธอ ทั้งๆ ที่ผมทำเพื่อเธอ...ยัยผู้หญิงแพศยา กี่ครั้งแล้วที่ดูมีความสุขกับการเหยียบย่ำหัวใจผมแบบนี้ เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ มุมปากผมก็ยกขึ้นโดยอัตโนมัติ นี่ไม่ใช่การผลิยิ้มแสดงความยินดีต่อการกระทำของเธอ แต่ผมแค่นึกสมเพชตัวเองในวูบหนึ่ง มันเหมือนว่าผมทำอะไรโง่ๆ โดยมีเธอเป็นตัวจุดชนวนอยู่เสมอ โกรธเธอ เป็นห่วงเธอ หวงเธอ แค้นแทนเธอ และสุดท้าย...ทั้งๆ ที่ยังมีความรู้สึกเก่าๆ หลงเหลืออยู่ ผมก็รู้สึกเกลียดเธอไม่น้อยไปกว่ากัน เกล...เอย์อดทนเก่งนะ แต่ไม่ใช่ว่าเอย์จะทนเป็นแบบนี้ไปได้ตลอด ที่เอย์เลว ที่เอย์ร้าย แต่เอย์ก็ยังรัก แล้วเกลล่ะ...ที่ร้าย ที่เย็นชา ลึกๆ แล้วยังรักอยู่ไหม หรือจริงๆ ไม่เคยรักกันเลย วันที่เจ็ด...พ่อมาประกันตัวผมพร้อมแม่ แม่ร้องห่มร้องไห้ สวมกอดผมอย่างคิดถึง ทั้งๆ ที่ท่านก็มาเยี่ยมผมหลายครั้งในระยะเวลาหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา ท่านคงเป็นห่วงและกังวลว่าสภาพจิตใจของผมจะได้รับการกระทบกระเทือนไหม ซึ่งผมมั่นใจว่าตัวเองยังปกติดี ไม่เครียด ไม่กลัว ดีซะอีก... ตอนอยู่เงียบๆ คนเดียวตลอดเจ็ดวันมันทำให้ผมได้นั่งคิดทบทวนอะไรหลายๆ อย่าง “จะไปไหนอีกลูก” ผมกลับเข้าบ้านได้ไม่ถึงสองชั่วโมงก็เตรียมตัวออกไปข้างนอก แม่ที่ทำอาหารเย็นอยู่ในห้องครัวหันมาเห็นพอดีจึงถามขึ้น ไม่ลืมก้าวเท้ามาหาผมพร้อมทัพพีขนาดพอดีมือ “จะไปเกเรอีกหรือเปล่า ไม่เอาแล้วนะ!” “เอย์แค่จะไปหาเพื่อน จะไปถามการบ้าน” ผมให้คำตอบ จริงๆ โทรไปถามได้ แต่ถ้ายังไม่ลืม ผมเคยบอกว่าโทรศัพท์พังจนใช้งานไม่ได้ตั้งแต่ถูกรุมกระทืบเมื่อเกือบสองอาทิตย์ก่อน ว่าจะซื้อใหม่เหมือนกัน แต่รู้สึกขี้เกียจยังไงไม่รู้ “การบ้านแน่หรือเปล่า ไม่ได้ไปมีเรื่องเจ็บตัวขึ้นโรงขึ้นศาลอีกนะ” แม่ถามอย่างเป็นกังวล เรียวคิ้วขมวดมุ่นแสดงออกถึงความไม่พอใจอยู่หลายส่วน พอเห็นแบบนั้นความรู้สึกผิดก็ผลิบานเต็มอกผม ทำไมผมทำให้ท่านเป็นห่วงอยู่เรื่อย โตแล้ว นิสัยแบบนี้เลิกสักทีเหอะไอ้เอย์ “มั่นใจได้เลยครับ เอย์แค่ไปถามการบ้าน สัญญาว่าจะกลับมาไม่เกินสี่ทุ่มครึ่ง” ผมยิ้มหวาน ไม่ลืมโน้มหน้าเข้าไปหอมแก้มท่านอีกฟอด เป็นจังหวะเดียวกับที่พ่อเดินออกมาจากห้องน้ำและมองผมด้วยสายตาชนิดหนึ่ง “...” เพียงแต่ท่านไม่ปริปากพูดอะไร หลังจากให้คำมั่นจนแม่ยอมปล่อยออกมาข้างนอก ผมก็ขับรถคันโปรดตรงดิ่งไปคอนโดฯ เพื่อนทันที แต่เผอิญว่าทางเส้นนี้ต้องผ่านอู่ไอ้ผาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ พอนึกถึงการปะทะกันในวันนั้นแล้ว...ความเดือดดาลก็คล้ายกับจะระเบิดออกมา และความรู้สึกดังกล่าวก็เพิ่มขึ้นไปอีกหลายเท่าเมื่อพบว่าเกลอยู่ที่นั่น เธอยืนนิ่งไร้การปัดป้องโดยมีไอ้ผาสวมกอดแนบแน่น... ผมชะลอรถ มองดูภาพนั้นด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก น่าแปลกเหมือนกันที่ผมมองอยู่ไม่กี่วินาทีก็ตัดสินใจขับรถจากมา ไม่แม้แต่จะเหลียวกลับไป ปราศจากการฉุนเฉียวเหมือนที่ผ่านๆ มาราวกับว่า... ผมได้บทเรียนอะไรสักอย่างจากเธอ End Describe Gale Describe หลังจากนั้นหลายวัน “เจ๊!” เสียงเจื้อยแจ้วที่เต็มไปด้วยความสดใสดังขึ้น ก่อนผู้หญิงรูปร่างผอมบางจะวิ่งเข้ามาสวมกอดฉันอย่างแนบแน่น ไม่ลืมเอาแก้มถูหน้าอกฉันไปมาอีกด้วย เด็กคนนี้ชื่อกิ่ง เธอเป็นน้องสาวแท้ๆ ของฉัน เราอายุห่างกันแค่สองปี แต่อุปนิสัยและความคิดเรียกได้ว่าต่างกันราวฟ้ากับเหว ฉันเหมือนด้านที่มืดมิด ส่วนกิ่งคือด้านที่สว่างไสว เวลาเราสองคนอยู่ด้วยกัน บางทีฉันก็นึกอิจฉาน้องตัวเอง...อิจฉาที่เธอมีพลังบวกอยู่ตลอดเวลา อิจฉาที่เคยสอบตกแต่ก็ยังยิ้มแป้นแล้วมองว่ามันเป็นสีสันของชีวิต อิจฉาที่ต่อให้เคยถูกรังแกจนเลือดตกยางออก ก็ไม่นึกโกรธหรือแค้นเคืองใคร ในขณะที่ฉันตรงข้ามกับเธอแทบทั้งสิ้น และใช่ มันทำให้ฉันยิ่งรักและหวงแหนน้องสาวเพียงคนเดียวมากพอๆ กับชีวิตตัวเอง “เหม็น” ฉันขมวดคิ้วพลางหลุบตามองยัยตัวเล็กเมื่อได้กลิ่นตุๆ จากเส้นผมชื้นเหงื่อ นอกจากจะไม่ชอบแต่งตัวหรือแต่งหน้าแล้ว ผมเผ้าก็ไม่ค่อยสระ สกปรกจริงๆ “กิ่งเพิ่งจัดบ้านใหม่เพราะรู้ว่าเจ๊จะมาไง ไม่ได้กลับบ้านตั้งเป็นเดือนแน่ะ” อืม... จริงอย่างที่กิ่งว่า นี่เป็นครั้งแรกในรอบหนึ่งเดือนที่ฉันกลับบ้าน กิ่งอยู่กับยายสองคน ซึ่งมันก็นานมาแล้วนับตั้งแต่ท่านเลือกอยู่ที่นี่แทนที่จะอาศัยอยู่ร่วมชายคาเดียวกันกับพ่อในบ้านหลังใหญ่ ยายออกตัวว่าไม่ชอบพ่อตั้งแต่สมัยที่พ่อกับแม่เริ่มชอบพอกัน หากทว่าวาระสุดท้ายในชีวิตของตา ท่านอยากเห็นแม่มีความสุขกับชีวิตคู่ ยายจึงไม่ขัดและปล่อยให้แม่ได้เลือกเอง หลายปีหลังจากดูใจและเรียนรู้อุปนิสัยของกันและกัน สุดท้ายพ่อกับแม่ก็ตัดสินใจที่จะแต่งงาน และมีฉันเกิดมาหลังจากนั้นเพียงแค่หนึ่งปี... ทว่าไม่กี่ปีให้หลังชีวิตครอบครัวสวยหรูก็เริ่มมีรอยร้าว พ่อกับแม่มีปัญหากันทุกวัน ตั้งแต่เรื่องเล็กน้อยลามไปจนถึงเรื่องใหญ่โต เวลาทะเลาะกับพ่อ...แม่มักกลับมานอนกอดยายที่บ้านหลังนี้เป็นประจำ ซึ่งตอนนั้นท่านท้องยัยกิ่งพอดี ยายจึงขอหลานคนเล็กไว้ให้อยู่ที่นี่ เนื่องจากไม่อยากให้เด็กเกิดมาแล้วเจอสภาพแวดล้อมย่ำแย่ แน่นอนว่ากิ่งสามารถเทียวไปเทียวมาได้เพราะอย่างน้อยๆ พ่อก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้มันเกิดมา ทุกอย่างแย่ลงเรื่อยๆ ในแต่ละวัน เวลาผ่านไปหนึ่งเดือน หนึ่งปี และหลายต่อหลายปีที่แม่ทนแสร้งว่ายังมีความสุขกับชีวิตครอบครัวสุดเฮงซวยนี่ โดยที่ท่านไม่รู้เลยว่า...ฉันคนนี้เห็นทุกอย่าง เห็นความเจ็บของท่าน เห็นน้ำตาของท่าน และเห็นความเป็นแม่จากตัวท่านที่ยอมอดทนเพื่อฉันและน้อง จนแม่ตายไป... ยายที่เคยสุขภาพแข็งแรงก็เริ่มทรุด ต้องกินยา ต้องมีคนคอยดูแลและให้กำลังใจ เพราะแบบนั้นเองกิ่งเลยไม่ได้กลับไปที่บ้านหลังนั้นอีก นอกจากเวลาเรียนแล้วมันก็อยู่กับยายตลอดเวลา แทบไม่ค่อยได้ไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนเท่าไหร่ “ยายเป็นไงบ้าง” หลังจากถอดรองเท้าและเดินเข้ามาในบ้านซึ่งถูกทำความสะอาดอย่างดี สิ่งแรกที่ฉันถามคือเรื่องยาย “ช่วงนี้ไม่เครียดเท่าไหร่ คงเพราะยายติดการ์ตูนด้วย” ฉันชะงักเมื่อได้ฟังคำตอบ “วันนั้นกิ่งนั่งดูวันพีชกับยายสองคน แบบว่าดูแค่สี่ตอนเองมั้ง ยายก็ติดใจขอดูอยู่เรื่อยๆ” รอยยิ้มสดใสของกิ่งทำให้มุมปากฉันยกขึ้น “ดีแล้ว” ฉันอยากให้ยายมีความสุข การ์ตูนก็คลายเครียดได้ดี หลังจากนั้นฉันก็แอบไปด้อมๆ มองๆ ยายที่นั่งดูการ์ตูนอยู่ในห้อง ท่านหัวเราะเอิ๊กอ๊ากมีความสุขฉันเลยไม่อยากกวน จึงหมุนตัวเดินเข้าไปในห้องนอนของกิ่ง เห็นมันกำลังคุ้ยหาอะไรสักอย่างในลิ้นชักเหมือนอยากเอามาอวดฉัน ส่วนฉันทำได้แค่กวาดสายตาไปทั่วบริเวณห้องที่ไม่ค่อยเป็นระเบียบโดยไม่พูดอะไร กระทั่งเห็นสิ่งผิดปกติบางอย่างตรงราวตากผ้าริมระเบียงห้อง มีเสื้อผู้ชายแขวนอยู่... ฉันพินิจพิเคราะห์เสื้อสีดำตัวดังกล่าวเงียบๆ โดยไม่คิดปริปากถามคนที่น่าจะให้คำตอบได้ ไม่รู้สิ...ฉันรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาเสื้อตัวนั้นอย่างบอกไม่ถูก เหมือนจะเคยเห็น แต่ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ ซึ่งถ้าให้คิดแบบเป็นกลาง เสื้อทรงนี้ สีนี้ ลวดลายทำนองนี้มันก็มีเกร่ออยู่เต็มตลาด เหมือนเป็นเทรนด์ในช่วงหนึ่งที่คนนิยมใส่เสื้อผ้าแบรนด์และสไตล์เดียวกัน ทว่าต่อให้ทำตัวเป็นกลางมากแค่ไหนก็อดแปลกใจไม่ได้อยู่ดีว่าทำไมถึงมีเสื้อผ้าวัยรุ่นผู้ชายตากอยู่ตรงราวระเบียงได้ ยัยกิ่งพาผู้ชายเข้าห้อง? เพื่อน? แฟน? “เจอแล้ว!” ฉันเคลื่อนสายตากลับมาจับจ้องยัยตัวเล็กที่ทำเสียงดีอกดีใจ เป็นจังหวะเดียวกันที่มันเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าและยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้ฉัน ต่อมาฉันพบว่ามันคือเกียรติบัตร “หืม” อดไม่ได้ที่จะคว้ากระดาษแผ่นนั้นมาอ่าน ฉันใช้สายตากวาดมองเพียงแวบเดียวก็ได้รู้ว่า...นี่เป็นเกียรติบัตรรางวัลชมเชยการวาดรูประดับมัธยมปลายในหัวข้อ ‘ครอบครัวของฉัน’
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD