CHAPTER 00
[บทบรรยาย: จุน]
ผมหรี่ตาฝ่ากลุ่มควันของบุหรี่ในวินาทีที่กล่องของขวัญถูกเปิดออก...
ก่อนหน้านี้ชั่งใจอยู่นานพอสมควรเพราะการมีพัสดุมาส่งยามวิกาลแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องปกติ แต่หลังจากครุ่นคิดและทำความเข้าใจกับข้อความ ‘Gift for winner’ บนกระดาษแผ่นเล็กที่เสียบติดมา ผมจึงรู้ว่านี่น่าจะเป็นของขวัญที่ ‘ผู้แพ้’ รับปากไว้ว่าจะส่งมาให้ตั้งแต่สัปดาห์ก่อน
ผมเป็นเจ้าของ SL Club (Silver layer) คลับใต้ดินชื่อดังใจกลางเมือง ทุกๆ สิ้นเดือนที่นั่นจะมีการประชันฝีมือเพื่อหาผู้เป็นหนึ่ง โดยเน้นหนักไปทางดนตรี ทั้งการร้องเพลง การเต้น การแร็พ รวมถึงการพนันเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งตั้งของเดิมพันไว้ให้กับผู้ชนะเสมอ
SL จะมีตัวแทนในแต่ละเดือนเข้าแข่งขันกับแขก หรือเรียกอีกอย่างว่า ‘Demon’ เป็นตำแหน่งของคนฮอตๆ ที่คอยสร้างสีสันและดึงดูดลูกค้า ถ้าเปรียบเทียบให้ถูกก็คงคล้าย ‘โฮสต์’ อะไรทำนองนั้น
ซึ่งถึงแม้ว่าไอ้ ‘จุน’ คนนี้จะเป็นเจ้าของและคอยดูแลที่นั่น แต่ผมเองก็ได้รับตำแหน่งนั้นมาเหมือนกัน
โดยผู้ชนะในแต่ละเดือนจะถูกเรียกว่า ‘King of demon’
และใช่ เดือนนี้ผมเป็นตัวแทนและได้รับชัยชนะมาอย่างง่ายดายราวกับปอกกล้วยเข้าปาก เอาจริงๆ ก็แค่หาอะไรทำแก้เซ็ง แต่ไม่คิดว่าคะแนนจะขาดลอยชนิดมองไม่เห็นฝุ่นขนาดนี้
เพราะแบบนั้นอีกฝ่ายจึงรับปากว่าจะส่งของพิเศษมาให้ อยากปฏิเสธเหมือนกัน แต่เดี๋ยวหาว่าเสียมารยาท
แต่ใครจะคิดล่ะว่าไอ้ของขวัญที่ถูกส่งมาจะเป็น ‘คน’ แถมยังเป็น ‘เด็กผู้หญิง’ ตัวเล็กหน้าตาน่ารักน่าชังขนาดนี้!
เด็กนั่นหมดสติหรือแค่หลับไปผมก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้แค่ว่าตัวเองยืนจ้องเด็กผู้หญิงในชุดแมวน้อยอยู่พักใหญ่ๆ แล้ว
“เด็กเขามีพ่อมีแม่ป่ะวะ...” ผมพึมพำพลางลากสายตาสำรวจสภาพร่างกายยัยนั่นไปด้วย ถามว่ากล่องมันใหญ่ไหมก็ใหญ่พอสมควร แต่การจะยัดคนเข้าไปได้คงไม่ใช่เรื่องง่ายถ้าหากว่าคนคนนั้นไม่ตัวเล็กจริงๆ
คิดดู ขนาดยัยแมวเหมียวนั่นตัวเท่ามดยังต้องขดเป็นหอยทากตัวเลย
หรือว่าไอ้คนที่มันแพ้ผมจะเป็นหนึ่งในกระบวนการค้ามนุษย์?
เหอะ ตลก...
“งือ... หนาว” เสียงครางแบบไม่ได้ค่อยศัพท์ของเด็กนั่นทำให้ผมลากสายตากลับไปและก่อนหยุดตรงใบหน้ากลมมนที่แดงระเรื่ออย่างน่าดูเอ็น เอ๊ย! เอ็นดู
ก็คงจะหนาวอยู่หรอก ไอ้ชุดแมวบัดซบนั่นไม่ต่างอะไรจากชุดชั้นในเลยถ้าพูดให้ถูก
“บ้านอยู่ไหน” ผมดึงบุหรี่ออกจากปาก จัดการบี้มันกับกำแพงจนเปลวไฟมอดดับ “ลุกขึ้นมาคุย บรรลุนิติภาวะหรือยัง อายุเท่าไหร่ ชื่ออะไร” ผมรัวถามด้วยน้ำเสียงดุๆ
“ตัวเล็กหนาว นะ หนาว...” เด็กที่แทนตัวเองว่า ‘ตัวเล็ก’ เบ้ปากอย่างน่าฟัด ดิ้นขลุกขลักอยู่ในกล่องด้วยความทุลักทุเล จะว่าไป ผมก็เพิ่งสังเกตเห็นข้อมือบางถูกมัดด้วยริบบิ้นสีแดงสด นั่นยิ่งขับให้เด็กตัวน้อยๆ น่าสงสารเป็นทวีคูณ
เออ แล้วทำไมไม่แก้ให้น้องเขา ยืนมองอยู่ได้
“ลูกเต้าเหล่าใครล่ะเรา” ใช้เวลาแกะริบบิ้นเพียงแป๊บเดียว ผมก็อุ้มยัยเด็กตัวกะจ่อยร่อยออกมาจากกล่อง ตั้งใจพาไปตรงโซฟาเพราะอยากคุยกันให้รู้เรื่อง ทว่า...
หมับ!
“ฟะ ไฟไหม้” ยัยตัวเล็กที่มีอาการคล้ายคนละเมอคว้าคอเสื้อผมเข้าอย่างแรง มิหนำซ้ำยังโน้มหน้าเข้ามาใกล้แล้วทำจมูกฟุดฟิดใกล้ริมฝีปากผม
ปลายจมูกยัยนั่นแตะโดนริมฝีปากผมแบบเฉียดผ่าน...
“ไฟไหม้อะไร กลิ่นบุหรี่” ผมตอบทั้งๆ ที่รู้ดีว่าเด็กนั่นคงไม่มีสติพอจะรับฟัง ขณะนั้นก็ข่มใจเอาไว้เพราะยัยเด็กน้อยเปลี่ยนมาซุกหน้ากับซอกคอผม... ลมหายใจกรุ่นร้อนทำเอาผมต้องกัดริมฝีปากเอาไว้ ถ้าเป็นคนรู้จักนะ ผมจะตีให้ก้นลายเลย
ไม่มีสติทีหนึ่งแล้ว ยังจะอ่อยเรี่ยราดแบบนี้อีก
เชื่อเหอะ ถ้าถูกส่งไปที่อื่นคงไม่พ้นถูกจับกิน
อันที่จริง... อยู่กับผมก็ใช่ว่าจะปลอดภัย
ฟุบ...
ผมพายัยเด็กตัวกะเปี๊ยกมาถึงโซฟาจนได้ ทว่าในจังหวะที่กำลังจะวางร่างบางลงบนนั้น อุ้งมือเล็กๆ ก็ขยุ้มคอเสื้อผมแน่นขึ้นราวกับไม่อยากปล่อยไปไหน และด้วยความที่ผมไม่ทันได้ตั้งตัว... รู้อีกทีจึงถลาเข้าไปใกล้ซะแล้ว
บรรลัยเกิด!
เรียวคิ้วผมเปลี่ยนมาขมวดมุ่นอย่างคุกรุ่น ยังดีที่ยันมือทั้งสองกับโซฟาทัน ไม่งั้นคงได้จูบกับคนแปลกหน้าแน่ๆ
แถมไอ้คนแปลกหน้าเนี่ย ดันเป็นเด็กน้อยที่ดูเหมือนยังไม่บรรลุนิติภาวะ อายุถึงยี่สิบปีหรือยังก็ไม่รู้
“ตื่นมาคุยดีๆ” ผมส่งเสียงปลุกยัยนั่นทั้งๆ ที่ยังอยู่เหนือร่าง
ลมหายใจของเราสองคนเป่ารดกันอย่างใกล้ชิดจนสัมผัสได้ถึงกลิ่นอ่อนละมุนชวนดึงดูด...
สงบใจเอาไว้ไอ้จุน มึงคงไม่อยากเข้าคุกเพราะพรากผู้เยาว์ใช่ไหมวะ
ถึงกับต้องเตือนตัวเองเลยไอ้ฉิบหายเอ๊ย...
ผมค่อนข้างมีนิสัยเฉยชากับผู้หญิง... แต่กลับใจละลายทุกครั้งที่เห็นเด็กตัวเล็กๆ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน
“แม่ขา... ขอผ้าห่มให้ตัวเล็กหน่อยค่ะ หนาวอ่ะ งือ” ดูท่าเด็กคนนี้จะชื่อตัวเล็กล่ะมั้ง ก็เหมาะสมกับขนาดตัวดี น่ารักไม่เบาด้วย
“เดี๋ยวพี่พาไปส่งบ้านไง ตื่นมาคุย นอนหรือตายไปแล้วกันแน่” นี่คุยกับคนถูกไหม? “ตัวเล็ก” ผมลองเปลี่ยนมาขานชื่อยัยนั่นดู เผื่อเจ้าตัวจะได้สติ
คนมีการมีงานทำ มัวเสียเวลากับเด็กแปลกหน้าแบบนี้เดี๋ยวก็ไม่ได้นอนกันพอดี
ต่อให้เป็นของรางวัลสำหรับผู้ชนะ แต่ผมก็ไม่เลวทรามขนาดจะล่วงเกินเด็กน้อยไร้สติได้ลงคอ... มั้ง
“อือ” สุดท้ายแล้วความตั้งใจของผมก็พังพินาศ ดูเหมือนว่าเรื่องราวมันจะไม่จบลงง่ายๆ และยัยนี่เองก็พูดจาไม่รู้เรื่องอีกด้วย กลิ่นเหล้า กลิ่นแอลกอฮอล์ก็ไม่มี สงสัยเป็นพวกหลับแล้วละเมอหนักแน่ๆ
“แต่นอนนี่ไม่ปลอดภัยนะ” ผมส่งคำเตือน น้ำเสียงดูเหมือนจะปกติทั้งที่ไม่ปกติ จนป่านนี้แล้ว มือเล็กๆ ยังไม่ปล่อยจากคอเสื้อผมเลย หลับไปทั้งอย่างนี้ได้ยังไง
“...”
ผมถอนหายใจพรืดอย่างจนปัญญาเมื่อตัวเล็กไร้การตอบสนองในที่สุด ก่อนแงะมือยัยนั่นออกด้วยเรี่ยวแรงระดับหนึ่ง เอาเสื้อตัวเองให้ยัยนั่นสวมเพราะไม่อยากไม่ให้อะไรๆ มันรบกวนสายตา อันที่จริงก็สงสารด้วย
“อุ่น...” เด็กตัวเท่าลูกหมาพึมพำเบาๆ ทันทีที่ผมสวมเสื้อให้ และคงเพราะขนาดตัวเราต่างกันมาก เสื้อที่ยัยนั่นสวมอยู่จึงยาวเลยหัวเข่า แขนเสื้อเองก็เลยข้อศอกเหมือนกัน
เอาจริงๆ ถ้าบอกว่าเป็นเด็กประถมก็เชื่อว่ะ
ครึ่งชั่วโมงผ่านไป
เหมือนจะงานเข้า...
ก่อนหน้านี้ไม่กี่นาทีผมอุ้มตัวเล็กมานอนบนเตียงเพราะถึงเราจะไม่รู้จักกัน แต่ก็ไม่ใจร้ายถึงขนาดให้ยัยนั่นนอนบนโซฟาแคบๆ
ส่วนผมเองก็ตัวใหญ่เกินกว่าจะนอนบนโซฟานั้นด้วย บวกกับเป็นคนขี้หงุดหงิด พอรู้สึกไม่ได้ดั่งใจก็เลยตัดปัญหาด้วยการกลับมานอนบนเตียงเหมือนเดิม
เตียงนี้เป็นแบบคิงไซส์ พื้นที่จึงกว้างพอสำหรับสองคน เอาดีๆ ยัยนั่นตัวเล็กนิดเดียว ไม่กินพื้นที่เท่าไหร่หรอก ถ้าไม่ติดตรงที่ว่า...
“เฮ้...” ผมครางเสียงต่ำท่ามกลางอุณหภูมิหนาวเย็นจากลมแอร์ ตอนนี้ดึกมากแล้วและผมกำลังจะเคลิ้มหลับ แต่ตัวเล็กที่นอนอยู่ข้างๆ เขยิบเข้ามาใกล้ตอนไหนไม่รู้ รู้ตัวอีกทีก็เอาหน้าซุกอกผมแล้ว
นี่กำลังเผชิญอยู่กับอะไรวะ?
ผมระบายลมหายใจออกมาเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ เลิกงานมาแทนที่จะได้นอน แต่ต้องมาปวดประสาทกับเด็กที่ไหนไม่รู้แบบนี้ จับยัดลงท้องเลยไหมจะได้จบ
“หมอนข้างแข็งอ่ะ” ตัวเล็กทำเสียงอู้อี้ ขยับเข้ามาใกล้อีกนิดจนแก้มนุ่มนิ่มเบียดเรือนกายของผมที่ต่อให้ถูกหุ้มด้วยผ้า แต่กลับรู้สึกชัดเจนประหนึ่งไร้สิ่งใดขวางกั้น
“ถอยไปไกลๆ หน่อย เดี๋ยวถูกกินนะ” ผมใช้โทนเสียงเข้มๆ บอกยัยเด็กที่อ่อยโดยไม่รู้ตัวอย่างใจเย็น แต่เชื่อเถอะว่าอารมณ์ผมแม่งเริ่มไม่เย็นแล้ว “พี่โคตรตะกละด้วยนะ...”
ผมพูดขึ้นอีก พลางหลุบตามองยัยตัวเล็กที่ยังคงหลับปุ๋ยและกอดผมเหมือนเดิม
มืดมาก... แต่แสงไฟจากข้างถนนสาดเข้ามาผ่านหน้าต่างห้อง และนั่นทำให้ผมพอมองเห็นอยู่บ้าง
จากตอนแรกแค่รู้สึกเอ็นดูและสงสาร ตอนนี้มัน...
กับเด็กเนี่ยนะ?
พึ่บ
ตัวเล็กดิ้นนิดหน่อย และการขยับกายในท่วงท่าเดิมทำให้ผมรับรู้ถึงลมหายใจร้อนผ่าวและผิวหนังนุ่มนิ่มของเด็กผู้หญิง เสื้อตัวใหญ่ที่ผมเป็นคนสวมให้ยัยนั่นร่นขึ้นมาถึงขาอ่อนด้วย
โยนยัยนี่ทิ้งทางหน้าต่างดีไหมทุกอย่างจะได้จบ คิดว่าตัวเองใจเย็นและควบคุมอารมณ์เก่งแล้วนะ เจอเด็กยั่วเข้าหน่อยดันวูบไหวซะได้
พึ่บ
ยัยนั่นดิ้นอีกแล้ว แถมครั้งนี้ยังเอาเรียวขามาก่ายร่างผมเป็นการสำทับอีกต่างหาก แล้วมันตลกร้ายมาก เพราะในช่วงที่ยัยนั่นขยับตัว ขาขาวๆ ดันไปสัมผัสเหนือเป้ากางเกงอย่างหมิ่นเหม่จนผมแทบประคองสติเอาไว้ไม่อยู่
ผมคิดว่าตัวเองไม่ใช่คนเลวนะ แต่ชักไม่แน่ใจแล้วสิ
หมับ! พึ่บ...
ในตอนนั้น ผมดันตัวเล็กออกและเป็นฝ่ายพันธนาการเอาไว้ด้วยแรงตรึง ท่ามกลางความเงียบที่กลับมามีบทบาทอีกครั้ง... ผมใช้นัยน์ตาคู่นี้จดจ้องเด็กนั่นโดยไม่ปริปากพูดอะไร
คิดไม่ออกว่าผมจะจบเรื่องนี้ได้ยังไง มันจะลงเอยที่ตรงไหน
กอด จูบ หรือมากกว่านั้น...