โบราณว่าไว้ ขาดแม่เหมือนแพแตก นั่นยังไม่น่าอดสูเท่า ชีวิตที่ขาดทั้งถ่อและแพอย่างเธอ คริษฐาคือชื่อที่พ่อกับแม่จงใจตั้งให้ มันคือความรักที่ทั้งสองเหลือไว้ แต่ทั้งพ่อแม่ไม่มีใครมีชีวิตอยู่ เพื่อชื่นชมการเจริญเติบโตของเธอเลยสักคน บิดาโบกมือลาเธอ ตั้งแต่เธออายุแค่สิบสี่ปี ยังไม่ทันได้เป็นสาวเต็มตัวเลยด้วยซ้ำ นั่นคือจุดเริ่มต้นชีวิตที่เริ่มผกผันและเคว้งคว้าง
สองปีต่อมา มารดาของเธอก็ทนความลำบากในการหาค่าครองชีพสำหรับสองชีวิตไม่ไหว แม่ตัดสินใจแต่งงานใหม่ เหมือนชีวิตเธอจะดีขึ้น สามีใหม่ของแม่ฐานะค่อนข้างดี เขามีร้านอาหารที่สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ และสามารถเจือจุนให้กับเธอได้บ้าง แลกกับการทำงานหลังเวลาเลิกเรียน
เอาเถอะ เธอเองก็ไม่ได้อยากเป็นภาระของใครเลย
งานนั่นเลยกลายเป็นงานประจำ แม้ตอนที่เข้าวิทยาลัย’ เธอก็ยังต้องทำหน้าที่นั้นเหมือนเดิม
“ช่วยๆ กันหน่อย ยังไงเสียก็คนในครอบครัวเดียวกัน” แม่ผู้ที่กลายเป็นช้างเท้าหลังเต็มตัว ยอมทุกอย่างแม้จะเจ็บตัวบ่อยๆ แดนไทยคือชื่อพ่อใหม่ของเธอ ตอนเวลาไม่เมาผู้ชายคนนี้ถือว่าดีระดับหนึ่ง ครั้นแอลกอฮอล์เข้าปาก ในระดับที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ สันดานเก่าๆ ก็เริ่มออก ทุกเช้าแม่จะมีรอยแผลเพิ่ม จนคริษฐาเริ่มทนไม่ไหว
“แม่...หากเป็นแบบนี้อีก แม่เลิกกับลุงแดนเถอะค่ะ ริดดูแลแม่กับตัวเองได้”
หลายปีมานี่ เงินเดือนบวกทิปกลายเป็นเงินเก็บของเธอ และน่าจะใช้สำรองช่วงที่รอให้แม่หางานทำได้หลายเดือนทีเดียว
จารีย์ส่ายหน้า ยกมือขึ้นลูบศีรษะลูกสาว “เจ็บแค่นิดๆ หน่อยๆ เองริด พอหายเมา ลุงแดนเขาก็เป็นคนดีนะ”
คริษฐากลอกตา สูดลมหายใจลึกๆ มือยื่นไปจับแขนเสื้อแม่ถลกขึ้นสูง “นิดหน่อยอะไรคะแม่ แผลเก่ายังไม่ทันหาย ลุงแดนก็เติมแผลใหม่ให้แม่อีกแล้ว แม่เคยมองตัวเองในกระจกบ้างหรือเปล่าคะ สภาพแม่เกินอายุจริงไปกี่ปีแล้ว”
แม่ยิ้มเศร้าๆ “แม่ทนได้ ริดจะได้ไม่ลำบาก”
หมดคำทักท้วง เพราะเหตุผลของแม่ที่เธอไม่มีทางหักล้างได้ ก่อนหน้าที่จะย้ายมาอยู่กับแดนไทย คริษฐารู้ดีว่ามารดาเหนื่อยหนักแค่ไหน เธอยังโตไม่พอ ยังดูแลมารดาให้ดีไม่ได้ อีกหลายปีเชียวแหละกว่าที่ตนเองจะพาแม่ออกไปจากวังวนที่โหดร้ายนี่ได้
“อีกสองปีนะแม่ ริดจะพาแม่ออกไปจากนรกขุมนี้” คริษฐากัดฟันพูด จารีย์ยิ้มจืดๆ และนั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่คริษฐากับจารีย์ได้เปิดอกคุยกัน มารดาของเธอทนรอวันชื่นคืนสุขไม่ไหว จารีย์จากไปในคืนหนึ่ง สภาพร่างกายบอบช้ำ แต่กลับไม่มีใครเอาผิดแดนไทยได้เลย