ตอนที่ 4
เขมกรขมวดคิ้วเข้าหากันพร้อมกับพยายามค้นหาบุรุษนามซ่งหยวนเจ๋อที่อยู่ในความทรงจำของเกาหยุนเหลียง หากทุกอย่างกลับมืดสนิท ที่เมื่อคิดมากก็ทำให้เกิดปวดศีรษะขึ้นมาอีกด้วย ไหนจะใบหน้าของบ่าวรับใช้ตรงหน้าที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวลระคนหวาดกลัวมันทำให้เขารู้สึกมิค่อยดีสักเท่าไหร่เลย
ปกติแล้วคุณหนูคุณชายตระกูลเกามีบ่าวรับใช้ใกล้ชิดอยู่นะ หากเกาหยุนเหลียงกลับมิมี ซึ่งก็คาดเดาได้มิยากเลย...ด้วยนิสัยเกเรที่ออกนอกบ้านเมื่อไหร่ก็ชวนชาวบ้านทะเลาะต่อยตีไปแทบจะทุกคนที่พบเจอ ปากร้าย มิพึงพอใจก็อาละวาดเสียงดัง โกรธมากหน่อยก็ขว้างปาข้าวของ เอาแต่ใจเช่นนี้ คงมิมีใครอยากมาอยู่ด้วย เพราะเหตุนี้ ในวันที่เกิดเรื่อง...ร้าย! ขึ้น กว่าจะรู้เรื่องเกาหยุนเหลียงหายไป ก็...สายเกินจะแก้ไขได้แล้ว
เขมกรได้แต่แอบถอนหายใจอย่างหนักอก ดูท่าแล้ว...ซ่งหยวนเจ๋อน่าจะเป็นศัตรูคนสำคัญ เป็นคู่กัด คู่แค้นของเกาหยุนเหลียง ก่อนที่อีกฝ่ายจะจากไปคงไปสร้างเรื่องราวใหญ่โตเอาไว้เสียด้วย
“อ๋อ” เขมกรพยักหน้าให้กับบ่าวรับใช้ที่คุ้นอยู่ว่าชื่อ ‘หลิวตง’
“ข้าก็ทำผิดเป็นประจำอยู่แล้ว กับคุณชายซ่งหยวนเจ๋อก็คงจะมีเหตุทะเลาะเบาะแว้งกันธรรมดานั่นแหละ ทางนั้นคงจะมาบอกกล่าวท่านแม่ให้คอยกำราบข้าให้ทำตัวดี ๆ เท่านั้น เจ้ามิต้องเป็นกังวลไปหรอก”
หากว่า...ใบหน้าของหลิวตงกลับมิได้บอกกับเขาเช่นนั้น ใบหน้าที่แสดงออกมาเหมือนกับว่าเกาหยุนเหลียงไปทำร้ายเจ้าซ่งหยวนเจ๋ออย่างรุนแรง แบบ...ฝังกลบดินไม่ให้ผุดไม่ให้เกิดเลย เห็นแบบนี้แล้วเขาก็ เฮ้อ! เจอศึกหนักอีกแล้วใช่ไหมเนี่ย!
เอาเถอะ...ยังไงเขมกรผู้นี้ก็ถือว่าเก่งพอตัวอยู่แล้ว คงจะพอคิดหาข้อแก้ตัวได้และน่าจะคิดหาทางแก้ไขเรื่องร้าย ๆ ที่เจ้าตัวดีเกาหยุนเหลียงทำไว้ได้อยู่...น่ะ!
“มีอันใดอีกล่ะ” เขมกรถามอย่างเบื่อหน่าย เมื่อเห็นว่าหลิวตงยังคงยืนนิ่งไม่ขยับไปไหน
“นายท่านให้ท่านไปพบที่ลานฝึก”
เท้าที่จะเดินไปยังห้องโถงของเรือนหยุดชะงักและรีบหันไปมองหลิวตงอย่างรวดเร็ว ด้วยคิดว่าตนเองนั้นได้ยินผิดพลาด หากเมื่อมองหน้าหลิวตงที่มีทั้งความกังวลและหวาดกลัวก็ใจหายวาบ
ไอ้เกาหยุนเหลียง...ไปทำบ้าอะไรไว้วะเนี่ย!
โกรธ...โกรธเกาหยุนเหลียงจนหัวฟัดหัวเหวี่ยง อยากจะย้อนเวลากลับไปแล้วเจอวิญญาณไอ้เจ้าบ้าเนี่ย ข้าจะได้จับคอแล้วบีบพร้อมกับเขย่าแรง ๆ เผื่อว่าขี้เลื่อยในสมองจะได้หลุดออกมาเสียบ้าง สร้างแต่เรื่องปวดหัวให้เขาจนสมองมันเบลอคิดหาทางแก้มิออกอยู่แล้ว
ทำไมเขาถึงได้โกรธเช่นนี้นะหรือ
นับตั้งแต่ฟื้นมาในร่างนี้ จวบจนตอนนี้ก็...เกือบจะครบเดือนอยู่ไม่กี่วัน นับตั้งแต่ที่สามารถลุกจากเตียงได้...เรียกได้ว่าทุกวันเลยก็ว่าได้ ทุกวันที่จะต้องมีคนนำเอาเรื่องไม่ดี! ของเกาหยุนเหลียนมาบอกกล่าว เรียกให้ดีหน่อยก็คือรายงาน หากเรียกกันตามจริงก็คือ ฟ้อง! นั่นแหละ ตั้งแต่เรื่องขี้มูกราขี้หมาแห้งยันเรื่องใหญ่จนถึงขั้นทำลายข้าวของก็มี คราวนี้เรื่องคงจะต้องร้ายแรงมาก ท่านพ่อถึงได้เรียกให้ไปพบที่ลานฝึก...เรียกได้ว่า เขมกรต้องเจอกับหายนะชุดใหญ่แล้วล่ะ
“ให้ข้านำทางท่านไปขอรับ”
เขมกรกลอกตาไปมา กลัวเขาหนีมิยอมไปนะสิ ที่จริงก็อยากหนีไปให้เร็วจริง ๆ นั่นแหละ แต่มันเลี่ยงได้เสียที่ไหนล่ะ หากมิไป ท่านแม่ก็มาหาด้วยตนเอง เมื่อนั้นแทนที่เขาจะใบหน้าที่จำต้องปั้นแต่งว่ารู้สำนึกในความผิดที่ได้กระทำลงไปแล้ว ขอให้ท่านแม่ยกโทษให้ หลังจากนี้จะปรับปรุงตัวใหม่ จะมิไปก่อเรื่องนอกเรือนอีกแล้ว จะกลับกลายเป็นว่า เขาจะโดนท่านแม่ลงทัณฑ์ อย่างให้นั่งคุกเข่าสำนึกผิดเป็นชั่วยาม จนเจ็บเข่าและขาก็ชาด้วย หรือไม่ก็ให้คัดตำรา!
เรื่องนี้ดูเหมือนจะทำให้คนในเรือนแปลกใจอยู่มิใช่น้อย จนมองเกาหยุนเหลียงด้วยสายตาประหนึ่งโดนผีเข้า ด้วยว่าทุกคนรู้ดีว่าเกาหยุนเหลียนตัวจริง...เป็นคนเกียจคร้านมาก เมื่อใดที่ต้องเรียนหนังสือหรือคัดตำราก็จะหาเรื่องหลบหนีด้วยการสร้างเรื่องต่าง ๆ นานา หากหลีกเลี่ยงมิได้ก็จะเป็นไข้นอนซมในทันที
หากตัวเขา...เมื่อใดที่ถูกทำโทษด้วยการให้อยู่ในห้องหนังสือ คัดตำราแล้ว...เขาก็จะออกอาการดีใจจนออกนอกหน้า ยิ้มจนแก้มปริ รีบเข้าไปรับโทษโดยเร็ว แม้จะอ่านมิค่อยจะออกและคัดอักษรมิค่อยจะได้ หากก็มิยอมละความพยายาม ถือคติที่ว่า มิว่าอยู่ที่ใด การเรียนเป็นสิ่งสำคัญ แม้จะมีดีมาก แต่ต้องอ่านออกและเขียนได้ จนหลัง ๆ มานี้ท่านแม่มักจะกล่าวว่า...
“ถ้าเจ้ารักชอบที่จะเรียนเขียนอ่านตำรับตำรา ข้าจะหาอาจารย์มาสอนเจ้าก็แล้วกัน” หากตอนกล่าวเช่นนั้นท่านแม่ก็ยังมิได้ไว้วางใจ สายตาที่มองมายังเกาหยุนเหลียงเหมือนกับว่า...เจ้าใช่ลูกชายของข้าจริงหรือไม่ สายตาที่ทำให้เขมกรรู้สึกผิดและร้อนรนด้วยกลัวว่าความจริงจะเปิดเผย หากโดนไล่ออกจากเรือน แม้จะยากเย็นแค่ไหน แต่ก็ยังพอจะพาตัวเองให้ได้รอด หากเจอกับวิธีอื่น...มิอยากคิดเลยว่า มันคงจะทรมานมากแน่นอน
“ท่านพ่อโกรธมากเลยใช่ไหมหลิวตง” เขมกรไถ่ถามเอาไว้ เพื่อจะได้คิดหาทางออดอ้อนให้โดนลงโทษอย่างเบาที่สุด ความจริงแล้วเขามิเคยโดนลงโทษให้ไปที่ลานฝึกยุทธ์สักครั้ง หากก็รู้จากบ่าวไพร่นั่นแหละ ใครก็ตามที่ทำผิดหนักมักจะถูกลงโทษที่นั่น ที่ส่วนใหญ่แล้วคนที่โดนลงโทษมักจะมิบอกกล่าวว่าเจออะไรกันมาบ้าง ที่ตอนนี้เขาคงได้แต่...คาดเดาไปเองและคาดหวังไปว่า เรื่องที่เกิดและบทลงโทษที่ได้รับจะมิร้ายแรงมากจนไปจนรับมิได้!
จะช้าหรือเร็ว เขมกรก็จะต้องไปยังลานฝึก...อยู่ดี ไปถึงช้า อาจจะถูกท่านพ่อโกรธ จนที่จะลงโทษสักหนึ่งชั่วยาม อาจจะกลายเป็นสองหรือสามชั่วยามก็เป็นไปได้ ถ้าเช่นนั้นเขาควรจะไปให้เร็วสักหน่อย
“ข้ามิคิดหนีไปไหนหรอกน่า” เขมกรบอกกล่าวแก่หลิวตงที่เหลือบสายตามามองบ่อยครั้ง คงกลัวว่าเขาจะเลี่ยงไปหาท่านแม่ก่อน เพื่อขอให้ช่วยคลี่คลาย ทำให้เรื่องที่ควรจะร้ายแรงเป็นเพียงแค่เรื่องเล็ก หากมันก็มีเหมือนกันที่ท่านแม่ช่วยมิได้
“เกิดข้าหนี ได้โดนท่านพ่อลงโทษหนักกว่าที่คิดไว้นะสิ เดี๋ยวนี้ข้ามิโง่เหมือนเมื่อก่อนแล้วนะหลิวตง” เขมกรไพล่มือไปเกี่ยวกันไว้ด้านหลัง ในใจก็อดคิดมิได้ เกาหยุนเหลียงช่างเป็นคนโง่เสียจริง มีบิดามารดาที่รักเช่นนี้ ยังจะทำตัวไม่ดีอีก
เขมกรพยายามคิดว่า จะมีหนทางใดบ้างที่จะทำให้บิดาใจอ่อน มิลงโทษอย่างรุนแรง หรือหากมิอาจหลีกเลี่ยงได้จริง ๆ ก็ขอให้เบาที่สุด
เพราะมัวแต่คิดทำให้เขมกรมิทันรู้ว่าได้เดินมาถึงที่หมายแล้ว หากเพราะรู้สึกเหมือนว่าทุกสายตาจ้องมาที่ตนเองก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกับฉีกยิ้มอย่างมิรู้มิชี้ ก่อนจะไปสะดุดกับใครบางคน...