ตอนที่ 10 ต้นรักสลักใจ

3894 Words
ตอนที่ 10 ต้นรักสลักใจ “อะไรคะ!” ญาตาวีทำหน้าเลิกลั่ก เมื่อเห็นอีกฝ่ายยื่นอุปกรณ์บาง อย่างมาให้ “ก็…ปลูกต้นไม้ไงครับ” คำตอบนั้นมาพร้อมกับเครื่องมือปฏิบัติภารกิจที่ถูกยัดมาใส่มือนุ่มนิ่ม จากการที่ไม่เคยทำงานหนักมาก่อน “ฉันรู้แล้ว แต่มายื่นให้กันแบบนี้ฉันทำไม่เป็นหรอกนะ คุณต้องสอนก่อนสิ” ญาตาวียังคงตั้งแง่ แท้จริงแล้วเธอไม่อยากขุดดิน แค่อยากกันท่าให้เขาออกห่างจากยายพิมพกานต์หน้าจืดนั่น แม้ใจพยายามบอกว่าไม่ได้คิดอะไร แต่บอกไม่ถูกว่าทำไมต้องรู้สึกไม่ชอบใจที่เห็นเขาสนิทสนมกับผู้หญิงคนอื่นที่ไม่ใช่ตน “ผมบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าตามเข้ามา มาแล้วก็เป็นภาระเสียด้วย น่าเบื่อจริงๆ แทนที่ผมจะได้งานกลับต้องมานั่งคอยประคบประหงมคนบางคน นายกฤชก็ไปไหนไม่มาดูแล ออกนอกหน้ากันดีนัก” ประโยคหลังนาวีเบือนหน้าไปทางอื่น พลางเข่นเขี้ยวออก มาด้วยนึกเคืองลูกน้องตัวแสบขึ้นมาตงิดๆ ชายหนุ่มถอดหมวกที่สวมอยู่พลางถอนหายใจออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ เพียงเพราะเล็งเห็นถึงความยุ่งยากที่จะตามมา ทำให้ชายหนุ่มไม่อยากทำตัวให้สนิทสนมกับเธอไปมากกว่านี้ ช่างขัดกับความประสงค์ของอีกฝ่ายอย่างสิ้นเชิง “อยากเบื่อก็เบื่อไป ยิ่งเบื่อฉันก็จะยิ่งตาม เข้าใจนะคะคุณหัวหน้าหน่วย” "เอาละครับเริ่มงานได้แล้ว อยากทำตัวเพื่อส่วนรวมก็ต้องเชื่อฟังคำสั่งผม โอเค๊" ชายหนุ่มเดินเลี่ยงไปยังแนวปลูกป่า ญาตาวีรีบสาวเท้าตามไป เธอยืนมองเขาลงน้ำหนักอุปกรณ์ไปบนผืนดินที่ไม่แข็งและก็ไม่เละจนเกินไป ชั่วอึดใจก็ได้หลุมขนาดย่อมๆ พอที่จะวางต้นกล้าลงไปได้ “ลองทำสิ ขุดหลุมแบบเมื่อสักครู่นี้ที่ผมทำน่ะ” “ฉันขุดไม่ไหวหรอก ดินมันแข็ง” “ยังไม่ลองคุณหนูแห่งนิรันดร์รักก็ถอดใจเสียแล้ว แล้วที่ประกาศเอาไว้จะสำเร็จหรือครับ อย่าลืมสิว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่ อยากให้ผมสนใจไม่ใช่เหรอ” ถ้อยคำกระตุ้นที่กระทบโสตประสาท ทำให้ญาตาวีต้องกลับมาย้ำเตือนตัวเองอีกครั้ง ‘นั่นสินะ เธอกำลังจะเอาชนะเขานะญาตาวี’ การทำให้เขาหันมามองเธอในแง่มุมดีๆ อาจจะช่วยให้ทำภารกิจนี้สำเร็จ หากได้หัวใจเขามาแล้วเธอจะทำอย่างไรกับมัน ขว้างทิ้งอย่างไม่ใยดีอย่างที่เคยลั่นวาจาเอาไว้ หรือเก็บถนอมเอาไว้ อย่างดีใต้ก้นบึ้งของหัวใจ เธอเองยังไม่สามารถตอบได้ “เร็วสิครับ แสดงให้ผมเห็นหน่อยว่าคุณทำได้ หากอยากให้ผมสนใจก็ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองเสียใหม่นะ” นาวียังคงเร่งเร้าเพราะนึกสนุกอยากลองแกล้งอีกฝ่ายขึ้นมา ชายหนุ่มยกมือขึ้นกอดอกพลางเดินเลี่ยงไปหาร่มเงา ร่างสูงเอนกายพิงต้นไม้อย่างสบายอารมณ์ ญาตาวีเม้มปากแน่น เธอยืนนิ่งครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ หญิงสาวนึกต่อว่าตัวเองในใจว่าทำไมต้องพาตัวเองมาลำบากขนาดนี้ด้วย ชั่ววินาทีนี้เธอแทบอยากเปลี่ยนใจยกเลิกที่เคยลั่นวาจาออกไป แต่เพียงชั่วครู่จิตใต้สำนึกก็แย้งขึ้นมาว่าเธอจะถอยไม่ได้ ด้วยนิสัยดื้อรั้นและชอบเอาชนะที่มีอยู่ในสายเลือดอย่างเข้มข้น ‘ฉันไม่เคยแพ้ใครทั้งนั้น โดยเฉพาะนาย คนโอหัง’ หญิงสาวขบกรามแน่น ก่อนเหลือบตามองชายหนุ่มที่ยืนผิวปากมองเธออยู่อย่างท้าทาย รอยยิ้มคล้ายเย้ยหยันที่ออกมาจากริมฝีปากได้รูปทำให้เธอเดินไปคว้าอุปกรณ์ที่เขาวางทิ้งไว้บริเวณปากหลุม ก่อนคว้าขึ้นมาถือไว้พลางตวัดสายตาไปยังคนที่ยืนยิ้มอยู่ใต้ต้นไม้ เพียงคราวแรกที่ลงน้ำหนักลงไป ผืนดินแข็งทำให้เธอถึงกับโอดครวญอยู่ในใจ หากแต่ว่าก็ยังคงพยายามทำต่อไปแม้จะรู้ว่าไม่ง่ายอย่างใจคิด เมื่อได้มาสัมผัสเธอกลับพบว่ามันไม่ง่ายเลย คนที่ไม่เคยทำอะไรแบบนี้อย่างเธอมาก่อน กว่าจะสำเร็จลงได้ก็เรียก เหงื่อไปหลายหยดทีเดียว นาวียืนมองการกระทำนั้นอยู่เงียบๆ เขายอมรับว่าเธอคนนี้สวย เพียงแต่ความสวยของเธอไม่อาจล่อหลอกเขาได้ ด้วยใจอคติกับเธอตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกัน เพียงเปลือกนอกที่เคลือบฉาบเธอก็สอบไม่ผ่านเสียแล้ว เขาไม่คิดแม้แต่จะแกะดูเนื้อแท้ที่ซ่อนอยู่ข้างใน กลับปิดใจเสียสนิทไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้เข้ามาเดินเล่นเลย “เสร็จแล้ว ดูสิว่าใช้ได้หรือยัง” ญาตาวีตะโกนเรียก ก่อนพลิกดูฝ่ามือตนเองที่รู้สึกเจ็บระบมขึ้นมาจากการออกแรงเมื่อสักครู่ “ยัง” อีกฝ่ายตะโกนกลับมาทั้งๆ ที่ยังไม่เดินมาดูผลงานเลยด้วยซ้ำ ส่งผลให้คนฟังถึงกับเบิกตากว้างขึ้นมาในทันใด “อะไรนะ!” “ก็บอกว่ายังไง ขุดให้ลึกลงไปอีกสิครับ” “นี่อย่ามาแกล้งกันนะ แล้วตอนนี้มือฉันก็พองไปหมดแล้วด้วย ขุดไม่ไหวแล้ว” ญาตาวีก้มลงมองฝ่ามือทั้งสองข้างอีกครั้ง ซึ่งมันเจ็บระบมจากแรงเสียดสีเมื่อสักครู่ ตุ่มน้ำใสๆ พองขึ้นมาหลายจุด เพียงเท่านั้นหญิงสาวก็ทำหน้าคล้ายจะร้องไห้ ด้วยกลัวว่ามือจะพังจนหมดสวยลงไป “ดูสิ มือฉันพังหมดเลย แล้วจะเป็นแผลเป็นมั้ย” นาวีเดินเข้ามาใกล้ ก่อนคว้ามือเรียวนุ่มนิ่มของอีกฝ่าย ขึ้นมาพลิกดู คล้ายหัวใจจะไหววูบลงไปเล็กน้อย เมื่อเห็นรอยพอง บนฝ่ามือที่ไม่เคยผ่านงานหนักของเธอ หากแต่ว่าก็ยังคงเก็บซ่อนความเห็นใจเอาไว้ ด้วยเขาเองต้องทำทุกอย่างให้เธอก้าวพ้นออกไปจากชีวิต ด้วยไม่อยากมีปัญหากับคนในครอบครัวของเธอ โดยเฉพาะวาคิม นาวีไม่พูดอะไร ชายหนุ่มลงมือใช้เสียมขุดหลุมต่อด้วยเห็นว่ายังไม่ลึกพอ ญาตาวีมองการกระทำนั้นพลางย่อตัวนั่งลงตรงกันข้ามกับอีกฝ่าย สองแขนกอดเข่าเอาไว้ "อุ๊ย!" ญาตาวีสะดุ้งพลางอุทานออกมา เมื่อก้อนดินขนาดไม่ใหญ่มากกระเด็นขึ้นมาบนใบหน้าของเธอ หญิงสาวยกมือขึ้นลูบคลำใบหน้าด้วยความเจ็บ รอยฝุ่นผงที่เกาะอยู่แต่อีกฝ่ายไม่รู้ตัว ทำให้ชายหนุ่มถึงกับหัวเราะออกมาด้วยความขบขัน “โอ๊ะ! ขอโทษครับคุณผู้หญิง เผอิญออกแรงมากไปหน่อย” "คนบ้า หน้าฉันเปื้อนหมดเลย" “ด่าผมทำไม บอกแล้วว่าไม่ได้ตั้งใจไงครับ" "นี่แน่ะ!" "โอ๊ย!" นาวีร้องออกมา เมื่อก้อนดินขนาดเล็กพุ่งเข้ามาบนใบหน้า ดีที่หลบทันเลยไม่เข้าตา “คุณ! เล่นอะไร ถ้าเข้าตาผมบอดไปจะทำยังไง” "ก็คุณแกล้งฉันก่อน ฉันรู้นะว่าคุณแกล้งขุดแรงๆ ให้ กระเด็นใส่หน้าฉัน" "ผมไม่เลวร้ายเหมือนความคิดคุณหรอกนะ บอกแล้วไงว่าไม่ได้ตั้งใจ" “ถือว่าหายกัน ฉันเจ็บคุณเจ็บ” “ไปหยิบต้นไม้มาสิครับ” ชายหนุ่มออกคำสั่ง พลางทำหน้าพยักพเยิดไปทางต้นกล้าที่วางรวมกันอยู่ ญาตาวีมองใบหน้าอีกฝ่ายนิ่ง ด้วยรู้สึกว่าเขากำลังทำตัวเหมือนเป็นเจ้านายไม่มีผิด “จะเอาต้นไหน ฉันจะไปรู้ได้ยังไง” “ต้นอะไรก็ได้ครับคุณผู้หญิง เพราะมันเหมือนๆ กัน” หญิงสาวทำท่ากระฟัดกระเฟียด ก่อนลุกขึ้นยืนเดินกระแทกเท้าเลี่ยงออกไป เพื่อทำตามคำสั่งของอีกฝ่ายแม้จะไม่เต็มใจก็ตามที “เอ้า! รับไปสิคะคุณชาย” เธอเดินกลับมาพลางยื่นต้นกล้าส่งให้อีกฝ่าย นาวีมองต้นพญาเสือโคร่งในมือเล็กก่อนรับมาวางเอาไว้ใกล้ๆ ปากหลุม ช่างบังเอิญที่เธอหยิบมันมา เพราะเขาจำได้มามันมีหลงมาแค่ต้นเดียว “นั่งลงสิ ผมจะได้สอนขั้นตอนต่อไป” ญาตาวีทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย ในขณะที่อีกฝ่ายถือต้นกล้าเอาไว้ในมือ “แกะถุงดำออก ต้องระวังอย่าให้รากแก้วขาด" ชายหนุ่มอธิบายขณะฉีกถุงดำออกอย่างคล่องแคล่วว่องไว เผยให้เห็นรากฝอยมากมายเกาะอยู่ตามก้อนดินผสมขี้เถ้าที่จับตัว จนแข็ง จากนั้นจึงจับมือเล็กให้ถือต้นไม้เอาไว้ ก่อนประคองให้ค่อยๆ วางต้นไม้ลงในหลุมขนาดพอดีที่ขุดเอาไว้ “เกลี่ยดินกลบลงไปสิ” สิ้นเสียงคำสั่ง ดินทั้งก้อนเล็กและก้อนใหญ่ถูกหญิงสาวกวาดลงหลุมอย่างรวดเร็ว จนนาวีร้องห้ามแทบไม่ทัน “โอ๊ะ! ช้าๆ สิคุณ แบบนี้ต้นไม้ตายกันหมดพอดี” “ก็คุณบอกให้กลบ ฉันก็ทำแล้วไง” “ก่อนเบ้อเร่อเบ้อร่าขนาดนั้นจะทำให้ดินแน่นได้ยังไงล่ะครับ คุณต้องทำให้มันละเอียดเสียก่อน แล้วค่อยๆ เกลี่ยลงไปแบบนี้” ชายหนุ่มหยิบก้อนดินในหลุมกลับขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนสาธิตวิธีการปลูกที่ถูกต้องให้เธอดู นาวีค่อยๆ เกลี่ยดินละเอียดลงหลุมทีละน้อยจนกระทั่งเต็ม จากนั้นจึงกดโดยรอบปากหลุมจนแน่น เพื่อให้แน่ใจว่ารากของต้นไม้จะยึดเกาะเอาไว้ได้ เพราะหากกดไม่แน่น เมื่อรดน้ำลงไปจะทำให้ดินหลวม รากไม่มีที่ยึดเกาะต้นไม้อาจตายลงภายในไม่กี่วัน ญาตาวีมองการกระทำนั้นอย่างสนใจ เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยแบบนี้เธอไม่เคยรู้มาก่อน เคยเห็นแต่วาคิมซื้อมาปลูกก็ตอนที่ต้นไม้นั้นมีขนาดใหญ่แล้ว โดยจ้างบริษัทรับเหมาเข้ามาจัดสวนเลย ไม่เคยต้องลงมือปลูกเองตั้งแต่ยังเป็นต้นกล้าแบบนี้มาก่อน หญิงสาวลอบมองหลังมือขาวสะอาดของอีกฝ่ายอย่างลืม ตัว พลางไล่สายตาขึ้นมายังใบหน้าคมคายที่มีเม็ดเหงื่อผุดพราว เธอไม่อยากจะเชื่อว่าคนที่บุคลิกค่อนข้างสำอางอย่างชายหนุ่มเบื้องหน้าจะชอบอะไรที่คนละขั้วกับเธอแบบนี้ 'เธอต้องไม่หวั่นไหวนะยายดรีม แค่อยากเอาชนะเท่านั้น อย่าเผลอมอบใจให้เด็ดขาด' หญิงสาวเฝ้าย้ำเตือนตัวเอง เมื่อความรู้สึกประหลาดวูบเข้ามาในหัวใจราวลมพัดผ่าน เธอไม่เชื่อว่ารักแรกพบจะมาเกิดกับชายหนุ่มเบื้องหน้า เธอไม่ชอบความลำบาก ไม่ชอบงานของเขาที่ทำอยู่ ที่ยอมมาในวันนี้เพียงเพื่ออยากเอาชนะเท่านั้น ญาตาวียื่นมือไปช่วยกดดินรอบๆ ปากหลุม ขณะสายตายังคงลอบมองชายหนุ่มตรงหน้าไม่เลิก คล้ายจะรู้ได้ถึงการถูกจับจ้อง การที่นาวีเงยหน้าขึ้นมาทำให้สายตาสองคู่สบกันอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่ต่างฝ่ายต่างหลุบตาลงทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นาวียกมือขึ้นปาดเหงื่อที่ผุดพราว เมื่อมันเริ่มหยดลงบนผืนดิน คล้ายต้องการฝากฝังและจารึกเรื่องราวในวันนี้ให้เขาได้จดจำเอาไว้ว่าครั้งหนึ่งได้ร่วมมือกับเธอปลูกต้นไม้ต้นนี้เอาไว้ หากเขายังมีชีวิตอยู่ไปถึงสิบยี่สิบปีข้างหน้า เขาคิดว่าคงจำมันได้ถ้าย้อนกลับมาอีกครั้ง “เอาล่ะ เรียบร้อย” ก่อนลุกขึ้นยืนปัดมือทั้งสองข้างไปมา เพื่อให้ฝุ่นผงหลุดออกไปจากอุ้งมือแกร่ง ญาตาวีลุกขึ้นพลางทำตามแบบที่อีกฝ่ายทำบ้าง "ใกล้เที่ยงแล้ว น่าจะปลูกอีกสักต้นนะ" ชายหนุ่มไม่พูดเปล่า เขายื่นอุปกรณ์ให้เธออีกครั้ง "หา!" "อะไรกันครับ ขุดแค่หลุมเดียวก็ถอยซะแล้ว เฮ้อ สงสัยคุณต้องม้วนเสื่อกลับไปเสียแล้วล่ะ" “หึ...ใครบอก เอามา” ญาตาวีกระชากวัตถุในมืออีกฝ่ายอย่างแรง ก่อนเดินเลี่ยงถัดไปจากจุดเดิมไม่มากนัก ลงมือทำในสิ่งที่ขัดกับความรู้สึกอีกครั้ง ด้วยไม่อยากให้เขาต้องดูถูก พิมพกานต์ซึ่งคอยจับจ้องพฤติกรรมของทั้งคู่อยู่ห่างๆ เมื่อเห็นถึงภาพความแนบชิดเมื่อสักครู่ ทำให้เธอทนดูอยู่เฉยๆ ไม่ได้อีกต่อไป หญิงสาวจึงเดินรี่ตรงมายังญาตาวีที่ก้มหน้าก้มตาสาละวนอยู่กับการขุดดินเพื่อให้อีกฝ่ายเห็นว่าเธอก็ทำได้ ในขณะที่นาวีเดินเลี่ยงออกไปเพื่อหยิบน้ำดื่มมาให้ "ให้ฉันช่วยมั้ยคะ" คำแรกที่พิมพกานต์เอ่ยขึ้น ในขณะที่ญาตาวีเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายพลางจับจ้องใบหน้านั้นชั่วครู่ ก่อนเอ่ยออกมา "ไม่เป็นไรค่ะ ฉันทำคนเดียวได้" พิมพกานต์ย่อตัวนั่งลงตรงข้ามญาตาวี รอยยิ้มเย็นเผยออกมาจากกลีบปากบาง มือขาวซีดยื่นมาจับข้อมือญาตาวีเอาไว้ ขณะสายตาลอบมองไปทางนาวี ที่ยังคงยืนสนทนากับกลุ่มชาวบ้านอยู่ตรงจุดบริการ ญาตาวีชะงักกิจกรรมที่กำลังทำทันที สายตาจับจ้องอีก ฝ่ายอย่างไม่หวั่นเกรง สัญชาตญาณของเธอบออกว่ากำลังถูกหญิงสาวตรงหน้าท้าทายอย่างออกนอกหน้า "ฉันขอเตือน เธอควรถอยออกไปจากตรงนี้ซะ มันไม่ใช่ที่ที่เธอมาจะมาอยู่" พิมพกานต์ยื่นหน้าเข้าไปกระซิบ หากคำพูดนั่นไม่ทำให้อีกฝ่ายสะเทือนไปได้เลย แถมยอกย้อนกลับมาด้วยถ้อยคำฟังแล้วระคายหูเธอยิ่งนัก "แล้วฉันต้องกลัวเธอหรือเปล่า ยายหน้าจืด" "ฉันแน่ใจว่ารู้จักพี่วีมาก่อนเธอแน่นอน อย่าทำตัวเป็นผู้หญิง...ร่าน..." พิมพกานต์จงใจเน้นเสียงย้ำคำหลังสุด ถ้อยคำนี้ทำให้คนฟังถึงกับหน้าชาดิก หากแต่ว่าเธอก็ยังคงเก็บซ่อนความกรุ่นโกรธเอาไว้ภายใต้สีหน้ายิ้มแย้ม "รู้จักก่อนหลังไม่สำคัญ แต่ของแบบนี้มันอยู่ที่...ลีลา" พิมพกานต์หุบยิ้มแทบจะในทันใด รู้สึกว่าคู่แข่งของเธอคนนี้ไม่ได้เคี้ยวง่ายเสียแล้ว ญาตาวีเผยยิ้มยั่วโมโหออกมา ก่อนยื่นหน้าเข้าไปกระซิบอีกครั้ง "ถ้าเธอลีลาดี ก็ต้องมัดพี่วีของเธอเอาไว้ได้ อย่าปล่อยให้หลุดมาหาฉันได้เชียว" "ปากดีนักนะ!" "อ๊ะ!" พิมพกานต์เป็นฝ่ายฟิวส์ขาด เธอกำผงดินที่อยู่บริเวณนั้น แล้วสาดซัดใส่ร่างของอีกฝ่ายทันที "นังบ้า! แกทำฉันเปื้อน" ญาตาวีก้มลงมองเสื้อผ้าตนเองที่เลอะเทอะแล้วถึงกับควันออกหู เธอสวนกลับด้วยการกระทำแบบเดียวกับที่อีกฝ่ายทำใส่เธอเมื่อสักครู่อย่างไม่ต้องคิดให้มากความ "อะไรกัน!" น้ำเสียงห้วนที่ดังแทรกขึ้นมา ส่งผลให้พิมพกานต์ที่กำลังเงื้อมือหมายจะเอาคืนต้องลดมือลง ก่อนแสร้งทำสีหน้าตื่นตระหนกคล้ายเมื่อสักครู่นี้ได้เผชิญกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน "เมื่อสักครู่คุณทำอะไร ผมเห็นนะดรีม" นาวีเอ่ยถามเสียงเข้ม สายตาคมกล้าจับจ้องใบหน้าญาตาวีคล้ายคาดคั้นให้รับสารภาพ ยิ่งเห็นท่าทีหวาดกลัวของพิมพกานต์ทำให้เขาเชื่อว่าญาตาวีต้องก่อเรื่องอย่างแน่นอน "ก็มัน..." "พิมพ์ไม่ได้ทำอะไรนะคะ แค่จะมาช่วยแต่คุณดรีมเธอก็หาเรื่องก่อน ดูสิคะ เปื้อนหมดเลย" ญาตาวีถึงกับอึ้งเมื่ออีกฝ่ายรีบแทรกขึ้นมา พิมพกานต์ผลุนผลันลุกขึ้นยืน พลางชี้ให้นาวีดูเสื้อผ้าของเธอที่เปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นผงจากฝีมือญาตาวีเมื่อสักครู่ "คุณมาวันแรกก็ก่อเรื่องเสียแล้ว น้องพิมพ์ทำอะไรให้คุณไม่พอใจ ถึงได้ต้องแกล้งกันด้วย ภาพลักษณ์เรียบร้อยอ่อนหวานของพิมพกานต์ทำให้นาวี เอนเอียงไปทางเธออย่างไม่ต้องสงสัย ด้วยบุคลิกที่ค่อนข้างแรงของญาตาวีทำให้เขาเชื่อพิมพกานต์อย่างสนิทใจ ดูท่าว่าภาพ ลักษณ์ของญาตาวีในสายตาของชายหนุ่มจะย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิมเสียแล้ว "มันแกล้งฉันก่อน ฉันไม่ยอมให้ใครมาหาเรื่องฟรีๆ หรอกนะ" ญาตาวีผุดลุกขึ้นบ้าง ก่อนปราดเข้ามายืนประจันหน้ากับนาวี สายตาจับจ้องไปทางพิมพกานต์เขม็ง อีกฝ่ายเสมือนรู้ รีบเรียกคะแนนความสงสารด้วยการยืนก้มหน้างุด "คุณดรีมทำไมต้องใส่ร้ายพิมพ์ด้วยคะ แค่อยากจะมาช่วยเฉยๆ พิมพ์เห็นว่าเป็นเพื่อนพี่วี ก็เลยอาสาจะมาดูแลให้ พี่วีจะเชื่อใครก็แล้วแต่ แต่พิมพ์ยังไม่ได้ทำอะไรจริงๆ" "อย่ามาสะตอนะ!" ญาตาวีสบถด่าออกมาอย่างสุดกลั้น หญิงสาวพุ่งพรวดจะเข้าไปทำร้ายอีกฝ่ายตามอารมณ์ที่เพิ่มดีกรีความร้อนขึ้นมา ดีที่นาวีรีบกางแขนกั้นห้ามทัพเอาไว้ได้ทัน “ดรีม พอได้แล้ว!” "ฮือๆๆ เพื่อนพี่วีน่ากลัว พิมพ์ไม่อยู่แล้ว" เพียงเท่านั้น พิมพกานต์ก็สะอึกสะอื้นออกมา พลางวิ่งปิดหน้าออกไปจากบริเวณนั้นทันที นาวีมองตามร่างนั้นไปพลางขบกรามแน่น ก่อนสายตาคมกล้าจะหันมาตวัดใส่ร่างหญิงสาวเบื้อง หน้าอย่างคาดโทษ "ทำไมต้องด่าเธอด้วย หรือว่า สังคมของคุณเขาพูดกันแบบนี้จนเป็นเรื่องธรรมดา" "ก็มันมารยาจริงๆ นี่คะ คุณไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ จะไปรู้อะไร" ญาตาวีพยายามอธิบาย แต่ดูท่าว่าความตั้งใจของเธอจะไม่เป็นผล เมื่ออีกฝ่ายโต้กลับมาด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว พร้อมแสดงท่าทีไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด "ทำไมจะไม่รู้ ก็เห็นๆ กันอยู่ว่าเมื่อสักครู่นี้คุณสาดดินใส่เธอ" "มันทำฉันก่อน" นาวียืนนิ่งชั่วครู่คล้ายกำลังครุ่นคิด หากเขาฉุกใจสักนิด ตัดความอคติออกไปจากใจ เขาคงจะเห็นว่าเสื้อผ้าของญาตาวีก็มีสภาพไม่ต่างไปจากพิมพกานต์เท่าไหร่นัก แต่อคติที่บังตาทำให้ชายหนุ่มแสยะยิ้มเย้ยหยันออกมา "หึ...จริงๆ แล้วผมว่าน่าจะเป็นคุณมากกว่านะที่มารยา ทุกวันนี้ผมยังไม่รู้เลยว่าคุณเสแสร้งอะไรออกมาบ้าง" ถ้อยคำเชือดเฉือนกรีดลึก ยิ่งกระตุ้นให้เธออยากเอาชนะ โดยเฉพาะยายพิมพกานต์หน้าจืด ที่ยามนี้เธอได้หมายหัวเอาไว้แล้วว่าคือศัตรูหมายเลขหนึ่งที่น่ากลัวที่สุด คราวต่อไปคงต้องไปปรับวิธีการรบมาใหม่ ไม่ให้พลาดแบบวันนี้อีก ญาตาวีคิดพลางจับจ้องใบหน้าอีกฝ่ายนิ่ง "ฉันก็เป็นฉัน...ระวังยายหน้าจืดนี่ไว้ให้ดีเถอะ เข้าข้างกันดี สักวันมันจะจับคุณทำผัว" "ผมคงไม่โง่ให้ใครมาจับง่ายๆ หรอกนะ นี่คุณคิดกับคนอื่นในแง่ร้ายมากเกินไปไหม คิดว่าคนอื่นจะเป็นแบบคุณอย่างนั้นสิ" “อย่าทะนงตัวเกินไปนัก ถ้าคุณไม่พลาดให้กับมัน ก็คงต้องพลาดให้กับฉันในสักวันหนึ่ง” “ผมจะปูเสื่อคอยก็แล้วกันญาตาวี จะคอยดูว่าคุณจะมีลูกเล่นอะไรกับผมอีก แต่ผมเชื่อว่าคุณทำไม่สำเร็จหรอก เพราะคุณไม่ได้อยู่ในสายตาผมแม้สักนิด แต่ถ้าเป็นน้องพิมพ์ก็ไม่แน่..." “คนไร้หัวใจ!” รอยยิ้มของอีกฝ่ายแลดูคล้ายเย้ยหยัน ญาตาวีกำมือแน่น ความรู้สึกอยากเอาชนะแล่นพล่านไปทั่วร่าง เธอสาบานกับตัวเองว่าผู้ชายคนนี้จะต้องได้รับบทเรียนอย่างสาสม “ผมนี่นะไร้หัวใจ ถ้าอย่างนั้นคงเป็นกับคุณคนเดียวเสียแล้วล่ะ...ญาตาวี” คำพูดที่พ่นออกมาไม่ต่างจากคมมีดที่กรีดลึกลงกลางใจ ยิ่งกระตุ้นแรงอยากเอาชนะ ยามนี้ความมุ่งมั่นของญาตาวีมาไกลเกินกว่าจะถอยเสียแล้ว “ทำเป็นหัวเราะไปเถอะ วันนั้นมาถึงเมื่อไหร่ ฉันนี่แหละ จะทำให้คุณต้องเจ็บไปตลอดชีวิต และคุณนี่แหละ ที่จะต้องมาสยบแทบเท้าฉัน” คำพูดจริงจังและหนักแน่นออกมาจากริมฝีปากสีชมพู กุหลาบ นาวีเพิ่งสังเกตว่าใบหน้าสวยวันนี้ต่างไปจากทุกครั้งที่พบ กัน ที่ไม่ได้แต่งแต้มเครื่องสำอางจนกลบความเป็นตัวตนเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา “มั่นใจขนาดนั้นเชียวหรือครับ” ท่ายักไหล่และรอยยิ้มกวนอารมณ์ที่แสดงออกมา ส่งผลให้ญาตาวีเชิดหน้าจับจ้องใบหน้าอีกฝ่ายเขม็ง “ฉันจะทำให้ได้” “ผมจะคอยดู เพราะผมแน่ใจว่าจะไม่มีวันชายตาแลผู้หญิงแบบคุณ!” “ผู้ชายโอหัง!” เพียงได้ฟังถ้อยคำยอกย้อน สายตาคมกล้าตวัดจับจ้องคนพูดอย่างไม่พอใจ ก่อนรอยยิ้มเยาะจะเผยออกมาพร้อมๆ กับถ้อยคำระคายหู “ผู้หญิงไร้ยางอาย ทำตัวไม่สมกับเป็นกุลสตรี ผมถามหน่อยเถอะว่ากว่าจะมาถึงผมเนี่ย มีผู้ชายได้ครอบครองคุณมากี่คนแล้ว!” “คุณนาวี!” “เผียะ!” ใบหน้าหล่อสะบัดไปตามแรง รอยแดงปรากฏขึ้นบนซีกหน้าข้างซ้าย ญาตาวียืนกำมือแน่นด้วยความโกรธ ขอบตาร้อนผ่าว เมื่อถ้อยคำดูถูกบาดลึกเข้าไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ หญิงสาวพยายามกั้นก้อนน้ำตาเอาไว้ไม่ให้ไหลออกมา เหตุการณ์ทั้งหมดหาได้รอดพ้นสายตาของชาวบ้านที่อยู่บริเวณนั้นไม่ ต่างยืนตก ตะลึงอ้าปากค้างด้วยกำลังตกใจและงุนงงว่าเกิดอะไรขึ้น “มีอะไรกันครับ” คมกฤชเป็นคนแรกที่ปราดเข้ามา เขาสังเกตเห็นใบหน้าของญาตาวีแดงเห่อ ไม่ต่างจากคนที่กำลังจะร้องไห้ ชายหนุ่มมองใบหน้าของเธอสลับกับเจ้านายไปมา คล้ายเป็นคำถามที่ต้องการคำตอบ “คุณกฤช ไปส่งฉันหน่อยได้ไหม ฉันจะกลับบ้าน เจ้านายคุณไร้หัวใจที่สุด!” เอ่ยเพียงเท่านั้น ญาตาวีมองหน้านาวีเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนสะบัดหน้ากลับแล้วผลุนผลันเดินจากไปทันที ปล่อยให้อีกฝ่ายมองตามไปจนกระทั่งลับสายตา ชายหนุ่มขบกรามแน่นพลางยกมือขึ้นลูบใบหน้าบริเวณรอยเจ็บที่ถูกฝากไว้ให้เมื่อสักครู่ 'นี่เราพูดอะไรออกไป’ คำถามแรกที่ชายหนุ่มถามตัวเอง เพียงเพราะความเข้าใจในตัวเธอผิดไปทำให้เกิดอารมณ์ชั่ววูบ ประกอบกับการที่อยากตัดไฟเสียแต่ต้นลม ไม่อยากพาตัวเองเข้าไปยุ่งกับครอบครัวนี้ให้ต้องเจ็บตัว ทำให้เขาเอ่ยถ้อยคำสิ้นคิดออกไป แต่เมื่อเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายที่แสดงออกมาแล้ว หัวใจของชายหนุ่มถึงกับอ่อนยวบลงไปในทันใด ความคิดที่จะตามไปขอโทษผุดขึ้นมาในมโนสำนึก สัญชาตญาณสั่งให้ชายหนุ่มก้าวขาออกจากบริเวณนั้นเพื่อที่จะเดินตามญาตาวีไป...
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD