Lavender ลาเวนเดอร์ 10

1219 Words
Lavender ลาเวนเดอร์ 10 ตลอดเกือบหนึ่งสัปดาห์เราติวกันจนครบทุกวิชาก่อนจะแยกย้ายกันไปทบทวนก่อนวันสอบจริงในวันมะรืน ฉันขลุกอยู่แต่ในห้องเพื่อทบทวนบทเรียนที่ได้เรียนมา แต่เหมือนพี่ชายทั้งสองคนจะไม่เข้าใจมากนัก เพราะทั้งคู่ขยันเดินเข้าออกห้องเอานม เอาน้ำ เอาผลไม้มาให้ตลอดทั้งวัน จนฉันต้องเขียนป้ายห้ามเข้าห้องติดไว้หน้าประตู นั่นแหละถึงได้พอมีเวลานั่งอ่านหนังสืออย่างสงบบ้าง ห้ามรบกวน!! จะอ่านหนังสือสอบ!! ห้ามพี่มีน พี่มาร์เข้าห้อง!! นั่นคือสิ่งที่ฉันเขียนแล้วติดไว้ที่หน้าประตูห้องนอน และต้องขอบคุณที่พี่ชายทั้งสองคนไม่ได้ดื้อรั้นที่จะเข้าห้องฉัน และนั่นฉันถึงได้มีสมาธิอ่านหนังสือเตรียมสอบอย่างจริงจังสักที ฉันมีสอบวันเว้นวัน ซึ่งวันที่สอบจะต้องสอบทั้งช่วงเวลาเช้าและช่วงเวลาบ่าย วันถัดมาจะได้หยุดพักและวันถัดไปค่อยมีสอบในช่วงเวลาเช้าและบ่ายเช่นเดิม และจะต้องสอบทั้งหมดสามวัน เพราะบางวิชาเราสอบกันนอกตารางกันไปแล้ว และฉันกับเพื่อนก็ถึงกับไมเกรนขึ้นเมื่อแต่ละวิชาที่สอบนอกตารางนั้นยากอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน “แก ๆ อย่าเพิ่งชวนคุยเดี๋ยวลืมที่อ่านมา” หนุงหนิงยกมือห้ามนานะทันที นานะเองก็ยกมือทำท่าตกลงให้หนุงหนิง ฉันมองเพื่อนทั้งสองคนขำ ๆ มือก็ตอบข้อความของใครบางคนที่ส่งเข้ามาถามไถ่ และอาสามารับกลับบ้านในตอนเย็น แต่ฉันน่ะปฏิเสธไปแล้วเพราะพี่ชายคนโตจะมารับกลับบ้านด้วยตัวเอง วันนี้มาร์ก็มาส่งฉันที่คณะนะคะ ส่วนพี่มีนบอกว่าจะมารับกลับบ้านแทน พวกเขาดูตื่นเต้นอยู่ไม่น้อยที่ได้มารับมาส่งฉันแบบนี้ ตลอดทั้งวันฉันไม่ได้สนใจอะไรมากนักนอกจากข้อสอบที่ต้องทำให้ผ่าน สอบเสร็จวิชาที่สองในรอบบ่ายฉันและเพื่อนถึงได้ชวนกันไปซื้อน้ำปั่นร้านประจำข้างคณะ เมื่อได้มาก็นั่งดูดน้ำปั่นกันเงียบ ๆ เกือบห้านาทีเราถึงได้มองหน้ากันแล้วหัวเราะออกมาเบา ๆ “ใจจะขาด ยากมาก” หนุงหนิงบอกกับเราทั้งสองคนและหัวเราะออกมาอย่างโล่งอก เพราะข้อสอบวันนี้ตรงกับที่เราติวกันมายังไงล่ะ ดีมากจนอยากจะกรีดร้องดีใจ “จริง ยังไงมะรืนก็ยังต้องสู้ต่ออีกสองวิชานะ” ฉันเอ่ยบอกเพื่อนบ้างก่อนจะดูดชาเย็นปั่นไข่มุกไปอีกหนึ่งอึกใหญ่ กระหายน้ำมาก ๆ เลยล่ะ ยิ่งตอนอยู่ในห้องสอบยิ่งเกร็ง เครียดจนคอแห้งไปหมด “งั้นพรุ่งนี้ก็อ่านหนังสือกันให้เต็มที่แล้วเจอกันวันมะรืน” นานะบอกมาแบบนั้น นั่นถึงถือเป็นเวลาที่ฉันและเพื่อนจะแยกย้ายกันกลับไปพักเพราะวันนี้ก็สอบหนักกันตลอดทั้งวันแล้ว ฉันยังนั่งรอพี่มีนมารับที่เก้าอี้ใต้ถุนคณะ ทีแรกเพื่อนทั้งสองคนจะอยู่รอเป็นเพื่อนแต่เพราะเพื่อนฉันเองก็เหนื่อยมากแล้วเลยไม่ให้อยู่และบอกว่าอีกไม่ถึงสิบนาทีพี่มีนก็จะมาถึงแล้ว เพื่อนถึงได้วางใจกลับไปพักผ่อน ฉันนั่งดูดชาเย็นปั่นไปเรื่อย ระหว่างนั่งรอพี่มีนอยู่นั้นจู่ ๆ โทรศัพท์ฉันก็มีสายเรียกเข้ามา เป็นคุณนายแบบที่มีโอกาสเพิ่มช่องทางการติดต่อกันไว้เมื่อหลายวันก่อน “ค่ะ” ฉันรับสายก่อนจะมองเมินไปมุมอื่นอย่างแนบเนียนเมื่อมีผู้หญิงหน้าซีด ๆ คนหนึ่งเดินมานั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามฉัน พยายามพูดอะไรบางอย่างแต่ฉันไม่ได้ยิน (เหมย) เสียงพี่ความสุขดังขึ้นเรียกสติฉันให้กลับคืนมา “ค่ะพี่” (พี่มีถ่ายงานที่สตูดิโอเจ็ด มันใกล้ตลาดไนท์มาเก็ต อยากกินอะไรไหมพี่จะซื้อไปให้) “มีหมึกย่างไหมคะ” (เดี๋ยวพี่เดินดูให้ เย็นนี้จะไปกินข้าวด้วยนะครับ) “มาบ่อยจัง” ฉันทวนถามอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะได้ยินปลายสายหัวเราะออกมาเบา ๆ สายตายังแสร้งมองไปหน้าคณะแต่เมื่อเห็นว่ามีมือของผู้หญิงตรงหน้ายื่นมาคล้ายจะแตะหน้าฉัน ฉันถึงได้รีบลุกขึ้นยืนหยิบกระเป๋าและเดินออกมาจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่นั้นทันที “พี่สุข” เมื่อเดินออกมาได้สักพักก็เอ่ยเรียกปลายสายเพราะไม่อยากให้ระหว่างรอบกายนั้นเงียบเกินไป ทั้งที่ตอนนี้ยังไม่ได้มืดค่ำแล้วยังมีนักศึกษาเดินกันอยู่ขวักไขว่แต่กลับรู้สึกว่าบรรยากาศรอบกายนั้นเย็นยะเยือกอย่างที่ไม่ควรจะเป็น (ครับ เป็นอะไร ทำไมเสียงเป็นแบบนั้น) พี่ความสุขรีบเอ่ยถาม ฉันขนลุกไปทั่วทั้งร่างเมื่อรู้สึกว่ามีไอเย็นโอบรอบร่างกายฉันไว้ “มีอะไรไม่รู้เย็น ๆ กอดหนูไว้อะ ไม่ใช่ลมแน่ ๆ” เพราะยอดไม้ ต้นไม้ไม่ได้เคลื่อนไหวเลยสักนิดไม่ใช่ลมอย่างแน่นอน (เมื่อกี้เจออะไรมา) พอฉันบอกไปแบบนั้นพี่ความสุขก็เริ่มเอ่ยถามฉันด้วยความกังวลใจ น้ำเสียงนั้นเข้มอย่างที่ไม่เคยเป็น เพียงแค่ได้ยินก็รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นกำลังกังวลอยู่ไม่น้อย “มีผู้หญิงหน้าซีด ๆ มานั่งตรงหน้าหนู เหมือนพยายามพูดอะไรสักอย่างแต่หนูไม่ได้ยิน แล้วก็จะยื่นมือมาแตะหน้าหนู” (...) “หนูเลยรีบเดินออกมาค่ะ ก่อนจะรู้สึกเหมือนมีอะไรกอดหนูไว้” (วันนี้ใครมารับ) พี่ความสุขรีบเอ่ยถาม “พี่มีนค่ะ” (ใกล้ถึงหรือยัง) ระหว่างที่ถามก็เห็นรถพี่ชายขับเข้ามาใกล้จุดที่ฉันยืนอยู่ เมื่อเห็นว่าเป็นรถพี่ชายจริง ๆ ฉันถึงกับถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก “มาถึงพอดีเลยค่ะ” (พูดตามพี่) “อะไรนะคะ?” อะไรของพี่สุขกัน จะให้ฉันพูดอะไรตามเขากันแน่ (พูดตามพี่ครับเด็กดี) “ค่ะ” (ไม่ว่าใคร) เสียงพี่ความสุขนั้นยามเอ่ยประโยคนี้ขึ้นมาดูทรงอำนาจจนหัวใจที่ตื่นกลัวของฉันสงบมากยิ่งขึ้น “ไม่ว่าใคร” (ดวงวิญญาณดวงไหน อยู่ใกล้หรืออยู่ไกล) คล้ายกับมีมนต์สะกดให้ฉันเอ่ยตามสิ่งที่พี่ความสุขเอ่ยบอกอย่างว่าง่าย “ดวงวิญญาณดวงไหน อยู่ไกลหรืออยู่ไกล ตั้งใจสัมผัสหรือไม่สัมผัส” (ไม่อนุญาตให้ตามเรากลับไป) “ไม่อนุญาตให้ตามเรากลับไป” เอ่ยจบรถที่มีนก็ขับมาจอดตรงหน้าฉันพอดี ฉันเปิดประตูรถขึ้นไปนั่งโดยที่ยังไม่วางสายจากพี่ความสุข แต่เมื่อมีเสียงพี่มีนเอ่ยทักฉันถึงกับตกใจหันไปมองพี่ชายตัวเองตาโต “อ้าวเพื่อนไปไหนล่ะ เมื่อกี้ยังเห็นยืนกอดแขนเราอยู่เลย...”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD