Lavender ลาเวนเดอร์ 8

1247 Words
Lavender ลาเวนเดอร์ 8 “อย่าทำหน้าแบบนั้น เอาไว้ครั้งหน้าเราไปด้วยกันก็ได้ ครั้งนี้แกก็ไปกับพี่เขาก่อนไง” หนุงหนิงรีบเอ่ยบอกเมื่อเห็นว่าฉันกำลังทำหน้าเสียใจที่วันนี้เพื่อนไม่สามารถไปกินข้าวกับตัวเองได้ “เพื่อนก็บอกอยู่ว่าไม่ว่าง ครั้งหน้าค่อยไปด้วยกันอีกก็ได้” พี่ความสุขเตือนเสียงนุ่มนวล “ถ้ายังไงฝากพี่ดูแลเพื่อนหนูด้วยนะคะ จับตาดูอยู่นะคะ” หนุงหนิงทำท่าจ้องมองพี่ความสุขอยู่ นานะเองก็พยักหน้าเห็นด้วยกับสิ่งที่หนุงหนิงบอกพี่ความสุข “ครับ จะดูแลอย่างดีเลย ถ้ายังไงพี่ไปก่อนนะ” “ค่ะพี่ สวัสดีค่ะ บ๊ายบายเหมยเหมยพวกฉันเองก็จะกลับแล้ว” ฉันโบกมือลาเพื่อน ๆ ทั้งสองคนอย่างงอแง ก่อนจะเดินออกจากคณะพร้อมกับพี่ความสุขที่สะพายกระเป๋าเป้ฉันด้วยไหล่ข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างก็ยกบังแสงแดดให้ ส่วนฉันเรียกได้ว่าแทบจะเดินตัวปลิวดูดชาเย็นปั่นเพิ่มไข่มุกอย่างสบายใจ เวลาเครียด ๆ แล้วได้เครื่องดื่มเย็น ๆ แบบนี้ก็มีความสุขอยู่ไม่น้อยเลยล่ะ “พี่มานานหรือยังคะ?” ระหว่างที่เดินไปตามทางเดินเล็ก ๆ ไปยังลานจอดรถข้างคณะฉันก็เงยหน้ามองคนที่เดินอยู่ข้าง ๆ แล้วเอ่ยถามเสียงเบา “สักพักแล้วครับ เข้าไปนั่งรอที่คณะน่ะเลยเห็นตอนที่เดินลงมาพอดี” “ไปนั่งแบบนั้นจะไม่เป็นอะไรเหรอคะ?” “ไม่หรอก พี่ก็แค่คนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น” พี่ความสุขตอบฉันราวกับไม่คิดอะไร แค่เขาน่ะเหรอคนธรรมดา มีแฟนคลับเดินรุมขนาดนั้นไม่น่าจะธรรมดาแล้วนะฉันว่า กระทั่งถึงรถคันหรูของคนตัวสูงที่ฉันนั้นเคยนั่งอยู่บ้าง เจ้าของรถเปิดประตูรถให้รอกระทั่งฉันนั่งเรียบร้อยเขาถึงได้ปิดประตูแล้วรีบเดินกลับมาขึ้นรถฝั่งคนขับ เมื่อสตาร์ทรถและเปิดแอร์เขาก็ยังไม่ได้เคลื่อนรถในทันที แต่พี่ความสุขหันมามองทางฉันว่านั่งเรียบร้อยหรือยังแต่เพราะมือยังถือแก้วเครื่องดื่มอยู่ทำให้ฉันยังดึงสายเข็มขัดนิรภัยมารัดไม่ได้ อีกฝ่ายจึงค่อย ๆ โน้มตัวเข้าใกล้แล้วดึงเข็มขัดนิรภัยมารัดให้อย่างใจดี “ขอบคุณค่ะ” ระหว่างที่นั่งกินชาเย็นปั่นอย่างสบายใจอยู่นั้นพี่ความสุขก็ขับรถไปตามเส้นทางเพื่อพาไปยังร้านอาหารที่เขาอยากจะกิน “พี่สุข รถคันนั้นเขา...” รีบเตือนคนข้าง ๆ ทันทีเมื่อเห็นว่ามีรถเก๋งคันหนึ่งขับยึกยัก ๆ อยู่ตรงหน้า ยามพี่ความสุขเบี่ยงออกเขาก็เร่งเครื่องมาปาดหน้าแล้วขับส่ายไปมา เป็นแบบนี้อยู่สองสามรอบ “บ้าเอ๊ย! ทำไมต้องมีเรื่องตอนอยู่กับน้องวะ” คนข้าง ๆ สบถอย่างหัวเสีย กระทั่งสายตาฉันเหลือบเห็นอะไรบางอย่างบนหลังคารถคันตรงหน้า ฉันสะดุ้งตกใจเบียดตัวเข้ากับเบาะรถทันที เมื่อเห็นว่าหลังคารถคันนั้นมีร่างผู้หญิงหน้าดำ ๆ เกาะอยู่และเธอคนนั้นกำลังหันหน้ากลับมายังเรา พร้อมกับฉีกยิ้มส่ายหน้าไปมาตามแรงส่ายของรถ “พี่สุข รถคันนั้นมี ฮึก พี่สุข...” “เหมยหลับตาครับ” “...” “แต่พี่สุข” “เหมยเหมย หนูหลับตาเชื่อพี่ หลับตาครับ ที่เหลือพี่จัดการเอง” พี่ความสุขบอกเสียงเข้ม ฉันหลับตาลงอย่างว่าง่ายเพียงไม่ถึงหนึ่งนาทีก็ได้ยินเสียงโครมครามดังลั่น เสียงบีบแตร เสียงคนร้อง ดังขึ้นอย่างชัดเจนแต่ฉันยังหลับตาอยู่ดังเดิม มือข้างที่ถือแก้วน้ำเริ่มบีบแน่นขึ้นอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่ “พี่สุข” “ลืมตาได้ครับ แต่ไม่ต้องทักอะไรนะ” พี่ความสุขบอกแค่นั้นฉันถึงได้กล้าลืมตาขึ้น ภาพตรงหน้าทำให้ฉันรู้สึกตกใจอยู่มาก เมื่อรถคันที่ปาดซ้ายแซงขวาเราก่อนหน้านี้พลิกคว่ำอยู่ตรงหน้ารถที่ห่างออกไป พี่สุขกำลังชะลอรถและหักรถไปอีกทาง แต่แล้วฉันก็ต้องรีบหลับตาปี๋พลิกร่างและหน้าไปทางที่ความสุขเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าผู้หญิงที่เกาะบนหลังคารถคันนั้นนอนหงายและยิ้มอย่างมีความสุขทั้งที่โครงและซากรถกำลังอัดบี้เธอไปกับท้องถนน ส่วนคนขับรถฉันมองไม่เห็นเพราะรีบหลับตาลงเสียก่อน ระหว่างที่หลับตาอยู่นั้นก็รู้สึกถึงสัมผัสอบอุ่นแตะลงที่กลุ่มผมอย่างอ่อนโยน กระทั่งลืมตาขึ้นมองก็เห็นว่าเป็นพี่ความสุขที่กำลังลูบผมฉันอยู่ “เดี๋ยวเราไปกินข้าวกันนะ” “ค่ะ” ร้านอาหารแห่งหนึ่งเป็นร้านที่พี่ความสุขพาฉันมา อีกฝ่ายลงจากรถแล้วเดินมาเปิดประตูรถให้รวมถึงกระเป๋าเป้ของฉันที่อีกฝ่ายยังถือให้ แก้วเครื่องดื่มฉันวางไว้ที่ช่องวางแก้วในรถเพราะไม่รู้ว่าที่ร้านนี้จะให้เอาเครื่องดื่มจากข้างนอกเข้าไปไหม เมื่อเดินเข้ามาภายในร้านพี่ความสุขก็พาเดินไปยังโต๊ะมุมด้านหนึ่งที่ว่างอยู่ เราจับจองที่นั่งกันคนละฝั่งระหว่างรออาหารที่สั่งไปแล้วมาเสิร์ฟพี่ความสุขก็เงยหน้ามองฉันนิ่ง ๆ “เห็นอะไรบ้างเมื่อกี้น่ะ” พี่ความสุขถามเสียงนุ่ม ไม่ได้มีท่าทีคาดคั้นเอาคำตอบจากฉัน “เห็น เห็นผู้หญิงคนหนึ่งเกาะที่หลังคารถคันนั้นค่ะ” บางทีได้ยินคำตอบแบบนี้เขาอาจจะคิดว่าฉันเพ้อเจ้อแต่ว่านั่นคือสิ่งที่ฉันเห็นจริง ๆ ไม่ว่าเขาจะคิดยังไงก็ขึ้นอยู่กับเขาแล้วล่ะ “มองเห็นสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็นใช่ไหม?” และนี่เป็นอีกครั้งที่พี่ความสุขเลือกที่จะถามฉันออกมาอย่างตรงไปตรงมา “ค่ะ” “กะแล้วเชียว” “หนูแค่เห็นเฉย ๆ นะคะ ไม่ได้ยินเสียงพูดหรือสัมผัสอะไรได้มากกว่านี้” รีบอธิบายเพิ่มเติมเมื่อกลัวว่าอีกฝ่ายจะคิดไปไกลว่าฉันสามารถติดต่อหรือสื่อสารกับดวงวิญญาณได้ แต่ว่าฉันน่ะเพียงแค่มองเห็นเท่านั้นและฉันเป็นคนที่กลัวผีมากค่ะ อะไรที่เลี่ยงได้ฉันมักจะเลี่ยงตลอดเพราะความกลัว “ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่มองเห็น เล่าให้พี่ฟังได้ไหมครับ?” “คือ หนู...” “แต่ถ้าไม่สบายใจพี่จะไม่บังคับ เหมยรู้ใช่ไหม?” พี่ความสุขรีบเอ่ยบอกยามได้เห็นว่าฉันเริ่มมีท่าทีอึกอักอยู่ไม่น้อย “ค่ะ หนูเคยฆ่าตัวตายแต่ไม่สำเร็จ พอตื่นขึ้นมาหนูก็มองเห็นสิ่งพวกนี้แล้ว...” เมื่อฉันอายุสิบหกปี ก่อนที่พี่ชายจะพาย้ายออกมาอยู่ข้างนอก ฉันทนแรงกดดันและอดทนที่จะเจอคนพวกนั้นไม่ไหวจึงคิดที่จะทิ้งทุกอย่างบนโลกนี้ไป แม้จะไม่ถึงขั้นรุนแรงแต่พี่ ๆ เองก็บอกว่าฉันสลบไปนานเกือบสามวัน และพอตื่นขึ้นมาฉันก็มักจะมองเห็นดวงวิญญาณเหล่านั้นไปเสียแล้ว
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD