เวลา 17.50 น.
หน้าร้านอาหารอิตาเลี่ยน S
เหมือนอย่างทุกครั้งที่ไม่ว่าฉันจะไปปรากฏตัวอยู่ที่ไหน ก็มักจะเป็นจุดรวมสายตาของผู้คนที่อยู่โดยรอบ โดยเฉพาะกับสายตาของพวกผู้ชาย อย่างเช่นในตอนที่ฉันต้องพาตัวเองมาที่ร้านเจ้าปัญหาตามคำสั่งประกาศิตของผู้เป็นแม่
เพียงแค่ฉันก้าวเท้าลงจากรถแท็กซี่ ออร่านางพญาก็ปรากฏวิ้งวับจนเป็นที่กล่าวขวัญ ต่อให้พวกเขาเดินผ่านฉันไปแล้วยังไม่วายต้องเหลียวหลังมองกันให้คอเคล็ด ซึ่งในตอนนี้สถานการณ์ดังกล่าวมันคือส่วนน้อย เพราะสิ่งที่ทำให้คนสนใจฉันน่ะมันคือ
“หนูบอกว่าขอสายพี่อาร์มยังไงล่ะ!” เสียงโวยวายตอนฉันกำลังทะเลาะกับคนในสายต่างหาก!
[มันจำเป็นไหมหล่อน ที่พี่รับสายแทนเนี่ย น่าจะเข้าใจความหมายได้แล้วป่ะ!?] เสียงเข้มออกแนวจริตนิดๆ ยอกย้อนไม่หยุด แถมเขายังใช้คำพูดคำจากีดกันฉันออกห่างจากพี่อาร์มทุกทางอีกด้วย [อาร์มไม่ว่าง อาร์มไม่อยากคุย วางสายไปเดี๋ยวนี้ชะนี!]
“พี่โซ่! นี่มันเรื่องคอขาดบาดตายนะคะ!” ฉันหวีดเสียงอย่างสุดจะทน
[ก็ตายไปสิ ตายไปเลยอาร์มจะได้อยู่ครองรักกับพี่ยันแก่เฒ่า!]
“พี่โซ่!”
[หล่อนอย่าคิดว่าพี่ไม่รู้นะ ว่าหล่อนตั้งใจจะใช้มารยาหลอกล่อให้อาร์มออกไปหา คิดเหรอว่าพี่จะปล่อยอาร์มไปง่ายๆ ฝันไปเถอะชะนี!]
คุณพระ! ฉันเกลียดเขา! T^T
“อ้าวนั่น! ที่หน้าร้านอาหารอิตาเลี่ยน S ตรงนั้นใช่หนูซินหรือเปล่าคะคุณน้องลำดวน” เสียงของหญิงสูงวัยคนหนึ่งดังทักขึ้นจากทางด้านหลัง ทำฉันสะดุ้งตัวโยนรีบลดโทรศัพท์ที่คุยสายค้างกับผู้ก่อการร้ายลง หันไปยิ้มรับพลางยกมือขึ้นไหว้สวยๆ ตามวิถีไทย
“ใช่ค่ะคุณพี่ฉวี น้องซินเนี่ยมาไวจริงๆ เลยนะลูก” คุณแม่ซึ่งดูจะสวมหน้ากากผู้ดีมาอย่างเต็มยศเอ่ยปากชมฉันเปราะขณะเดินพากันตรงเข้ามาหาฉันที่ยังไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจ
“หนูกลัวคุณแม่กับคุณป้ารอนานน่ะค่ะ” เพราะแม่เริ่มสวมบทผู้ดี ฉันก็เลยต้องสวมบทลูกที่ดีตามไปด้วย
“ดีเลย เราเข้าไปคุยกันข้างในดีกว่าเนอะ ป้าโทรนัดลูกชายป้ามาเหมือนกัน”
“ค่ะ” ฉันยิ้มแห้งๆ เมื่อพบว่าสถานการณ์ที่ฉันเบื่อสุดๆ กำลังมาถึง
การที่ฉันพาตัวเองมาที่ร้านแห่งนี้ก่อนเวลานัด ไม่ใช่เพราะรีบร้อนอยากมาพบหน้าคุณป้าฉวีหรือลูกชายเขาหรอกนะ ที่มาก่อนก็เพราะฉันตั้งใจจะโทรหาพี่อาร์ม ให้เขาช่วยมาเป็นไม้กันหมาต่างหาก (จริงๆ แล้วก็คิดจริงนั่นแหละ) แต่แผนของฉันมันดูจะไม่เป็นไปตามอย่างที่คิดนัก เพราะคนที่รับสายการโทรขอความช่วยเหลือในครั้งนี้มันดันเป็นมารหัวใจแบบพี่โซ่
จังหวะที่ฉันกำลังจะยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหูเพื่อขอความช่วยเหลือจากพี่โซ่อีกครั้ง คุณนายลำดวนกับคุณป้าฉวีซึ่งกำลังเดินตรงไปยังโต๊ะที่จองเอาไว้ดันหันมาถามคุยกับฉันเสียก่อน จำต้องลดโทรศัพท์ลงอีกครั้ง ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มปานว่ามีความสุขจนแก้มแทบแตก
“หนูซินเนี่ยสวยสมคำล่ำลือจริงๆ หนูต้องเข้ากันดีกับลูกชายป้าแน่ๆ”
“อิฉันก็คิดเหมือนคุณพี่เลยค่ะ มันจะดีมากถ้าหากว่าเราได้ร่วมเป็นทองแผ่นเดียวกัน คิกๆ” คุณลำดวนกองอวยแห่งประเทศไทย คือแม่ฉันเองค่ะ!
“นั่นสิคะ ถ้าเด็กเข้ากันได้ คุณน้องลำดวนจะเรียกสินสอดเท่าไหร่ก็บอกได้เลยนะคะ โฮะๆ” ฉันล่ะเกลียดเสียง คิกๆ กับ โฮะๆ ของคุณนายสองท่านนี่ซะจริงๆ !
เมื่อเดินมาถึงโต๊ะที่จองไว้ ฉันก็อาศัยจังหวะเหมาะๆ รีบเลื่อนโทรศัพท์ในมือขึ้นแนบหูอีกครั้ง ก่อนต้องพบว่า อีพี่โซ่! อีมารหัวใจมันได้วางสายไปแล้ว วางไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้!
เพราะทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว ฉันก็เลยต้องปล่อยเลยตามเลย แค่ทำตัวไม่เป็นมิตรกับผู้ชายคนอื่นบนโลกนอกจากพี่อาร์ม มันก็ดูไม่ได้ยากสำหรับฉันหรอก เพราะการหักหน้าคุณลำดวนมันดูจะคล้ายกับเป็นอาชีพเสริมฉันไปแล้วเหมือนกัน
ก็ดี! เมื่อแผนแรกใช้ไม่ได้ผล ฉันก็คงต้องทำตามแผนเดิมๆ ของตัวเองแบบทุกครั้งนั่นแหละ
เวลาบนโต๊ะอาหารผ่านไปเกือบๆ 35 นาที นับตั้งแต่หย่อนก้นนั่งยันสั่งอาหาร จนตอนนี้อาหารที่สั่งไว้ได้วางเสิร์ฟลงตรงหน้าแต่ละคน ถึงอย่างงั้นฉันก็ยังไม่เห็นวี่แววของลูกชายคุณป้าฉวีเลยแม้แต่เงาผม
สิ่งที่สร้างความเบื่อหน่ายให้ฉันยิ่งกว่าอะไรดีคือการพูดคุยของผู้ใหญ่ที่ส่วนมากแพลนเรื่องคู่ชีวิตให้กับลูกๆ ของตัวเอง ไม่ใช่แค่นั้นแต่มันยังมีเรื่องอื่นๆ อย่างเช่น…
“ตาหนูอิฉันจบไฮสคูลจากประเทศอังกฤษ ตอนนี้กำลังเรียนมหาวิทยาลัยค่ะ โฮะๆ”
“วัยกำลังน่าเต๊าะแต๊ะเลยนะคะคุณพี่ อยากรู้จักว่าตาหนูของคุณพี่จะหน้าตาเป็นยังไง คิกๆ”
ฉันกลอกตาใส่คำอวยของคุณนายลำดวนกับสรรพคุณที่คุณป้าฉวีพูดถึงลูกชายตัวเองอย่างนึกเอือมระอา มันก็เป็นแบบนี้ทุกครั้งที่ฉันถูกบังคับให้มานั่งรวมโต๊ะกับคนแปลกหน้าที่แม่รู้จักตลอดนั่นแหละ ไม่ว่าใครก็มันจะคุยอวดสรรพคุณลูกชายตัวเองทั้งนั่นส่วนแม่ฉันก็ทำตัวเป็นกำลังเสริมที่ดี
“ขอโทษนะคะคุณป้า ขอโทษคุณแม่…” เมื่อเริ่มทนกับสถานการณ์ดังกล่าวไม่ไหว ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่เหลือช่องว่างให้ฉันพูดบ้าง ฉันจึงรีบแทรกเสียงออกไปเมื่อยังมีโอกาส “หนูคงคุยกับลูกชายคุณป้าไม่ได้หรอกค่ะ...”
สำหรับนักศึกษาที่เรียนด้านสาขาการแสดงแบบฉัน การตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จมันจึงไม่เป็นเรื่องยากอะไร แต่ไม่ใช่กับคุณนายลำดวนแม่แท้ๆ ที่เหลือบตามองฉันดุๆ ตามประสาคนรู้ทัน
“อ้าวทำไมล่ะลูก หนูซินมีแฟนแล้วเหรอ?” หากแต่ไม่ใช่กับคุณป้าฉวีที่มีโอกาสได้เจอหน้าฉันครั้งแรกและหลงกลมารยาเข้าแบบเต็มเปา
สิ้นเสียงคำถาม ฉันก็ดำเนินการแสดงของตัวเองต่อไป จงใจเบือนหน้าเล็กน้อย แสร้งรู้สึกผิดอย่างแรงกล้า มือข้างถนัดถูกเลื่อนขึ้นปิดปากตัวเองทำเหมือนไม่กล้าพูดสิ่งที่อยู่ในความคิด ทั้งที่จริงแล้วฉันอยากจะแหกปากตะโกนอัดหน้าให้มันรู้แล้วรู้รอดนับตั้งแต่วินาทีแรกที่เราได้เจอหน้ากันที่ร้านอาหารแล้วล่ะ…
ต่อให้ไม่ต้องเหลือบมองหน้าคนทั้งคู่ฉันก็รู้สึกถึงรังสีอาฆาตจากตัวคุณนายลำดวน รวมไปถึงรังสีความสงสัยของคุณป้าฉวีได้ชัดเจน เพื่อไม่ให้คุณป้าฉวีต้องเสียเวลาเม้ามอยกับแม่ฉันมากไปกว่านี้ ฉันจึงเริ่มอ้าปากอธิบายความจริง (อันหลอกลวงออกไป)
“คะ คือว่าหนู…” ทว่า ยังไม่ทันพูดจบประโยคดี วินาทีนั้นกลับมีเรื่องน่าตกใจเกิดขึ้น
กึก! ฟึ่บ!
หมับ!
จู่ๆ ข้อมือข้างหนึ่งที่ฉันวางไว้บนโต๊ะกลับถูกมือหนาของใครคนหนึ่งที่ไม่รู้ว่าเดินเข้ามาหาตั้งแต่เมื่อไหร่ คว้าขึ้นอย่างรวดเร็วแบบไม่ทันให้ตั้งตัว เขาออกแรงกระชากตัวฉันเล็กน้อยให้ลุกขึ้นจากที่นั่งต่อหน้าต่อตาคุณนายลำดวนและคุณป้าฉวี เมื่อหันไปมอง ฉันก็ต้องตกใจเพราะไม่คิดว่าจะได้เจอเขาในสถานที่แบบนี้
พี่โซ่ในชุดนักศึกษาบีบข้อมือฉันแน่น สายตาเขาจับจ้องไปที่หน้าผู้หญิงสูงวัยฝั่งตรงข้ามกับฉันซึ่งตอนนี้คาดว่าพวกเขาน่าจะเหวอตามๆ กันไปแบบที่ฉันเป็น คนตัวสูงใช้มือข้างที่เหลือปลดเนคไทของตัวเองให้หลวม โดยสายตาจับจ้องไปที่คุณนายฉวีและคุณนายลำดวนก่อนเอ่ยในสิ่งที่ฉันไม่คิดว่าเขาจะกล้าพูด
“ผมไม่อนุญาตให้ซินคบคนอื่นครับ…” ฉันกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่เพราะสถานการณ์ที่ไม่คาดฝัน และอดเหลือบมองหน้าแม่ตัวเองที่ตอนนี้ทำท่าเหมือนคนจะเป็นลมไม่ได้ ที่เป็นแบบนั้นไม่ใช่เพราะคำพูดยืดยาวประโยคแรกของพี่โซ่หรอกนะ
แต่ว่าเป็นประโยคหลังต่างหาก…
“เพราะผมเคยจับนมซินแล้ว ดังนั้นเธอจึงเป็นของผมได้แค่คนเดียวครับ” สิ้นเสียงคำพูดที่โคตรจะไร้เหตุของพี่โซ่ แม่ของฉันในตอนนี้อยู่ในสภาวะช็อกขั้นหนักแต่ไม่ถึงขั้นหัวใจวาย คุณป้าฉวีเองก็เช่นกัน
เขาไม่รอให้หญิงวัยกลางคนตรงหน้าเอ่ยปากถามถึงเรื่องความสัมพันธ์ของเราที่กล่าวอ้าง และเลือกที่จะออกแรงดึงมือฉันให้เดินออกจากโต๊ะอาหารไปอย่างไร้มารยาท
พี่โซ่เดินไวมาก ฉันเลยต้องเร่งฝีเท้าตามเขาให้ทัน เพราะมือของเขายังจับมือฉันเอาไว้แน่นมาก เมื่อเราทั้งคู่พากันก้าวเท้าออกมาจากร้านอาหารได้สำเร็จ เขาก็รีบดึงฉันไปที่รถซุปเปอร์คาร์สีแดงสดยี่ห้อ Ferrari (เฟอร์รารี่) ซึ่งจอดเทียบริมฟุตบาธเอาไว้หน้าร้าน
คนตัวใหญ่ดึงฉันเดินอ้อมรถคันหรูดังกล่าวก่อนจัดการเปิดประตู ผลักฉันให้เข้าไปนั่งข้างในด้วยความรีบร้อน ในขณะที่เขารีบวิ่งย้อนกลับมาขึ้นนั่งประจำที่ทางด้านฝั่งคนขับเสมือนว่าตัวเองคือเจ้าของ
สถานการณ์ในตอนนี้ทำฉันรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเรื่องที่เขาโผล่มาที่ร้านอาหารแห่งนี้ หรือแม้แต่รถแสนแพงราคาเหยียบยี่สิบกว่าล้านคันนี้
พี่โซ่พ่นลมหายออกมาเบาๆ คล้ายกับโล่งอก และเหมือนเขาจะรู้ตัวว่าถูกฉันมองอยู่ถึงได้ตะคอกเสียงขึ้น
“มองอะไรชะนี” ฉันสะดุ้งเฮือก รีบพยายามดึงสติกลับมาสู่สถานการณ์ปัจจุบัน แต่ยังไม่ทันได้พูดหรือโต้ตอบอะไรคนตัวใหญ่กลับไป พี่โซ่ดันแทรกเสียงขึ้นมาอีก “โอ๊ย! ขนลุกไปหมด!”
ตอนแรกก็กะจะพูดขอบคุณอยู่หรอกนะ แต่พอได้ฟังแบบนั้น ปากมันก็ดันกระตุกโดยอัตโนมัติ ไม่ใช่เพราะคำพูดคำจาน่าหมั่นไส้ของเขาอย่างเดียว แต่รวมไปถึงท่าทางสะดีดสะดิ้งที่เขากำลังใช้มือปัดไปตามเนื้อตัวคล้ายกับรังเกียจอะไรบางอย่าง
“เหอะ!” ฉันส่งเสียงสบถอย่างนึกหมั่นไส้ รีบเบือนหน้าหันมองออกไปนอกหน้าต่างเพราะไม่อยากเห็นท่าทางขัดหูขัดตา มือพลางเสยผมยุ่งๆ ของตัวเองขึ้นอย่างนึกหงุดหงิด
“ทำเสียงอะไรไร้มารยาท หล่อนควรจะขอบใจพี่นะ ไม่ใช่มาทำเสียงแบบนี้ใส่!” ไม่ต้องหันมองฉันก็พอรู้ว่าเขากำลังแสดงสีหน้าออกมาในลักษณะไหน พอคิดแล้วมันก็ยิ่งหงุดหงิดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“หนูขอให้พี่ช่วยหรือไงล่ะ?” ฉันพ่นลมหายใจหนักๆ อย่างนึกเซ็งอารมณ์ ทั้งที่คิดว่าวันนี้ฉันน่าจะโชคร้ายเรื่องที่ถูกแม่ลากมาร้านอาหารอย่างเดียวแท้ๆ แต่ไหงต้องมานั่งต่อปากต่อคำกับเขาแบบนี้ด้วยก็ไม่รู้
“ถ้าอาร์มไม่วานให้มาช่วยหล่อนล่ะก็… อย่าหวังว่าพี่จะมาเลย!” จากที่รู้สึกไม่สบอารมณ์กับทุกสิ่งบนโลกใบนี้ พอได้ยินชื่อพี่อาร์มขึ้นมา หัวใจมันก็พองโต อย่างบอกไม่ถูก น้ำเสียงแข็งกระด้างที่เคยใช้พูดกับคนที่ไม่อยากเจอที่สุดก็เลยเปลี่ยนไปตามสภาพอารมณ์
“พี่อาร์มวานพี่มาช่วยหนูเหรอคะ?”
“แหมดูทำเสียง หล่อนนี่มันเป็นชะนีที่โคตรน่าหมั่นไส้” ไม่รู้เพราะอะไรพอถูกเขาว่าฉันถึงรู้สึกสะใจอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งรู้สึกว่าจากน้ำเสียงที่พี่โซ่ใช้ต่อว่าฉันมันเต็มไปด้วยความอิจฉาปานนางร้ายในละครหลังข่าวด้วยแล้วฉันก็ยิ่งภูมิอกภูมิใจ
ฉันเหลียวหลังกลับไปมองเขาอีกครั้งอย่างช้าๆ จงใจเหยียดยิ้มให้ โดยพกพาความมั่นใจระดับสิบและความสวยในแบบที่เขาไม่มี พลางใช้มือสะบัดปลายผมของตัวเอง ขณะปากก็พูดไป
“ก็หนูสวยอ่ะค่ะ ช่วยไม่ได้จริงๆ เอาเป็นว่ายกนี้ให้หนูชนะก็แล้วกันโน๊ะ…อ๊ะ” ทว่า ยังพูดไม่ทันจบประโยคฉันก็ต้องทำตาโต รู้สึกผวาขึ้นมาเสียดื้อๆ เมื่อเบาะที่ฉันนั่งอยู่นั้นเริ่มมีการขยับเอนลงไปจนกลายเป็นสภาพของเบาะสำหรับนอน ซึ่งนั่นมาพร้อมคำถาม
“แค่อาร์มให้มาช่วยแค่นี้ หล่อนคิดว่าจะชนะพี่ได้แล้วเหรอ?” เมื่อหันมองพี่โซ่ฉันถึงได้รู้ว่าต้นตอของการที่เบาะปรับเอนลงไปเองมาจากเขา
“พี่หมายความว่ายังไงคะ?!”
“เขาบอกว่าถ้าหากไม่อยากแพ้ มีอยู่ 2 วิธี ที่จะใช้จัดการกับศัตรูหัวใจ… ” เขาไม่ได้ตอบคำถามที่ฉันอยากรู้แต่พูดในสิ่งที่เหมือนเป็นคนละเรื่องออกมา
เมื่อเห็นท่าไม่ดี ฉันจึงเปลี่ยนจากการหวีดเสียงใส่เขา หันไปเตรียมที่จะเปิดประตูรถหนี แต่ดูเหมือนว่าทุกอย่างที่คิดจะไม่เป็นผล เพราะไม่ว่าจะพยายามเปิดเท่าไหร่ประตูมันก็ดันเปิดไม่ออก!
โดยเฉพาะกับตอนที่จู่ๆ คนตัวสูงผิดเพศข้างกาย เริ่มเคลื่อนไหว เงาสะท้อนของเขาผ่านเงาบนกระจกติดฟิล์มดำ ทำให้ฉันเห็นภาพที่กำลังเกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน และทุกอย่างดูกระตุกหัวใจมากขึ้นเมื่อพี่โซ่เอี้ยวตัวเข้ามาใกล้จนกระทั่งเขาทาบมือลงกับเบาะที่ฉันนั่ง
กึก!
“ข้อหนึ่ง พยายามขัดขวางทุกวิถีทาง…” เสียงแกมขู่ที่เขาพูดในตอนนี้ปราศจากความสะดีดสะดิ้งแบบที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะกับแววตาและรอยยิ้มที่เขาใช้มอง ณ ขณะนี้
ฉันไม่เคยรู้สึกหวั่นต่อคำขู่ของเขาเลยสักครั้ง นับตั้งแต่ที่เรารู้จักกัน
แต่ไม่ใช่กับในตอนนี้ ตอนที่ฉันเผลอมองว่า พี่โซ่บุคคลซึ่งเคยเป็นแฟนเก่าของพี่อาร์มกำลังปฏิบัติใส่ฉันเหมือนผู้ชายเจนจัดคนหนึ่ง
“ส่วนข้อสอง ถ้าทำข้อแรกไม่สำเร็จ ก็ให้เอาศัตรูมาเป็นของตัวเองซะ”