“ท่านชายต้องเร่งหาคู่ครองได้แล้วนะขอรับ!” อยู่ ๆ ชายชราคนหนึ่งก็โผล่พรวดเข้ามาภายในห้องทำงานอันแสนองค์อาจ เขาคือโหรหลวงประจำตระกูลแบรดฟอร์ด ตระกูลซึ่งเก่าแก่และทรงอำนาจมากที่สุดในแวมไพร์ชนชั้นสูง
สิ้นเสียงของชายชรา ร่างสูงที่นั่งจมอยู่กับกองงานด้วยสีหน้าเคร่งเครียดก็เงยหน้าขึ้นแล้วกอดอกใส่ด้วยท่าทางกวน ๆ
“หมายความว่าอย่างไร ทำไมอยู่ ๆ ท่านจึงมาพูดเรื่องนี้ได้”
“ข้าได้รับคำนายว่าช่วงนี้ท่านชายจะหาคู่ครองที่เหมาะสมได้ขอรับ เพราะฉะนั้นท่านชายต้องรีบเร่งหาได้แล้ว ก่อนจะสายเกินไปเสียก่อน”
“หาเมื่อไหร่ก็ได้ตลอดนั่นแหละ สาว ๆ พวกนั้นแค่กระดิกนิ้วก็เข้ามาแล้ว” เจย์เดนตอบโต้กลับไป
“หากเพียงเพื่อรักสนุกจะทำเช่นนั้นก็ย่อมได้ แต่หากนำมาเป็นชายาข้างกาย ข้าน้อยว่ามิสมควร” ถึงแม้กาลเวลาจผ่านมาจนถึงยุคที่มีอินเทอร์เน็ตแล้ว แต่พวกเขาก็ยังติดพูดสรรพนามเช่นนี้อยู่เสมอ
“แล้วท่านจะให้ข้าทำอย่างไร? ยุคนี้สมัยนี้ก็หาได้แต่แบบนี้แหละ” เจย์เดนกอดอก คราวนี้สายตาของเขาเริ่มฉายแววจริงจังมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยความที่งานตรงหน้ากองจนแทบจะท่วมหัวอยู่แล้ว แต่กลับต้องมาเสวนาเรื่องผู้หญิงที่คอยแต่จะหวังเข้าหาเขาเพื่อผลประโยชน์อยู่เรื่อย
"ท่านชายก็เคยได้พบกับคุณหนูอิซาเบลมิใข่หรือขอรับ ไม่แน่ในครั้งนี้ อาจได้พบคนเช่นนางอีกก็เป็นได้"
ชายชรากำลังกล่าวถึงอดีตคนรักของเขา ซึ่งจากลาโลกนี้ไปก่อนที่เขาจะสมหวังในรักครั้งนั้นเสียด้วยซ้ำ
"หากข้าเจอคนเช่นนางจริง ข้าคงไม่อยากสานสัมพันธ์หรอก รังแต่จะทำให้นางร้องเดือดร้อน" ระหว่างที่เอ่ยขึ้นมา เขาก็อดนึกถึงเรื่องราวในอดีตอย่างเสียอดไม่ได้
.
.
.
เจย์เดน แบรดฟอร์ด ทายาทเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลแวมไพร์ชนชั้นสูงที่เก่าแก่ที่สุด สายเลือดของพวกเขานั้นบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่เคยถูกเจือปนกับสายเลือดของมนุษย์หรือแวมไพร์ตระกูลอื่นมาตลอดหลายศตวรรษ
หากถามว่า สืบสายเลือดเช่นไรโดยไม่ข้องเกี่ยวกับตระกูลอื่น คำตอบนั่นคือ ตระกูลของพวกเขาจะแต่งกับมนุษย์ผู้ที่ได้รับพิษรักจากตนเองเพียงเท่านั้น จึงไม่จำเป็นต้องข้องเกี่ยวกับตระกูลอื่นแม้แต่น้อย
ตัวเจย์เดนเองก็ถือกำเนิดขึ้นจากพ่อผู้เป็นแวมไพร์โดยกำเนิดเช่นตนและแม่ผู้ซึ่งเคยเป็นมนุษย์มาก่อน ซึ่งก่อนจะให้กำเนิดเขานั้น เธอได้เปลี่ยนเป็นแวมไพร์โดยพิษรักของพ่อเรียบร้อยแล้ว จึงนับว่าเขาเป็นสายเลือดบริสุทธิ์ที่แท้จริงสำหรับเหล่าแวมไพร์ (ไร้ซึ่งสายเลือดของตระกูลอื่นเจือปนผสม ไร้ซึ่งสายเลือดมนุษย์)
นอกจากนี้ ตระกูลของเขายังเป็นที่เลื่องลือทั้งในหมู่แวมไพร์และมนุษย์ในฐานะผู้ปกครองที่ทรงอำนาจอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง ตระกูลแบรดฟอร์ดของเขาล้วนมีอิทธิพลทุกแขนง
และถึงแม้พวกเขาจะมีชีวิตอมตะ แต่การอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยอันตราย ไม่ว่าจะจากมนุษย์ผู้ล่าหรือจากแวมไพร์ตระกูลอื่น จึงทำให้ตระกูลของเจย์เดน จำเป็นต้องรักษาสายเลือดบริสุทธิ์เอาไว้
พวกเขาไม่เคยปล่อยให้คนนอกเข้ามามีบทบาทในตระกูล อีกทั้งยังต้องเลือกคู่ครองอย่างเข้มงวด เพื่อมิให้สายเลือดเจือจางไป
ตั้งแต่เล็กจนโต เจย์เดนจึงต้องได้รับการฝึกฝนทั้งทางกายและจิตใจ รวมถึงเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้ในทุกแขนง รวมไปถึงการใช้มนตร์ดำ และศาสตร์แห่งแวมไพร์ต่าง ๆ นอกจากนี้ การหาคู่ครองที่เหมาะสมก็กลายเป็นเรื่องที่ถูกคาดหวังมาตั้งแต่ไหนแต่ไรด้วย...
แต่เมื่อนานวันเข้า...การจะหามนุษย์ที่เหมาะสมก็ช่างยากเย็นเสียเหลือเกิน จากที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่าจะครองสายเลือดบริสุทธิ์เพียงในตระกูล กลับกลายเป็นลดหลั่นลงมาเหลือเพียงว่า ‘แต่งกับแวมไพร์ด้วยกันเองก็ไม่เสียหายหรอก’
นอกจากนี้ ท่านพ่อท่านแม่ก็มิได้คัดค้านแต่อย่างใด อีกทั้งยังให้อิสระเขาในการเลือกคู่ครองมากกว่าแต่ก่อนอีกด้วย อาจเป็นเพราะกลัวลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของพวกเขาจะครองตนเป็นโสดไปอีกหลายพันปี
ช่วงอายุครบยี่สิบปีใหม่ ๆ เจย์เดนเคยพยายามค้นหาความรักในหมู่แวมไพร์สาวงามหลายคน แต่ทุกคนที่เข้ามาในชีวิตของเขาล้วนแต่ต้องการผลประโยชน์หรืออำนาจ ไม่มีใครสนใจในตัวตนที่แท้จริงของเขาเลยสักนิด จนทำให้เจย์เดนเริ่มไม่เชื่อในเรื่องของความรัก
จนกระทั่งวันหนึ่ง เขาได้พบกับอิซาเบล มนุษย์สาวผู้มีใบหน้างดงามอ่อนหวาน แต่เรื่องราวความรักของพวกเขานั้นช่างแสนเศร้าเกินจะบรรยาย เธอต้องมาตายจากด้วยความบาดหมางระหว่างตระกูลใหญ่ของพวกเขา
นับแต่นั้นเป็นต้นมา เจย์เดนก็เก็เริ่มเย็นชาขึ้น จากชายหนุ่มผู้มีรอยยิ้มประดับหน้า กลายเป็นคนที่มีสีหน้าเรียบเฉย สร้างความน่าเกรงขามให้กับทุกคนที่อยู่ใต้อาณัติ แต่เมื่อเป็นเช่นนั้น กลับทำให้เขาเป็นผู้นำตระกูลได้อย่างสมบูรณ์แบบอย่างหาผู้ใดเปรียบได้
เจย์เดนใช้ชีวิตต่อมาเรื่อย ๆ และถึงแม้จะเต็มไปด้วยอภิสิทธิ์มากมาย เกิดมาบนกองเงินกองทอง แต่เขากลับรู้สึกโดดเดี่ยวอย่างยิ่ง ชีวิตอมตะที่ยาวนานหลายร้อยปีทำให้เขาเริ่มเบื่อหน่ายและเริ่มไร้จุดหมายในชีวิต
มนุษย์ได้เกิด แก่ เจ็บ และตาย สิ่งนั้นคือความหมายที่ทำให้ชีวิตมีคุณค่ายิ่งนัก บอกตามตรงว่าเขาแอบรู้สึกอิจฉาที่ชีวิตของมนุษย์นั้นได้มีคุณค่าผ่านกาลเวลาที่เลยผ่าน
แล้วแวมไพร์เช่นเขาล่ะ...จะหาคุณค่าของตัวเองผ่านสิ่งใดได้บ้าง?
.
.
.
“เครื่องหมายนำทางของท่านชายคือสิ่งนี้ขอรับ” ชายชราว่าพลางยื่นกุหลาบสีดำที่ยังไม่เบ่งบานให้กับเขา “ท่านชายต้องใช้มันเป็นเครื่องนำทางไปหาว่าที่ชายาของท่าน”
“กุหลาบที่ยังไม่เบ่งบานเนี่ยนะ?” เจย์เดนยังคงนิ่งเฉยไม่ยอมยื่นมือออกไปรับกุหลาบดอกนั้น แถมยังมองมันด้วยสายตาขบขันอีกต่างหาก
“อย่าดูหมิ่นนะขอรับ แม้เป็นเพียงกุหลาบดอกน้อย ๆ แต่เมื่อเบ่งบานก็สามารถงดงามได้ไม่แพ้ช่อดอกไม้ที่ถูกจัดสรรอย่างหรูหราแน่นอน นอกจากนี้ หนามก็ทิ่มแทงได้เจ็บย่างแสบสันต์เลยทีเดียวเชียวนะขอรับ”
“ท่านกำลังจะเปรียบเปรยถึงชายาของข้าในอนาคตอย่างนั้นเหรอ?”
“ขอรับ กุหลาบดอกนี้คือเครื่องหมายแสดงของเธอคนนั้น...” โหรหลวงว่าพลางวางกุหลาบดอกนั้นลงตรงหน้าของท่านชายด้วยท่าทีนอบน้อมระมัดระวัง ก่อนจะยกยิ้มขึ้นน้อย ๆ
“ขอข้าเข้าใจรายละเอียดเพิ่มเติมอีกหน่อย ท่านหมายความว่าข้าจะนำกุหลาบดอกนี้ไปให้ใครก็ได้ที่ข้าหมายปอง เช่นนั้นถูกหรือไม่?”
“หากเป็นคนที่ถูกเลือก กุหลาบจะส่งพลังงานบางอย่างให้นางรับรู้ได้เอง มันจะสอดคล้องกับความรู้สึกที่ท่านชายมีต่อนางขอรับ" โหรหลวงกล่าวเพียงเท่านั้น ก่อนจะเดินถอยหลังออกจากห้องทำงานของเจย์เดนไป
หลังจากโหรหลวงเดินจากไปแล้ว เจย์เดนก็หันไปสนใจกับงานที่กองอยู่บนโต๊ะอีกครั้ง ที่ก็ไม่วายที่สายตายังคงจับจ้องไปที่ดอกกุหลาบด้วยความชั่งใจ และแล้วในที่สุด มือหนาก็ต้องสัมผัสเข้ากับกลีบดอกตูมอย่างจำใจ
ดวงตาสีแดงเลือดจ้องมองไปยังกุหลาบสีดำ มือหนาเอื้อมไปต้องสัมผัสลงบนกลีบดอกอย่างเบามือ ประหนึ่งสัมผัสแก้มปรางของใครบางคน
ไม่นานนัก กุหลาบสีดำก็ค่อย ๆ ผลิบานทีละกลีบกุหลาบที่เคยดำมืดสนิทค่อย ๆ เปล่งประกายราวกับรัตติกาล
จะคอยดูแล้วกันว่ากุหลาบดอกน้อยนี่จะทำให้ใจเขาผลิบานได้หรือเปล่า
“เจ้าก็คงไม่เท่าไหร่หรอก...” สายตาคมกริบมองกุหลาบก่อนจะนำมันไปเก็บเอาไว้ด้วยความทะนุถนอม ต่างจากท่าทีในตอนแรกที่เหมือนจะไม่ใส่ใจนัก