บทที่ 6 ทวงบ้านคืน

1629 Words
หลี่อิงอิงพูดพร้อมกับจ้องหน้าป้าสะใภ้อย่างจางเจียวตาไม่กะพริบ เธอไม่ได้สนใจว่าใครจะมองยังไง หลายๆ คนอาจจะมองว่าเธอเป็นเด็กก้าวร้าว แต่แล้วยังไง เธอไม่ได้ขอใครกินสักหน่อย ชาติก่อนหลังจากพ่อแม่ตายไปเธอก็มีเพียงครอบครัวของคุณลุงไตรภพที่เธอคิดว่าเป็นญาติ แต่ชาตินี้ในร่างของหลี่อิงอิงเธอไม่สนใจ เพราะญาติแต่ละคนหาดีไม่ได้สักคนคงจะยกเว้นเพียงครอบครัวลุงใหญ่ ใครจะว่าเธออกตัญญูก็ช่าง เธอคิดเพียงว่าบุญคุณต้องทดแทน แค้นก็ต้องชำระ ด้วยจิตวิญญาณของเอมมี่ เธอมาจากยุคที่ชายหญิงเท่าเทียมกัน กตัญญูได้สำหรับคนที่ควรกตัญญู ไม่ใช่หลับหูหลับตาทำให้ทุกอย่างแบบเจ้าของร่างเดิม จางเจียวเมื่อเห็นว่าหลี่อิงอิงยกเคียวขึ้นสูงเตรียมที่จะฟันจริงๆอย่างที่พูด หากว่าเธอขยับเข้าไปอีกนิด ต้องมีร่างกายส่วนใดของเธอจะต้องมีบาดแผลแน่ๆ “แกนังอิงอิง แกคิดจะอกตัญญูอย่างนั้นเหรอ ไม่นึกถึงบุญคุณที่ฉันและครอบครัวเลี้ยงดูแกมาเลยหรือไง” จางเจียวชี้หน้าด่า ตอนนี้เธอโกรธจนตัวสั่นแล้ว “ใช่ค่ะ คนเราควรจะกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ บุญคุณที่ให้่ได้มีซุกหัวนอนและผลาญเงินเก็บของพ่อแม่ฉันไปอย่างสบาย จริงๆ ฉันควรจะได้อะไรตอบแทนบ้างนะคะ ในเมื่อเงินที่ครอบครัวของป้าสะใภ้ใช้อย่างสุขสบายมาหลายปีก็เป็นเงินของพ่อแม่ฉัน คนที่ควรจะต้องตอบแทนบุญคุณคือครอบครัวของป้าสะใภ้ ไม่ใช่ฉัน” หลี่อิงอิงใช้คำว่ากตัญญูและมีบุญคุณย้อนกลับไป ในเมื่อยุคนี้ยึดติดกับเรื่องนี้มากไม่ใช่หรือไง “แก แกทวงบุญฉันเหรอนังอิงอิง” ตอนนี้จางเจียวทั้งอายทั้งโกรธที่นังเด็กกำพร้าอย่างลี่อิงอิงกล้าประจานเธอต่อหน้าคนทั้งคอมมูน “ก็ป้าสะใภ้บอกว่าฉันอกตัญญูต่อครอบครัวของป้าสะใภ้ที่เลี้ยงดูฉันมา หรือว่าฉันพูดอะไรผิดไป อ๋อใช่ ป้าสะใภ้และครอบครัวเลี้ยงดูฉันด้วยการให้ลูกเจ้าของบ้านต้องไปนอนที่ห้องเก็บของข้างๆ ห้องเก็บฟืน ป้าสะใภ้เลี้ยงดูลูกเจ้าของบ้านด้วยการจิกหัวใช้งานทุกอย่าง แทบไม่มีเวลาพัก ป้าสะใภ้เลี้ยงดูลูกเจ้าของบ้านด้วยการกินน้ำข้าวต้มที่นับเม็ดข้าวแทบไม่ได้ อ้อ ยังมีอีกอย่างคือเรื่องเมื่อวานที่ทำร้ายลูกเจ้าของบ้านเกือบตายด้วย เรื่องทั้งหมดนี้คือบุญคุณใช่ไหม แต่ว่าฉันจะต้องตอบแทนหรือกตัญญูยังไงดีล่ะ ช่วยบอกฉันหน่อยได้ไหม” หลี่อิงอิงพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่บ่งบอกว่าโกรธหรืออะไร ทำให้คนเป็นสามีของจางเจียวอย่างหลี่หยวนต้องเดินออกมาผสมโรงด้วยอีกคน “มันจะมากไปแล้วนะอิงอิง ฉันเป็นลุงของแกนะ และเป็นญาติผู้ใหญ่ของแกด้วย แล้วฉันไปอยู่บ้านของน้องชายฉันมันผิดตรงไหน” หลี่หยวนพูดอย่างไม่อายจนลืมไปว่าบ้านสามนั้นแยกบ้านออกมาแล้ว “ลุงรองกล้าพูดนะคะ บ้านสามแยกบ้านออกมาแล้วไม่ใช่รึไงค่ะ แล้วลุงรองเข้ามาอยู่ในฐานะอะไร ยังมีเรื่องเงินเก็บของพ่อแม่ฉันด้วย ทั้งสองคนเก็บมาทั้งชีวิต แต่ลุงรองกลับเอาไปใช้จ่ายอย่างไม่อาย ดังนั้นจะมาถามหาบุญคุณอะไรอีก คนที่ควรจะอายคือครอบครัวของลุงรองไม่ใช่ฉัน ในเมื่อพูดแล้ว ฉันก็ขอพูดเลยก็แล้วกัน ฉันให้เวลาครอบครัวของลุงรองสามวัน ช่วยย้ายออกจากบ้านฉันด้วย ส่วนเรื่องเงินฉันไม่เอาคืนเพราะรู้ว่าไม่เหลือแล้ว ถ้าไม่ย้ายออกไปฉันจะไปแจ้งทางการ ดีไม่ดีลุงรองและครอบครัวอาจจะต้องค*****นทั้งหมดด้วยนะคะหากว่ามีเจ้าหน้าที่มาเกี่ยวข้อง” ในเมื่อหาเรื่องกันเอง หลี่อิงอิงคนใหม่ก็จัดให้แบบพิเศษมีแต่เนื้อเน้นๆไม่เอาน้ำ เมื่อบ้านหลี่ที่ยืนมองกันอยู่เห็นว่าเรื่องกำลังลุกลามก็บอกให้ลูกชายคนโตเข้าไปจัดการ แต่กลายเป็นว่าหลี่คงปฏิเสธ “พ่อครับเลิกเข้าข้างเจ้ารองสักทีเถอะ เรื่องนี้เจ้ารองเองก็ผิดที่คิดไปฮุบทรัพย์สินที่เจ้าสามทิ้งไว้ให้ลูกสาวเพียงคนเดียวของเขาไปใช้อย่างสบาย พ่อและแม่ไม่ใช่ไม่รู้ อย่าบอกว่าหลับตาข้างเดียว เท่าที่ผมเห็นคือพ่อและแม่หลับตาสองข้างมาตลอด ดูหลานสาวของพวกเราสิครับ พ่อแม่ก็จากไปหมดแล้ว แทนที่ได้เรียนกลับต้องลาออกมา ผมเองก็ไม่มีกำลังที่จะช่วยหลานสาวของผมเลย ถ้าจะให้ไปจัดการเรื่องที่เกิดขึ้นคุณพ่อก็ไปเองเถอะครับ” หลี่คงพูดจบก็เดินจากไป ไม่คิดจะหันกลับมาสนใจพ่อแม่ของตัวเองอีกเลย ส่วนชาวบ้านที่ยืนดูกันอยู่ต่างพากันแปลกใจไม่คิดว่าหลี่อิงอิงจะเปลี่ยนไปขนาดนี้ แต่เธอบอกว่าโดนทำร้ายเกือบตาย บางทีเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้เธอเปลี่ยนตัวเองขึ้นมาก็ได้ คนเราหากว่าไม่ถึงขีดสุดก็คงไม่ลุกขึ้นสู้แบบนี้ “อิงอิงเรายังเป็นเด็ก จะอยู่คนเดียวได้ยังไง” นางฉินซื่อหรือย่าฉินที่ทุกคนเรียกและยังเป็นย่าเจ้าของร่างนี้ พูดเพื่อจะยุติปัญหา ตอนนี้เธอและบ้านหลี่อายจนจะมุดดินอยู่แล้ว ใครจะคิดว่าหลานสาวเธอคนนี้จะกล้าพูดตอกหน้าลุงของตัวเองจนหน้าหงายล่ะ “ไม่เป็นไรค่ะย่า ฉันอยู่ได้ ฉันเองก็ไม่ได้อายุสิบสองหรือสิบสามเหมือนเมื่อก่อน ฉันก็อายุสิบหกจะเข้าสิบเจ็ดปีเต็มแล้ว สามารถใช้ชีวิตอยู่คนเดียวได้แล้วค่ะ ย่าไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนี้ อีกทั้งบ้านฉันก็แข็งแรงมากเป็นบ้านปูนมุงกระเบื้อง ไม่มีทางพังง่ายๆหรอก” หลี่อิงอิงตอบกลับย่าฉินด้วยรอยยิ้ม ฉินซื่อเองก็ไปไม่เป็นเมื่อหลานสาวพูดกลับมาแบบนี้ “ฉันว่าตอนนี้เสียเวลามากแล้ว ทุกคนควรจะทำงานต่อ ไม่อย่างนั้นจะโดนหัวหน้าฝ่ายดุเอาได้นะคะ” หลี่อิงอิงคิดว่าพูดความต้องการไปแล้วและไม่อยากจะเสวนากับตระกูลหลี่อีก จึงกลับมาลงมือเกี่ยวข้าวกับเสี่ยวหลินต่อ จากเหตุการณ์นี้ทำให้หลายๆคนมองหลี่อิงอิงใหม่ แต่มีคนหนึ่งที่มองเธอด้วยสายตาที่ซับซ้อนและค้นหาพร้อมกับฝังภาพของเธอเข้าไปในความทรงจำของตัวเอง หลี่อิงอิงไม่รู้เลยว่าตอนนี้เธอกลายเป็นจุดสนใจของใครหลายๆคน เธอยังคงทำงานด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน เมื่อถึงเวลาสัญญานก็ดังขึ้นเพื่อให้รู้ว่าถึงเวลาพักแล้ว เมื่อเช้าหลี่อิงอิงแกล้งหยิบห่อผ้ามาจากบ้านก่อนจะหยิบซาลาเปาออกมาห่อไว้ ก่อนจะใส่ลงในตะกร้าเพื่อจะนำมากินมื้อเที่ยง ถ้าหากเธอเอาแบบที่ยังร้อนออกมามันจะผิดปกติจนเกินไป เอาแค่พออุ่นๆ อีกอย่างซาลาเปาร้านนี้ถึงแม้จะเย็นก็ยังนุ่มและอร่อยอยู่ เธอหยิบไส้เห็ดและไส้ผักออกมา เธอยังไม่กล้าหยิบไส้หมู ต้องรอเข้าอำเภอก่อนถึงจะกล้าที่จะกินเนื้อ “นี่ค่ะ ลุงคัง ป้าเหมย กินซาลาเปาด้วยกัน” พูดจบก็กวาดตามองหาลุงใหญ่และครอบครัว คงจะเป็นครอบครัวเดียวในบ้านหลี่ที่คอยช่วยและบางครั้งป้าสะใภ้ใหญ่ยังแอบมาดูและเอาอาหารมาให้ร่างเดิมกินบ่อยๆ เมื่อหันไปเจอเป้าหมายหลี่อิงอิงก็มองดูว่าบ้านหลี่คนอื่นอยู่ด้วยหรือไม่ เธอจึงเอาห่อซาลาเปาที่แยกไว้แปดลูก ยื่นให้กับสหายก่อนจะหันไปทางลุงใหญ่ของเธอ เสี่ยวหลินเองก็ไม่อิดออดทำตามอย่างว่าง่าย เมื่อหลี่คงเห็นของที่เสี่ยวหลินให้มาก็หันไปหาหลานสาวที่กำลังนั่งยิ้มและมองมาทางนี้ สี่คนพ่อแม่ลูกบ้านลุงใหญ่ก็หันมายิ้มขอบคุณเช่นกัน ทุกคนรู้ดีว่าควรทำยังไง เพราะน้อยคนจะเห็นบ้านใหญ่คุยกับบ้านสาม แต่ความจริงเป็นยังไงนั้นพวกเขาย่อมรู้ตัวดี เมื่อเสี่ยวหลินกลับมาทุกคนก็นั่งกินซาลาเปากันอย่างมีความสุข คังเทียนคิดว่านานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้กินซาลาเปานุ่มและอร่อยขนาดนี้ หลี่อิงอิงบอกเพียงว่าเธอเป็นคนทำ บ้านคังเองก็ไม่คิดสงสัย บางสิ่งบางอย่างไม่มีใครสามารถตอบได้เหมือนกับความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นของหลี่อิงอิงอย่างวันนี้ คังเทียนหวังว่าชีวิตของหลี่อิงอิงสหายของลูกสาวคนนี้จะดีขึ้นเรื่อยๆ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD