“คุณครับมีอาหารมาส่งจากโรงแรมครับ แจ้งว่าเป็นของคุณชนาที่มาดูแลคุณแพรครับ” เจ้าหน้าที่กองถ่ายละครเดินมาบอก ชนามองออก ไปด้านนอกเห็นรถยนต์ของโรงแรมจึงพอจะเดาออกว่าถูกส่งมาจากไหน
“ขอบคุณค่ะ” ชนาบอก แพรพรรณมองดูขณะที่ตัวเองถึงเวลาพัก
“ของใคร ทำไมชนาต้องออกไปรับ” แพรพรรณถาม เพราะไม่ทันได้สังเกตชื่อโรงแรมที่ด้านข้างรถยนต์ ซึ่งพนักงานกำลังยกกล่องอาหารมาวางรวมเอาไว้ให้กับทุกคนในกองละคร
“พี่ไต้ฝุ่น” ชนาพูดเสียงอ่อยๆ
“โหเยอะมาก เลี้ยงคนทั้งกองได้เลยนะ” แพรพรรณบอก แต่แปลกใจทำไมชนาถึงได้ทำหน้าตาไม่ค่อยดี
“ใจดีเกินไปนะ เราว่า เดี๋ยวใครจะหาว่าเราสองคนหน้าใหญ่หรือเปล่าที่สั่งอาหารโรงแรมมา” ชนาบอกกับแพรพรรณที่ทำท่าคิด
“ไม่หรอก เราก็ยกความดีความชอบให้พี่ไต้ฝุ่นสิ เดี๋ยวแพรจัดการเอง ไม่เป็นไรหรอก” แพรพรรณยิ้มมองสบตากับชนาที่มีรอยยิ้มสดใสขึ้น
ชนารีบโทรศัพท์ไปบอกขอบคุณพระพาย แต่คนรับสายกลายเป็นพิมพ์พลอย ซึ่งแจ้งว่าพระพายติดประชุม
“ไง ของกินไปถึงแล้วสิ” พิมพ์พลอยยิ้ม เมื่อรับสายจากชนา
“ค่ะ เยอะจนน่าตกใจ แล้วพี่พลอยรู้ได้อย่างไรคะว่า เราอยู่กันที่นี่” ชนาถาม
“เอ๊ะ ยังไง เรา คือ ใครกันบ้างจ้ะ” พิมพ์พลอยพูดแหย่
“แหม หมายถึงกองถ่ายน่ะค่ะ” ชนายิ้มอยู่ปลายสาย
“พี่ไต้ฝุ่นอยากขอบคุณเรื่องงานเดินแบบ ยายแพรไม่ยอมรับสตางค์เลยต้องส่งเป็นของกินไปขอบคุณแทน พี่โทรฯ ไปที่กองถ่ายเห็นบอกมีผู้จัดการที่ชื่อชนามาด้วย ตอนแรกคิดว่าเป็นป้าพริ้ง เลยแจ้งชื่อคนรับของเป็นชนา ก็แค่นั้นแหละ” พิมพ์พลอยอธิบายเสียยืดยาว
“โห หลงดีใจนึกว่าส่งมาให้เรากินที่แท้ของคุณนางแบบ” ชนาพูดบ่นด้วยน้ำเสียงระคนน้อยใจ
“อ่าวเห็นพี่ไต้ฝุ่นของเราบอกว่า ส่งให้ใครก็เหมือนกันนั่นแหละ ไม่ ใช่หรอกหรือ” พิมพ์พลอยเลียบๆ เคียงๆ ถามดู เผื่อจะมีอะไร
หลุดออกมาบ้าง แต่ปลายสายยังคงสงวนท่าที
“เดี๋ยวหนูไปขอเขาทานเอาก็ได้ค่ะ จะบอกให้นะคะ ว่าพี่ไต้ฝุ่นกับพี่พลอยฝากขอบคุณมา เอาไว้จะพาตัวไปให้พี่ๆ เลี้ยงข้าวอีกนะคะ”
“ชวนแพรมาด้วยล่ะ” พิมพ์พลอยบอกก่อนจะวางสาย
“พี่พลอยก็พูดแปลกๆ ชวนไปด้วยกันยังไงล่ะ” ชนารำพึงออกมาเบาๆ มองดูขวดน้ำส้มคั้นสดที่ยืนมาตรงหน้า
“บ่นอะไร พี่พลอยหรือจ้ะ ชาดำเย็น” แพรพรรณหัวเราะเล็กๆ เมื่อเห็นผู้จัดการส่วนตัวเฉพาะกิจทำหน้างอ
“ตกลงจะเรียกชาดำเย็นไปตลอดเลยหรือ” ชนาถามทำหน้านิ่งดื่มน้ำส้มทำท่าคล้ายดับโมโห
“น่ารักจะตายไป” แพรพรรณบอก
“ไม่ต้องมาชม มีอะไรจะใช้หรือล่ะ” ชนาถามเสียงเรียบ
“โห ใช้อะไร อุตส่าห์เอาน้ำมาให้ เอาใจอยู่นะเนี่ย แต่แพรรำคาญพระเอกละครจัง” แพรพรรณพูดงึมงำมองดูชายหนุ่มที่ถึงแม้จะอยู่ระหว่างถ่ายทำอยู่ยังคงชะม้ายชายตามาตลอด
“ธรรมดาหรือเปล่า พระเอกนางเอกควรจะอยู่ระหว่างศึกษาดูใจกัน เพื่อละครจะได้ๆ รับความสนใจน่ะ” ชนาพูดขึ้นมองดูคนที่ทำหน้างอให้เห็นในทันที
“ทำหน้าที่ตัวเองไม่ดี รู้เปล่า ทศกัณฐ์น่ะ รู้จักไหม เป็นทศกัณฐ์ให้หน่อยสินะ ถ้าป้าพริ้งมายังเกรงๆ บ้าง วันนี้พักพร้อมกันทีไร ชอบมาอยู่ใกล้ๆ แพรขี้เกียจจะคุยด้วย” แพรพรรณบอกแต่จริงๆ คนฟังคิดว่าเป็นการพูดบ่นเสียมากกว่า ชนายิ้ม
“มาแล้ว” ชนาหัวเราะ แพรพรรณหันมาถลึงตาใส่ เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มที่ถูกพูดถึงกำลังจะนั่งลงข้างๆ แพรพรรณ แต่ชนารีบลุกขึ้นและยังขยิบตาทำบุ้ยใบ้ให้แพรพรรณขยับไปนั่งที่ของชนา ซึ่งกำลังเริ่มทำหน้าที่ตามที่แพรพรรณร้องขอ
“แหมทำหน้าที่ผู้จัดการได้ดีทีเดียว รับค่าตัวกี่เปอร์เซ็นต์ครับ”
“ไม่ได้สักบาทเลยค่ะ” ชนาพูดขึ้น แพรพรรณหันไปแอบยิ้ม
“ป้าพริ้งฝึกมาดีแน่ๆ เรียนอะไรมาครับ” ชายหนุ่มชวนพูดคุยเพราะจะว่าไป ชนาหน้าตาออกจะสวยสดงดงามไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าแพรพรรณเลย แถมยังไม่ต้องเสริมเติมแต่งเครื่องสำอางเรียกได้ว่า สวยแบบธรรมชาติ
“จบ ป.6 ค่ะ ชนาบอก แพรพรรณรีบหันไป เกรงว่าถ้าหากหัวเราะออกมาพระเอกหนุ่มอาจจะสงสัยเอา
“อ่านหนังสือภาษาอังกฤษ แต่บอกว่าจบ ป.6 ยังไงกันครับ”
“ก็ค่อยๆ สะกดเอาสิคะ ขออนุญาตพาเจ้านายไปหาอะไรทานก่อนนะคะ คงหิวแล้วล่ะ เชิญค่ะ คุณแพร” ชนายิ้มๆ มองสบตากับแพร
พรรณที่ทำเชิดๆ เมื่อได้ยินชนาเรียก คุณ นำหน้าชื่อ
“หรือจะจีบคุณพี่เลี้ยงแทนคุณนางเอกดี ไม่แต่งหน้าเลยสักกะติ๊ด แต่สวยคมบาดตาบาดใจดีแท้” ชายหนุ่มรำพึงออกมามองตามชนาที่ดุนหลังนางเอกสาวให้รีบเดินไป
“อยากให้มาด้วยตลอดเลย” แพรพรรณรำพึงออกมาเบาๆ มองดูอาหารจำนวนมากที่ถูกนำมาจัดวางไว้ให้กับทุกคน ซึ่งท่าทางมีความสุขกับอาหารจากโรงแรมยักษ์ใหญ่ที่จัดวางอยู่ตรงหน้า
“เพราะแพรแท้ๆ พวกเราเลยมีลาภปากไปด้วย” ทีมงานบอก
“ของแพรเสียที่ไหน ของคนนี้ต่างหาก” แพรพรรณหันมาทางชนา ที่ส่ายหน้าในทันที
“พี่พลอยบอกว่า ส่งมาขอบคุณแพร ไม่เกี่ยวกับเรา” ชนารีบแก้ตัวทำให้คนอื่นที่ยืนอยู่ใกล้ๆ หัวเราะ
“ของใครก็ช่างเถอะ พวกเรากินล่ะนะ” เสียงหัวเราะของทุกคนดังขึ้นรีบตักอาหารใส่จานและแยกย้ายไปนั่งตามโต๊ะหรือตามใต้ต้นไม้ใหญ่
“พี่ไต้ฝุ่นกับพี่พลอยส่งของมาให้เราทั้งสองคนนั่นแหละไม่อย่างนั้น จะให้ชาดำเย็นเป็นคนรับของหรือ” แพรพรรณพูด หลังจากลากตัวชนามานั่งหลบมุมทางด้านหลัง ซึ่งเป็นสวนและลับตาคน ถือว่าค่อนข้างสงบเพราะครั้งก่อนแอบมานั่งพักกับป้าพริ้งบริเวณนี้เช่นกัน
“แต่มันเยอะไปนะ ว่าไหม” ชนาพูดเสียงอ่อยๆ
“จริง เกรงใจเหมือนกัน เอาไว้ค่อยเอาขนมของแม่ไปฝากที่โรงแรมเวลาได้ไปแถวนั้นดีกว่าเนอะ กินได้แล้ว อย่าคิดมาก” แพรพรรณพูดคล้ายผู้ใหญ่พูดกับเด็ก
“ชอบเหรอ งานแบบนี้น่ะ” ชนาชวนพูดคุย
“มีโอกาสเลยลองดู แพรอยากมีเงินสักก้อนคงต้องก้อนใหญ่หน่อยจะได้ดูแลป้ากับแม่ได้” แพรพรรณบอกสิ่งที่ตัวเองคิด ซึ่งไม่ค่อยได้เล่าให้ใครฟังนัก แต่พอบอกกับชนาเลยต้องกลับมาถามตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องบอกออกไปเหมือนเป็นการเล่าเรื่องราวชีวิต
ของตัวเองให้ชนาได้รับรู้
“นึกว่าชอบ แสงสี” ชนาพูดขึ้น
“นานๆ ไปอาจจะหลงแสงสีนะ โลกมายาคงน่าหลงใหลอยู่ ว่าแต่ตัวเองเถอะ ลอยไปลอยมาจะทำอะไรต่อไป” แพรพรรณถาม ถึงแม้จะเคยไปงานด้วยกันเมื่อครั้งก่อน แต่ยังไม่ได้พูดคุยถามไถ่อะไรกันมากนัก
“ผู้ชายพายเรือ ผู้หญิงเขาทำอะไรกัน ประเภทลอยไปลอยมาน่ะ” ชนาหัวเราะ
“ไม่อยากเล่าบอกมาดีๆ ก็ได้ ไม่ได้อยากรู้อยากเห็น แค่อยากรู้จักเท่านั้นเอง” แพรพรรณพูดด้วยน้ำเสียงงอนๆ โดยไม่รู้ตัว ในเมื่อตัวเองบอกสิ่งที่ตัวเองคิด แต่เมื่อถามชนากลับได้รับการบ่ายเบี่ยง เหมือนไม่อยากจะบอกเล่าเรื่องราวชีวิตของตัวเองให้รู้
“อยากเป็นผู้ช่วยกำนัน อยากเป็นอาจารย์สอนหนังสือ อยากเป็นเกษตรแบบพอเพียงเหมือนลุงคำ” ชนาบอกและยิ้มกว้างมากขึ้น เมื่อสาวคนที่นั่งอยู่ข้างๆ มีรอยยิ้มสวยๆ ให้เช่นกัน
“ต้องถึงกับเรียนปริญญาเอกเลยหรือ” แพรพรรณถาม
“แม่อยากให้เรียน จะได้เป็นหน้าเป็นตากับวงศ์ตระกูลมั้ง”
“แล้วมีความสุขหรือเปล่าล่ะ”
“เราชอบเรียนหนังสือนะ ชอบอ่านหนังสือ ไม่ได้อยากฉลาดกว่าคนอื่น แต่ชอบที่จะเรียนรู้มากกว่า และมีอะไรตั้งมากมายที่เรายังไม่รู้เหมือนมาได้เห็นการทำงานของแพร เราไม่เคยรู้เลยว่า ค่อนข้างลำบากเหมือนกัน ถึงจะเป็นนางเอกก็เถอะ ดูสิอากาศก็ร้อน” ชนาพูดเสียยืดยาว แต่คนฟังยิ้มน้อยๆ มองสบตาด้วย
“งานทุกงาน เหนื่อยทั้งนั้นแหละ แต่แพรมีความสุขนะ กับการได้ลองอะไรใหม่ๆ เมื่อโอกาสเข้ามาหา แต่ใช่ว่าจะทำไปตลอด บางทีแอบคิดเหมือนกันนะว่า หัดทำขนมขายกับแม่ ได้กินไอติมกะทิ หรือก๋วยเตี๋ยวอร่อยๆ แถวบ้านก็มีความสุขแล้วหรือเปล่า มีเพื่อนเล่นตัว
เล็กๆ เต็มเลย แต่เมื่อคิดถึงผู้ใหญ่ที่บ้าน แพรเลยคิดว่า ควรจะทำงานหาเงินเผื่อไว้สำหรับวันข้างหน้าด้วย” ชนายิ้ม เมื่อได้ยินแพรพรรณเล่าเรื่องการทำงานของตัวเอง รวมถึงความคิดเรื่องการทำงานหาเงินเพื่อดูแลครอบครัว ผู้หญิงคนเดียววางแผนดูแลผู้สูงวัยถึงสี่คน ถือว่าหนักหนาเอาการอยู่ แต่เท่าที่รู้มาทางบ้านไม่ได้เดือดร้อนอะไรมากนักเรื่องเงินทอง แต่สิ่งที่แพรพรรณคิดคงเป็นความกตัญญูที่มีให้สำหรับผู้มีพระคุณ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี
“แม่ค้าอยู่อย่างพอเพียงล่ะสิ แบ่งขนมให้เรากินมั่งนะ เผื่อเรามาเป็นเกษตรกรแล้วไม่มีกินขึ้นมา” ชนาหัวเราะ แพรพรรณก็เช่นกัน
“เก็บผลไม้บ้านลุงคำกิน ก็มีกินทั้งชาติแล้วมั้ง อยากกินอะไรก็ไปปลูกเพิ่มเอาสิ ไม่เห็นจะยากเลย” แพรพรรณยิ้ม เมื่อนึกถึงลุงคำที่ปลูกอะไร ก็งามไปเสียทุกอย่าง
“แพรล่ะ ชอบกินอะไร” ชนาถาม แพรพรรณทำท่าคิด
“เดี๋ยวจะปลูกให้แพร หรือ” แพรพรรณหันมาขมวดคิ้วถาม เมื่อลุกมานั่งอยู่ข้างๆ ชนา
“แอบอิจฉาป้าพริ้งมานาน มีคนมาเสนอตัวปลูกต้นไม้ให้ดีใจจัง” แพรพรรณหัวเราะ เพราะชอบพูดแหย่ป้าพริ้งเสมอ เรื่องผลไม้ที่ลุงคำปลูกส่วนใหญ่เป็นชนิดที่ป้าพริ้งชอบ
“ขี้อิจฉานะ เราน่ะ”
“มาก อยากโคลนนิ่งผู้ชายอย่างลุงคำมาสักคน จะยอมแต่งงานหรือหอบผ้าหอบผ่อนหนีตามไปอยู่ด้วยเลย เพราะรู้ดีว่า จะได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ไม่ทิ้งไปไหนแน่นอน” แพรพรรณยิ้มตามีประกายวาววับโดยไม่รู้ตัว เมื่อนึกถึงความรักของลุงคำที่มีความสุขกับการได้ดูแลผู้หญิงที่ตัวเองรัก แม้จะไม่ได้ตกล่องปล่องชิ้นแต่งงานกันก็ตามที
“ทำไม ไม่เกิดเป็นผู้ชายว๊ะ เรา” ชนาหัวเราะเล็กๆ กับสิ่งที่คิดอยู่ในใจ มองดูคนที่ยิ้มน้อยๆ มองไปตรงหน้า ซึ่งเป็นสวนที่มีต้นไม้เขียวขจี
“เรานึกไม่ออกนะ ถึงแม้จะมีผู้ชายแบบลุงคำ จะสามารถฝ่าด่านเข้าไปเป็นลูกเขยหลานเขยได้จริงๆ หรือ ตั้งสี่ด่าน แถมยังด่านที่ลุงคำอีกคน รวมเป็นห้าคิดแล้วเหนื่อยแทนหนุ่มๆ” ชนาพูดแล้วก็หัวเราะ แพรพรรณส่ายหน้า
“กลัวลำบากไหมล่ะ” แพรพรรณหันมาถาม ชนาขมวดคิ้วมองสบตาและหวนคิดถึงคำถามที่ได้ยิน
“ไม่กลั๊ว” ชนาหัวเราะ แพรพรรณก็เช่นกัน แอบชำเลืองมองคนที่อยู่ข้างๆ แล้วตั้งคำถามกับตัวเองว่า ทำไมนะ ผู้หญิงคนนี้ถึงทำให้รู้สึกและสัมผัสได้ถึงความสบายใจและความสุข ทั้งๆ ที่ไม่คิดเลยที่จะยึดถือเรื่องความสุขเอาจากตัวบุคคล แต่ยายชาดำเย็นคนนี้ นำความสบายใจและความสุขมาให้ โดยเฉพาะดอกมะลิลาที่เด็ดมาให้ช่อหนึ่งวางอยู่ในรถก่อนจะขับรถพามากองถ่ายละคร
ชนาคอยดูแลแพรพรรณในช่วงเวลาพัก โดยไม่ค่อยยอมให้ใครมาวุ่นวายด้วย เพราะในเมื่อเป็นช่วงเวลาพักคุณนางเอกก็ควรจะได้อยู่เงียบๆ บ้าง กองถ่ายละครค่อนข้างอึกทึกอยู่มากเหมือนกัน แต่ก็ดูสนุกสนานต่างจากที่คิดเอาไว้มาก หลังจากได้ยินการพูดคุยทักทายกันอย่างสนิทสนมกับนางเอกสาวซึ่งชนาพอจะรู้มาว่า เพิ่งมาถ่ายได้ไม่กี่วันนัก แต่เสียงของหนุ่มที่เป็นพระเอกของเรื่องเข้ามาขัดจังหวะการสนทนาเสียก่อน
“แอบมาหลบมุมกันอยู่แถวนี้เอง ตามหาเสียตั้งนาน” ชายหนุ่มพูดขึ้น ชนานึกขำกับการพูดคุยจนบางครั้งแอบคิดว่า คุณพระเอกพูดคล้ายพูดตามบทละครมากกว่าความจริงที่อยู่ในใจ ฟังดูเหมือนพระเอกลิเกมากกว่าพระเอกละครเสียอีก
“หมดกันความสุขของฉัน” แพรพรรณรำพึงออกมาเบาๆ ทำเอาชนาแทบจะหลุดขำออกมา นึกถึงตอนถ่ายละครมองกันเสียหวานซึ้งอย่างกับรักกันนัก รักกันหนา แต่ใครจะรู้ล่ะว่าเบื้องหลังสาวเจ้าจะบ่นพึมพำเมื่อพระเอกหนุ่มเข้ามาพูดคุยด้วย
“แพรจะไปเข้าห้องน้ำไม่ใช่หรือ” ชนาพูดขึ้น แพรพรรณหันขวับมามองสบตากับชนาแล้วยิ้มๆ รีบพยักหน้าในทันที
“ชนาไปเป็นเพื่อนด้วยนะ ไปเฝ้าหน้าห้องด้วย แพรกลัวแถวนั้นมันเปลี่ยว ต้นไม้เยอะ มืดๆ คลึ้มๆ อย่างไรไม่รู้” สองสาวพูดคุยกันเหมือนกับอยู่กันตามลำพังแค่สองคน แต่ชนาไม่อยากให้เพื่อนร่วมงานของแพรพรรณรู้สึกไม่พอใจ จึงหันไปยิ้มให้กับชายหนุ่มที่ยืนทำท่างงๆ อยู่
“ตรงนี้เงียบ ลมพัดเย็นสบายดีค่ะ แต่สาวๆ ขอตัวก่อนนะคะ” ชนายิ้มให้กับชายหนุ่มที่เพิ่งจะเข้าใจว่า เป็นมารยาทในการหลบหนีของสาวๆ แต่คิดว่ายังพอมีเวลาเพราะตัวเขาเสร็จงานแล้ว แต่นางเอกสาวยังคงมีคิวถ่ายต่อ เพราะฉะนั้นสาวซึ่งเป็นผู้จัดการส่วนตัวชั่วคราวก็จะว่างนั่นคงดีสำหรับเขา ชายหนุ่มยิ้มกรุ้มกริ่มมองดูสองสาวที่เดินกลับเข้าไปในกองถ่ายละครแล้ว
“ร้ายนักนะ ไว้ใจได้ไหมเนี่ย แพรบอกตอนไหนว่าอยากเข้าห้องน้ำ” แพรพรรณหันมายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้กับชนาที่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด เมื่อได้ยินสิ่งที่แพรพรรณพูด
“อ้าว บอกให้เป็นทศกัณฐ์ให้ แล้วมาต่อว่า รู้งี้ปล่อยให้นางเอกอยู่กับพระเอกเสียก็ดี” ชนาบ่นพึมพำทำเอาแพรพรรณหัวเราะลั่น
“ขี้ใจน้อยอีกต่างหาก ขอบคุณนะคะ ท่านผู้จัดการส่วนตัวทำหน้า ที่ได้ดีมาก ป้าพริ้งคงหายห่วง” แพรพรรณหัวเราะเล็กๆ
“คุณนางเอกก็กรุณาไปเล่าให้ผู้จัดการส่วนตัวเบอร์หนึ่งทราบด้วยสิคะ เผื่อจะได้แต้มความดีงามสะสมเอาไว้” ชนาพูดยิ้มๆ
“สะสมเอาไว้ทำไม อยากได้หน้าว่างั้น” แพรพรรณขมวดคิ้วจ้องมอง แต่รอยยิ้มแปลกๆ ของชนาดึงดูดให้ไปจ้องมองอยู่ที่ริมฝีปาก ซึ่งขยับเล็กน้อยระหว่างพูด
“ก็เผื่อเอาไว้วันข้างหน้าไง” ชนาพูดเสียงอ่อยๆ
“ทำไมวันข้างหน้าจะมีอะไร ถึงต้องสะสมแต้มความดีงามแปลกๆ นะ เราน่ะ ชาดำเย็น” แพรพรรณยิ้มอายๆ รอยยิ้มของชนาทำให้แพรพรรณรู้สึกสุขใจ ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องปกติ แต่เจ้าตัวกลับรู้สึกไม่ค่อยปกตินัก ยิ่งกับคำพูดอ้อมไปอ้อมมาที่อยากให้ป้าพริ้งเห็นคุณงามความดีที่ดูแลหลานสาวให้เป็นอย่างดี
“เปล่าหรอก ก็เราเป็นหลานลุงคำ เดี๋ยวใครจะไปว่าลุงคำได้ โดย เฉพาะป้าพริ้ง” ชนามักเอานิ้วไขว้กันและแอบเอาไว้ข้างหลัง หากครั้งใดไม่ ได้พูดความจริงออกมา
“รู้หรือเปล่า พูดไม่จริงน่ะ บาปนะ แต่เอาเถอะยกโทษให้ ขอบคุณที่มาเป็นทศกัณฐ์ให้แพร ไปทำงานก่อนนะ อีกไม่นานก็ได้กลับบ้านแล้ว”
“เจ้าค่ะ เจ้านาย” ชนาหัวเราะ บางทีรอยยิ้มของผู้คนก็ทำให้คนที่ได้เห็นมีความสุขอยู่มากเหมือนกัน ชนาคิด