Chapter 4

2000 Words
ปาร์คซูโฮและฮาจองอูต่างรีบมารายงานตัวที่หน้าศูนย์บัญชาการใหญ่กองปราบปรามอาชญากรรม ทั้งสองต่างมารายงานตัวกับร้อยตรีวินเซนต์ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมจู่โจมจากกองร้อยหนึ่งมีทหารติดตามมาด้วยกว่าสามสิบนาย ส่วนฝั่งของร้อยตำรวจเอกจูยอช็องมีตำรวจคอมมานโดสามสิบกว่านายเช่นกัน มีแค่สองยุวชนทหารอย่างปาร์คซูโฮและฮาจองอูที่มาจากกองพันฟีนิกซ์ ร้อยตรีวินเซนต์สั่งให้ทุกคนขึ้นรถหุ้มเกราะที่จอดสนิทอยู่และทุกคนต่างก็รีบขึ้นรถอย่างรวดเร็ว ฮาจองอูเป็นคนสุดท้ายขึ้นมาอยู่ท้ายขบวนและประตูก็ปิดลง ปาร์คซูโฮที่นั่งอยู่ข้างฮาจองอูสังเกตว่าในทีมของร้อยตรีวินเซนต์ มียุวชนทหารติดตามมาด้วยอย่างน้อยสี่ถึงห้าคนแต่ละคนมือไม้ยังสั่นอยู่ ร้อยตรีวินเซนต์บอกกับทุกคนบนรถว่าจากตรงนี้ไปเมืองเมตน์คงใช้เวลาไม่นาน เพราะทางเบื้องบนอนุมัติให้ใช้เส้นทางลัดอย่างอุโมงค์วาร์ปที่อยู่ในฐานบัญชาการใหญ่สามเหล่าทัพ ซึ่งหากใช้เส้นทางผ่านอุโมงค์นี้ก็จะถึงเมืองเมตน์เขต G-11 ในเวลาเพียงสิบนาทีเท่านั้น "นี้ไม่ใช่การซ้อมหรือการจำลอง มันคือสนามรบจริงที่ถ้าพวกนายประมาทคือตาย" ร้อยตรีวินเชนต์พูดเสียงดัง "จงจดจำประสบการณ์ที่พวกนายได้จากการฝึกอย่างหนักหน่วง เพราะมันจะช่วยชีวิตพวกนาย" "ภารกิจของพวกเราคือไปช่วยเหลือหมู่บ้านเดนเบอรี่ เราได้รับรายงานมาว่ามีพลเรือนหลบหนีเข้าไปในนั้น" จ่าสิบเอกเฉลิมชัย ผู้ช่วยของร้อยตรีวินเชนต์อธิบายภารกิจให้ลูกทีมฟัง "ทำไมพลเรือนเลือกไปอยู่ที่นั้นล่ะครับ" ฮาจองอูถามด้วยความสงสัย "มีกองตำรวจปราบปรามตั้งหลักอยู่ในหมู่บ้านเดนเบอรี่ แต่คงยื้อไว้ไม่นานถ้าพวกเราไปไม่ทัน" จ่าสิบเอกเฉลิมชัยบอก "ทันทีที่เราไปถึงแล้วเรามีหน้าที่ไปสมทบกับทีมตำรวจคอมมานโดที่อยู่ในหมู่บ้าน พวกเขาพยายามต้านพวกสวะไม่ให้ไปยุ่งกับพลเรือน เราต้องถ่วงเวลาไว้จนกว่าพลเรือนจะออกจากเขตอันตราย" "ส่วนหน้าที่ของการขนย้ายพลเรือน เป็นหน้าที่ของทีมผู้กองจูยอช็อง" ร้อยเอกวินเซนต์เสริม ทุกคนในรถหุ้มเกราะต่างหายใจไม่ทั่วท้องและต่างเงียบงัน ยกเว้นฮาจองอูที่หันมาชกหมัดกับปาร์คซูโฮเหมือนอย่างที่เคยทำเสมอในยามไปฝึกหรือยามออกรบ "พร้อมจะฝ่านรกกันยังเพื่อน" ปาร์คซูโฮเอากำปั้นขวาชนกับกำปั้นซ้ายของฮาจองอู "พร้อมเสมอ" +++++ เมืองเมตน์ตั้งอยู่ทางตะวันตกของเขต G-11 จัดว่าเป็นเมืองที่มีประชาชนกรแน่นหนา รวมทั้งอัตราการเกิดอาญากรรมที่สูงติดอยู่ในลำดับที่ 45 ของประเทศ แต่ที่โดดเด่นของเมืองคงไม่พ้นเรื่องก๊กมาเฟียที่พยายามจะขึ้นเป็นใหญ่ของเมืองนี้หลายก๊ก ทว่าสุดท้ายแล้วก็ยังไม่มีใครสามารถโค่นล้มอำนาจของแก๊งขวานซิ่งได้เลย ต้องยอมรับว่าสวี่จินหยวนสร้างรากฐานอันแข็งแกร่งและมั่นคงจนเจ้าตัวเชื่อว่า แก๊งขวานซิ่งจะอยู่คงกระพันไปอีกนับสามสิบปีข้างหน้า อนิจจาสวี่จินหยวนคงไม่เคยได้ยินคำสุภาษิตที่ว่า "ความไม่แน่นอนคือสัจธรรมของทุกสิ่ง" และในวันนี้สวี่จินหยวนจะได้ลิ้มรสจากมันเมื่อมีการแจ้งข่าวมาว่า กองกำลังปราบปรามที่ถูกส่งมาท้าทายความเกรียงไกรของแก๊งขวานซิ่ง ได้ยืนจ่อสรรพวุธทุกชนิดอยู่ตรงหน้าประตูทางเข้าบ้านแล้ว เท่านั้นยังไม่พอข้าราชการที่สวี่จินหยวนเคยเลี้ยงเอาไว้หลายชีวิต ได้ถูกตัดสินโทษสูงสุดประหารชีวิตหลังจากรัฐบาลเก่าหมดอำนาจลง แถมเรื่องเลวร้ายที่ทั้งสวี่จินหยวนหรือแม้แต่ลูก ๆ เคยก่อไว้ในอดีตถูกขุดออกมาไม่ขาดสาย ประดุจเหมือนคลื่นทะเลคลุ้มคลั่งซัดเข้าชายฝั่ง ถึงจะวางมือจากตำแหน่งไปแล้วในเมื่อมีอันตรายที่เข้ามาคุกคาม สวี่จินหยวนจึงไม่อยู่เฉยและตัดสินใจตรงมายังดึกครายส์ทาวเวอร์ ตึกที่สูงเด่นตระหง่านกลางเมืองเมตน์และเป็นเหมือนศูนย์อำนาจใหญ่ของแก๊งขวานซิ่ง ชายวัยกลางคนขึ้นลิฟท์มายังชั้นบนและเดินตรงมายังห้องทำงานส่วนตัวที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของตนมาก่อน บัดนี้มันได้ถูกส่งต่อให้กับสวี่ฮั๋วลูกชายคนโตสุดภาคภูมิใจ กำลังยืนดูภาพเบื้องล่างที่ตอนนี้ถูกย้อมด้วยเปลวเพลิงแห่งความวุ่นวาย ทว่าถึงกระนั้นสองพ่อลูกแห่งแก๊งขวานซิ่งกลับยังมีสีหน้าเรียบเฉย สวี่จินหยวนเดินมาตบไหล่สวี่ฮั๋วเบา ๆ "พวกน้องชายของแกอยู่ไหน" สวี่จินหยวนถามขณะรับแก้วใส่วินสกี้จากคนรับใช้ "พวกมันควรอยู่ตรงนี้" สวี่ฮั๋วหันมากล่าวกับพ่อด้วยความเคารพ "พวกนั่นกำลังมา ผมสั่งการให้พวกมันไปเตรียมกำลังพล" ถึงเขาจะกลายเป็นผู้นำแก๊งคนใหม่แต่ก็ยังคงเคารพในตัวของพ่อเสมอมา ไม่นานประตูห้องเปิดออกพร้อมกับชายวัยฉกรรจ์สามถึงสี่คน ทุกคนต่างโค้งตัวทำความเคารพต่อสองผู้นำของแก๊งขวานซิ่ง "พ่อ พี่ใหญ่ตอนนี้พวกตำรวจกับทหารมันบุกล้อมพวกเราหมดแล้ว คนของแก๊งเรากับพวกแก๊งอื่น ๆ กำลังสู้รบปรบมือกับพวกมันอยู่" สวี่หลงชีกล่าวรายงานทันที กองปราบปรามที่ประจำเมืองเมตน์ที่ลุกขึ้นสู้ยังไม่น่ากลัวเท่ากับทัพเสริมอาจกำลังมาถึงในไม่ช้า สวี่จินหยวนต้องการทราบข่าวคราวของทางสวี่หมิงล่างลูกอีกคน ซึ่งไปตั้งแก๊งที่เมืองโฮรุกและคำตอบที่ได้จากสวี่หลงชีคือ ฝั่งนั้นก็ถูกหน่วยสวาทกับคอมมานโดบุกโจมตีอยู่เช่นกัน คงไม่สามารถตามมาสมทบได้เรียกได้ว่าเป็นการจู่โจมแบบไม่ให้ตั้งตัว แสดงว่าฝ่ายศัตรูคงวางแผนมาอย่างดีจนแม้แต่สวี่จินหยวนยังคาดไม่ถึงแต่กระนั้นสวี่จินหยวนยังมีสีหน้าสงบนิ่ง "ในเมื่อพวกมันกล้าเคาะประตูบ้านเราแบบนี้ จะไม่ให้การต้อนรับก็ดูจะเสียมารยาทนี่จริงไหม" ว่าแล้วสวี่จินหยวนก็คว้าอาวุธประจำกายออกมาคือขวานคู่เล่มใหญ่อันเป็นอาวุธประจำกาย สวี่ฮั๋วหันมาปรามผู้เป็นพ่อในทันที "พ่อครับ อย่าเลย ให้ผมกับพวกหลงชี...." "ไม่ ต่อให้พ่อจะไม่ใช่หัวหน้าแก๊งแต่ก็ยังเป็นสมาชิกของแก๊ง และแก" สวี่จินหยวนจับไหล่สวี่ฮั๋ว "แกเป็นหัวหน้าจงอย่าได้หลงลืมตำแหน่งของตัวเองเด็ดขาด... ฉะนั้น สั่งการมา" สวี่จั๋วรายงานต่อว่าล่าสุดฝ่ายศัตรูได้ล่าถอยไปตั้งหลักที่หมู่บ้านเดนเบอรี่ เป็นหมู่บ้านจัดสรรอยู่ไม่ไกลจากตึกครายส์ทาวเวอร์มากนัก โดยเฉิงเย่วถิงได้ส่งลูกสมุนในสังกัดอย่าง หกอัศวิน ไปกับพวกแก๊งขนยาที่เป็นบริวารของเฉิงเย่วถิงไปด้วย สวี่ฮั๋วจึงออกคำสั่งเด็ดขาดว่าอย่าให้มีสิ่งมีชีวิตหลงเหลืออยู่ในหมู่บ้านเดนเบอรี่เป็นอันขาด สวี่หลงซีก้มหัวน้อมรับคำสั่งและเดินออกจากห้องไป ส่วนสวี่เทียนและสวี่จั๋วได้รับมอบหมายให้เตรียมรถบรรทุกจำนวนหกสิบกว่าคัน นำไปจอดอยู่ข้างถนนติดตั้งระเบิดให้เรียบร้อยแล้วจึงให้ลูกน้องปลอมตัวเหมือนพลเรือนหนีตาย เพื่อไม่ให้ตำรวจสงสัยเมื่อเห็นว่าอีกฝั่งเดินเข้ามาใกล้รถบรรทุก แล้วค่อยกดชนวนระเบิดเนื่องจากสวี่ฮั๋วมีของขวัญบางอย่างที่จะมอบให้กับศัตรู ที่บังอาจมาท้าทายอำนาจของแก๊งขวานซิ่ง ++++++ หมู่บ้านเดนเบอรี่เป็นหมู่บ้านจัดสรรที่มีขนาดกว้างใหญ่เป็นอันดับหกของเมืองเมตน์ โดยส่วนมากผู้คนที่เข้ามาอาศัยมักเป็นครอบครัวฐานะปานกลาง มีครอบครัวที่เป็นชาวฟรอนเทียร์อาศัยปะปนอยู่ด้วย ส่งผลให้ในสถานการณ์ที่กำลังเผชิญตอนนี้หมู่บ้านเดนเบอรี่กลายเป็นปราการต่อกรกับพวกอาชญากร ที่ต่างพยายามที่จะบุกรุกเข้ามาแต่ก็ไม่อาจทำได้เพราะต้องรับมือกับตำรวจยศสารวัตรใหญ่ที่ไม่ใช่แค่ยศใหญ่ หากแต่เป็นรูปร่างกำยำใหญ่ที่สามารถทำคนสลบได้เพียงตบครั้งเดียว พันตำรวจเอกมาซอกโด ซึ่งได้พาตำรวจคอมมานโดที่เหลือรอด มารวมตัวกันที่หมู่บ้านเดนเบอรี่พร้อมด้วยพลเรือนหลายสิบชีวิตวิ่งหนีตายเข้าไปด้านใน เมื่อพลเรือนหนีเข้าไปหลบข้างในแล้วพันตำรวจเอกมาซอกโดหันมาบอกให้ตำรวจและพลเรือนบางคนที่เหลือจับอาวุธช่วยสู้ รีบพากันปิดกั้นประตูรั้วทางเข้าหมู่บ้านเพื่อไม่ให้ศัตรูเข้ามาได้ ไม่กี่นาทีเสียงรถมอเตอร์ไซค์หลายสิบคันก็ปรากฏตัวต่อหน้าทางเข้าหมู่บ้าน พวกมันต่างพากันเร่งเครื่องเสียงดังเพื่อใช้ข่มขวัญฝั่งคนที่อยู่ด้านในของรั้ว ซึ่งดูมันจะได้ผลกับตำรวจบางคนแต่ก็ได้พันตำรวจเอกมาซอกโดพูดเตือนสติ "ตั้งสติไว้ ! พวกมันพยายามจะทำให้พวกเรากลัว" จากนั้นตำรวจร่างใหญ่กำยำหันมาถาม ร้อยตำรวจตรีหม่าเติงเหอ ผู้ทำหน้าที่ดูแลวิทยุสื่อสารอันเป็นความหวังเดียวที่จะติดต่อหากองกำลังเสริมได้ "หมวดหม่าเติงเหอ ติดต่อกำลังเสริมทีว่าจะมาถึงเมื่อไหร่" "อีกประมาณสามสิบนาทีครับ สารวัตรใหญ่" ร้อยตำรวจตรีหม่าเติงเหอตอบทันควัน พันตำรวจเอกมาซอกโดพยักหน้ารับทราบ "ดี ! งั้นระหว่างนี้เราต้องต้านพวกมันในสามสิบนาทีให้ได้ ทุกคนทราบ" "รับทราบ !" เสียงมอเตอร์ไซค์ดังขึ้นอีกรอบพร้อมกับเสียงตื่นตระหนกจาก สิบตำรวจตรีพรชัย นายตำรวจที่พึ่งจะก้าวจากยุวชนตำรวจมาเป็นตำรวจชั้นประทวนดังขึ้นว่า "สารวัตรใหญ่ครับ นั่นหกอัศวินไม่ใช่หรือครับ" พลางชี้ไปที่กลุ่มมอเตอร์ไซค์กลุ่มใหม่ที่มาสมทบกับพรรคพวกของตน ธงที่ปักด้านหลังมอเตอร์ไซค์โดยบนธงเป็นอัศวินสีต่าง ๆ หกสีคือ สีดำ สีขาว สีแดง สีเขียว สีคราม และสีเหลือง ในสมุดบัญชีดำของกองปราบปรามอาชญากรรมที่พันตำรวจเอกมาซอกโดอ่านเจอ มีอาชญากรหกคนที่ไม่เคยมีใครเห็นหน้าเพราะสวมใส่หมวกกันน็อค จุดเด่นคือขี่มอเตอร์ไซค์มีธงปักอัศวิน และพวกมันเรียกขานตัวเองว่า หกอัศวิน ตามข้อมูลที่ทีมสืบสวนพิเศษหามาได้คือมันทั้งหกคน เป็นลูกน้องของเฉินเยว่ถิงแห่งแก๊งขวานซิ่ง ที่สำคัญมันทั้งหกถูกระบุแล้วว่าจะจับตายหรือจับเป็นก็ได้ สายตาของพันตำรวจเอกมาซอกโดจับจ้องไปที่ชายสวมหมวดกันน็อคคนหนึ่ง ซึ่งเดินลงมาจากมอเตอร์ไซค์คันที่มีปักอัศวินสีดำ แววตาของเขาแปรเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวจนน่ากลัว แน่นอนว่าพันตำรวจเอกมาซอกโดไม่มีวันลืมเลยว่าลูกน้องของเขา ถูกสังเวยชีวิตไปมากจากน้ำมือของไอ้เลวระยำที่มีชื่อแฝงว่า อัศวินดำ ซึ่งสามารถปลิดชีพตำรวจมือปราบด้วยมือเปล่าได้ วันนี้แหละที่ไม่ว่าอย่างไรพันตำรวจเอกมาซอกโดจะต้องล้างแค้นให้กับลูกน้องของตนให้ได้ "โผล่หัวมาแล้วก็ดี วันนี้ต้องเป็นวันตายของมึง" ++++++
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD