“สวัสดีค่ะคุณพราวรุ้ง ดิฉันฝ้ายเป็นเลขาของคุณมังกรที่ติดต่อไปหาคุณเมื่อตอนบ่ายนะคะ” คุณฝ้ายที่เคยกล่าวแนะนำตัวเองผ่านโทรศัพท์ไปแล้วครั้งหนึ่งเป็นฝ่ายกล่าวทักทายพราวรุ้งอย่างเป็นทางการอีกครั้ง
“สะ… สวัสดีค่ะ พราวรุ้งค่ะ” หญิงสาวรีบยืนขึ้นทักทายกลับไปเช่นกัน จากนั้นค่อย ๆ เลื่อนสายตาหันไปมองยังเจ้านายของคุณฝ้ายพร้อมกล่าวแนะนำตัวเองอีกรอบ “สวัสดีค่ะคุณมังกร ฉันชื่อพราวรุ้งนะคะ”
ขณะที่พูดแนะนำชื่อของตัวเองให้ลูกค้าคนแรกได้รู้จักอย่างเป็นทางการ พราวรุ้งก็เอาแต่หลุบตามองพื้น ไม่มีความกล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นไปสบตากับอีกฝ่าย
“ตอนนี้เธอรู้จักชื่อฉันอยู่แล้ว ถ้าอย่างนั้นฉันก็ไม่จำเป็นต้องแนะนำชื่อตัวเองกลับไปใช่ไหม” ชายหนุ่มถามกลับ ดูไม่ได้ถือสากับอาการที่เต็มไปด้วยความประหม่าของพราวรุ้งเท่าไรนัก
“ค่ะ ไม่ต้องก็ได้ค่ะ” เธอตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงนอบน้อม นัยน์ตาทั้งสองข้างยังคงหลุบลงมองพื้นเช่นเดิม หญิงสาวไม่มีความกล้าที่จะเงยหน้าขึ้นไปสบตากับอีกฝ่ายด้วยซ้ำ จนกระทั่งปลายหัวรองเท้าหนังสีดำขลับซึ่งถูกตัดเย็บอย่างดีจากห้องเสื้อแบรนด์ดังได้เข้ามาอยู่ในกรอบสายตาของเธออย่างจงใจ…
เพื่อบอกว่าตอนนี้เขาได้เดินมายืนอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว
“ทำไมถึงไม่เงยหน้าขึ้นมามองกันล่ะ เธอทำกับลูกค้าคนแรกของเธอแบบนี้เหรอ หรือว่าที่พื้นมันมีอะไรน่าสนใจมากกว่าหน้าของฉัน” คำถามที่ฟังดูเหมือนเจ้าตัวต้องการตำหนิกันนั้นทำให้พราวรุ้งรีบเงยหน้าขึ้นสบตากับเขาทันทีด้วยความตื่นตระหนก ก่อนที่วินาทีต่อมาจะชะงักไปเล็กน้อย เมื่อพบว่าตอนนี้เธอกับเขายืนอยู่ใกล้กันมากแค่ไหน
“ขอโทษค่ะ” เพราะทั้งตกใจและคิดว่าคนตรงหน้าคงไม่ค่อยพอใจกับท่าทีของตัวเองนัก พราวรุ้งจึงรีบพูดออกไปแบบนั้น
“ไม่เป็นไร” มังกรว่า จากนั้นเขาที่ทั้งดูดีและหล่อเหลาเกินกว่าที่พราวรุ้งจินตนาการเอาไว้ในหัวก็ค่อย ๆ ใช้สายตาอันแหลมคมไล่มองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างเปิดเผย ก่อนที่จะยกยิ้มมุมปากจาง ๆ ราวกับพึงพอใจในรูปลักษณ์ภายนอกของเธอมากอย่างไรอย่างนั้น “เข้าใจแต่งตัวมาหาฉันดีนี่”
มังกรพูด ต้องการชมเรื่องที่หญิงสาวเลือกสวมชุดเดรสสีดำรัดรูปจนมองเห็นสัดส่วนของตัวเองมาหาเขาเช่นนี้
“…”
“เห็นต้นสังกัดของเธอบอกว่าเธอเพิ่งทำงานวันนี้เป็นวันแรก และฉันก็เป็นลูกค้าคนแรกของเธอด้วย ฉันก็เลยคิดไปว่าเธอจะไม่ประสีประสาเสียอีก แต่เห็นที… ฉันคงจะเข้าใจผิดไปเอง”
สิ้นเสียงของมังกร ความเงียบก็เข้าปกคลุมห้องอาหารส่วนตัวโดยพลัน ความเงียบเหล่านั้นมาพร้อมกับความอึดอัด ทว่าน่าจะมีแค่พราวรุ้งเท่านั้นที่รู้สึกถึงมัน
“ฝ้าย ฉันอยากกินข้าวกับพราวรุ้งแค่สองคนเท่านั้น” มังกรหันไปบอกความต้องการของตัวเองกับเลขา ด้วยไม่ต้องการให้คนนอกอยู่ในห้องนี้ด้วยอีกต่อไป เขาอยากอยู่ที่นี่กับพราวรุ้งแค่สองคนเท่านั้น
“รับทราบค่ะ ไม่ทราบว่าคุณมังกรจะให้ดิฉันจัดการเรื่องอาหารให้หรือจะสั่งเองคะ”
“รบกวนจัดการให้ฉันที” มังกรให้คำตอบแบบส่ง ๆ ซึ่งพอเลขาสาวได้ยินแบบนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติมอีก เธอทำเพียงผงกหัวเล็กน้อยเชิงรับคำสั่งจากเจ้านายและเดินกลับออกไปจากห้องอย่างเงียบเชียบ ทิ้งให้พราวรุ้งและเจ้านายของเธออยู่ด้วยกันแค่สองคน “นี่เธอกำลังกลัวฉันเหรอ”
เมื่อไม่มีใครอยู่ในห้องนี้แล้วมังกรก็ยิงคำถามใส่พราวรุ้งทันที หลังจากที่ทั้งสองเผลอสบตากันโดยไม่ได้ตั้งใจ
“ไม่ค่ะ” หญิงสาวโกหกกลับไปหน้าตาย ทั้งที่ในความเป็นจริงนอกจากเธอจะกลัวผู้ชายตรงหน้าแล้ว เธอยังรู้สึกเกร็งและอึดอัดกับเขาด้วย เธอไม่รู้เลยว่าภายใต้ใบหน้าที่บ่งบอกถึงความพึงพอใจของเขานั้น แท้จริงแล้วเจ้าตัวกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
“ถ้าไม่ได้กลัวฉันก็ดีแล้ว เพราะถ้าเธอกลัว… เห็นทีคืนนี้เธอคงทำงานลำบากแน่ เพราะเธอต้องอยู่กับฉันหลายชั่วโมงเชียว” มังกรพูดต่อทั้งหน้าตายเช่นกัน
“…”
“ยังไงระหว่างที่กำลังรอให้ฝ้ายสั่งอาหารให้ เธอก็นั่งลงก่อนสิ ฉันมีอะไรที่อยากถามเธอหลายอย่างเลย” ชายหนุ่มพูดต่อด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ พร้อมผายมือไปยังโซฟาตัวใหญ่ซึ่งติดอยู่กับกระจกใสบานยักษ์ หากมองออกไปเบื้องนอกจะเห็นทัศนียภาพยามค่ำคืนของกรุงเทพมหานครอันเป็นจุดขายของห้องนี้อย่างชัดเจน
พราวรุ้งไม่ได้พูดอะไรออกมา เธอเลือกที่จะเดินไปทิ้งตัวนั่งบนโซฟาตัวใหญ่ตามคำแนะนำของลูกค้า ทว่าในวินาทีที่กำลังจะทิ้งตัวลงนั่งตามที่คิด หญิงสาวที่ตอนนี้กำลังทำตัวเป็นกระต่ายขี้ตกใจก็ต้องเบิกตากว้างอีกครั้งเมื่อมังกรได้เดินตามหลังมาติด ๆ ก่อนทิ้งตัวนั่งบนโซฟาโดยถือวิสาสะคว้าเอวบางของเธอไว้ให้นั่งอยู่บนตักของเขาเสียอย่างนั้น
“ถึงเธอจะเป็นเด็กใหม่ แต่ก็ช่วยเป็นงานมากกว่านี้หน่อยสิ”
“…”
“นี่เธอคงไม่คิดว่าฉันจ้างเธอมาในราคาแพงเพราะแค่ต้องการหาผู้หญิงสวย ๆ มานั่งกินข้าวเป็นเพื่อนกันหรอกใช่ไหม” เขาถามขึ้นเมื่อเห็นท่าทีตกอกตกใจของเธอ